ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 487 โทสะอันไร้อำนาจ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 487 โทสะอันไร้อำนาจ

บทที่ 487 โทสะอันไร้อำนาจ

“อาซือ เจ้าทำออกมาได้งดงามมาก”

เจี่ยงเถิงลูบไล้จี้หยกในมือ พลางจ้องมองหลินซือด้วยสีหน้าอ่อนโยน

ครั้นหลินซือถูกเจี่ยงเถิงจ้องมองเช่นนี้ก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว ก่อยจะรีบก้มหน้างุดพยายามปกปิด “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าทำมันอยู่นานมากเชียวนะ”

เจี่ยงเถิงคว้ามือของหลินซือฉับพลันแล้วดึงมือของนางมาวางบนโต๊ะ กระทั่งเห็นรอยแผลเป็นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่บนข้างนิ้วโป้งที่อยู่ใกล้กับนิ้วชี้ข้างซ้ายของหลินซือ

“ข้ารู้ ข้ารู้ว่าเจ้าเจียระไนหยกชิ้นนี้นานมาก” เจี่ยงเถิงมองรอยแผลเป็นนั้นด้วยสายตาเรียบเฉย “เป็นเพราะเรื่องนี้ ตอนแรกข้าเลยโกรธเจ้า ข้าผิดไปแล้ว”

“ไอหยา เรื่องมันผ่านไปแล้ว” หลินซือพยายามดึงมือของตัวเองกลับ แกล้งทำเป็นไม่สนใจ

รอยแผลเป็นนี้เกิดขึ้นในวันที่เจี่ยงเถิงโกรธเพราะอวี้อวี้ หลังจากเจี่ยงเถิงกลับไป อวี้อวี้ที่เห็นนางเหม่อลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงไม่ให้นางทำต่อ แต่วันนั้นนางเองก็ไม่รู้ว่าตนเป็นอะไรถึงได้ลงมือทำต่อ สุดท้ายก็ทำร้ายตัวเอง

ตอนแรกเป็นแค่รอยแผลจาง ๆ แผลเดียว หลินซือกลับคาดไม่ถึงว่ามันจะทิ้งรอยแผลไว้

ตอนนั้นตนรู้สึกน้อยใจมาก แต่ครั้นเห็นท่าทางรู้สึกผิดของเจี่ยงเถิง หลินซือกลับรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้

“อาซือ เหตุใดถึงต้องรอให้ข้าในวันนี้?” เจี่ยงเถิงปรายตามองหลินซือ “ก่อนหน้านั้นข้าอยู่ในจวนแม่ทัพมาตลอด ให้ข้าวันไหนก็ได้ เหตุใดจะต้องรอถึงวันที่ยุ่งมากมายอย่างวันนี้ด้วยเล่า?”

หลินซือหลบสายตาของเจี่ยงเถิง “ข้าบอกไปแล้วนี่ว่าวันนี้เหมาะสมที่สุด”

“วันนี้เป็นพิธีปักปิ่นของเจ้า” เจี่ยงเถิงยังคงไม่เข้าใจ

“ผ่านพิธีปักปิ่นไปข้าก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หยกชิ้นนี้เป็นค่าตอบแทนที่ท่านดูแลข้ามาตลอดหลายปี!” หลินซือรีบพูดอย่างรวดเร็ว เพียงอึดใจเดียวก็พูดประโยคนี้จบแล้ว สายตาได้เสมองไปทางซ้ายทีขวาทีแต่ไม่มองเจี่ยงเถิงตรง ๆ

เจี่ยงเถิงคลี่ยิ้ม กำลังจะพูดบางอย่าง แต่หลินซือกลับลุกพรวดขึ้น

“ใครอยู่ตรงนั้น?!” หลินซือรีบเดินไปยังภูเขาจำลองขนาดเล็กแห่งนั้น ทำเอาเจี่ยงเถิงต้องรีบตามไป

เดิมทีในพิธีปักปิ่น สตรีไม่ควรอยู่กับบุรุษอื่นเพียงลำพัง ถ้าถูกผู้ใดจับได้คงถูกติฉินนินทาไปทั่ว ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของหลินซือ แม้ว่าเจี่ยงเถิงจะไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้นัก แต่พวกเขาก็อยู่ท่ามกลางราชวงศ์ที่ทรงอำนาจ ต้องระแวดระวังอยู่ตลอดเวลาถึงจะถูก

“จะไม่มีใครได้อย่างไร?” หลินซือเดินวนรอบภูเขาจำลองหนึ่งรอบ พลางเกาศีรษะ “หรือว่าข้าจะเหนื่อยมากจึงมองผิดไป?”

ไม่ใช่

เจี่ยงเถิงมองต้นเหมยกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล กิ่งก้านที่อยู่รอบนอกนั้นเห็นได้ชัดว่าเพิ่งถูกหักไป

มั่นใจได้ว่าคนที่แอบมองเมื่อครู่จะต้องรีบหนีไป ทิ้งไว้แต่ร่องรอยของการฝ่าออกไป

“อาจจะมองผิดไปกระมัง” เจี่ยงเถิงเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวของหลินซือ แล้วบดบังสายตาที่กำลังทอดมองไปยังต้นเหมยเหล่านั้น โอบไหล่ของนางก่อนจะพาเจ้าตัวที่ยังคงมองสำรวจไปทั่วทุกหนแห่งกลับมา “ตอนนี้เจ้าต้องรีบไปพักผ่อน นี่สิสำคัญยิ่งกว่า มีอะไรเดี๋ยวข้าจัดการเอง”

หลินซือหันกลับไปมองเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยังไม่เห็นสิ่งใด เลยปล่อยให้เจี่ยงเถิงพาตัวเองไป

“เอาละ เจ้าพักผ่อนอยู่ในนี้สักครึ่งชั่วยามนะ” เจี่ยงเถิงมองดูหลินซือที่ถูกสาวใช้ห่อตัวด้วยผ้าห่มอย่างแน่นหนา จึงยื่นมือออกไปลูบศีรษะของนางพลางพูดขึ้น

“อื้อ” ทันทีที่หลินซือเอนกายลงความง่วงก็ครอบงำทันที คนที่อยู่รอบตัวล้วนแต่เป็นคนคุ้นเคย ไม่นานก็ผล็อยหลับไปในที่สุด เสี้ยววินาทีที่สติดับลงนางยังตอบกลับเจี่ยงเถิงอยู่

เจี่ยงเถิงได้กำชับสาวใช้ที่คอยดูแลสองสามประโยค จากนั้นก็เร่งฝีเท้ากลับไปยังภูเขาจำลองที่มีคนแอบฟังเมื่อครู่

ทุกอย่างโดยรอบเงียบสงัด มีแค่ลมหนาวที่พัดผ่านจนเกิดเสียงหวีดหวิว ซึ่งบ่งบอกถึงการมีตัวตนของตนเอง เจี่ยงเถิงตรวจสอบบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด แต่คนที่แอบฟังผู้นั้นระแวดระวังเป็นอย่างดี นอกจากกิ่งไม้ที่หักเหล่านั้นแล้วก็ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรอีก

เจี่ยงเถิงทำได้เพียงแสร้งเดินกลับไปในห้องโถงกลางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีหน้ายังคงเบิกบานใจ แต่ความจริงแล้วเขาคอยสังเกตสีหน้าของทุกคนที่อยู่โดยรอบ

“เป็นอะไรไป?” เหยาเอ้อหลางเพิ่งถูกกรอกสุราไปรอบหนึ่ง เวลานี้กลิ่นสุราได้ลอยคละคลุ้งเข้ามาพร้อมกับคำถาม

เจี่ยงเถิงขมวดคิ้วแล้วผลักอีกฝ่ายออกไปไกล ๆ “อย่ามาบังข้า”

เหยาเอ้อหลางยิ่งฮึกเหิม เบียดร่างเจี่ยงเถิงแล้วกระซิบข้างหูว่า “เฮ้อ ทำไม เจ้าดูหน้าเจ้าสิ เมื่อครู่ถูกอาซือปฏิเสธมาใช่หรือไม่?”

“เป็นไปได้อย่างไร” เจี่ยงเถิงเห็นเหยาเอ้อหลางเช่นนี้ก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังยั่วโมโหตน จึงบอกเรื่องทั้งหมดกับเขา “ข้าต้องหาคนผู้นั้นให้เจอก่อนที่ทุกคนจะสลายตัว ไม่อย่างนั้นต่อไปการจะหาคนผู้นั้นจะเหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร”

เหยาเอ้อหลางฟังจบ รีบคว้ามือของเจี่ยงเถิงไว้ จังหวะนั้นมีคนจากอีกด้านหนึ่งเข้ามาทักทายและดื่มสุรากับเขา เหยาเอ้อหลางรีบตอบตกลง แล้วกึ่งลากกึ่งกระชากเจี่ยงเถิงให้เดินไปด้วยกัน

“เจ้าทำอะไร?” เจี่ยงเถิงสะบัดมือของเหยาเอ้อหลางที่จับแขนของเขา “ตอนนี้ข้าไม่มีเวลามาทะเลาะกับเจ้า”

“เจ้าโง่หรือไร” เหยาเอ้อหลางกล่าวเสียงต่ำ “เจ้านั่งตรงนั้นเห็นแค่ไม่กี่คน สู้เจ้าเดินไปทั่วงานดีกว่า ดื่มสุราสักจอกสองจอก เผื่อจะคิดอะไรในใจได้บ้าง”

ในอีกมุมหนึ่งของงาน เซี่ยเซินที่กำลังเป็นกังวลก็เห็นองค์รัชทายาทในที่สุด เขารีบลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็กระชากแขนเสื้อขององค์รัชทายาทเพราะกลัวว่าเขาจะหนีไปอีก

“ฝ่าบาท! ข้าเป็นห่วงแทบแย่!” เซี่ยเซินกล่าวอย่างร้อนใจ ใบหน้านิ่วขมวดจนกลายเป็นจีบซาลาเปา

องค์รัชทายาทตอบ ‘อื้อ’ ด้วยเสียงราบเรียบ ปล่อยให้เซี่ยเซินบ่นพึมพำและถามต่อไป ส่วนตัวเองก็ได้แต่เหม่อลอย

เซี่ยเซินผู้มีความรู้สึกช้า ในที่สุดก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

เห็นได้ชัดว่านับตั้งแต่ที่ฝ่าบาทรู้ว่าจะได้เข้าร่วมพิธีปักปิ่นของพี่สาวก็ตื่นเต้นและเบิกบานใจมาตลอด เหตุใดหลังจากที่ตามเจี่ยงเถิงไปและกลับมาแล้วจึงเหม่อลอยเหมือนไร้จิตวิญญาณเช่นนี้?

“ฝ่าบาท” เซี่ยเซินนั่งลงข้างกายองค์รัชทายาท จากนั้นก็สังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง “เกิดเรื่องอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ? อยากเล่าให้ข้าฟังหรือไม่?”

องค์รัชทายาทเงียบสงบ เซี่ยเซินนั่งรออย่างเงียบ ๆ อยู่ข้างกาย

“เจ้าคิดว่าพี่สาวของเจ้ามีคนที่ชอบอยู่แล้วหรือไม่?” ผ่านไปเนิ่นนาน องค์รัชทายาทกล่าวถามด้วยเสียงเบา

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทคงไม่ได้จะยอมแพ้หรอกกระมัง?” เซี่ยเซินมององค์รัชทายาทด้วยความสับสน “ข้าว่าฝ่าบาทช่างมันเถอะ วัยของฝ่าบาทและพี่สาวของข้าก็ไม่เข้ากัน อีกอย่างนางก็น่าจะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

“เจี่ยงเถิงสินะ” องค์รัชทายาทตรัสเป็นประโยคบอกเล่า

“พี่เจี่ยงเติบโตมาพร้อมกับพี่สาวของข้า เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมากกว่าข้าที่เป็นน้องชายแท้ ๆ เสียอีก ไม่สิ อย่าว่าแต่ข้า แม้แต่ท่านพ่อและท่านแม่ พี่ใหญ่ ต่างก็เทียบพี่เจี่ยงไม่ได้ การที่พวกเขาสองคนไม่ได้กลายเป็นคู่กันนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

“จะปรากฎตัวช้าหรือเร็วข้าก็ไม่ใช่คนที่ตัดสินใจ!” องค์รัชทายาททุบโต๊ะอย่างแรง “ข้าก็อยากปรากฎตัวให้เร็วกว่านี้ เพราะข้าไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับนางใช่ไหม? ข้าเลยเสียเวลา ข้าเสียเวลาไปเท่านั้น!”

เซี่ยเซินพยายามบดบังสายตาของคนโดยรอบที่ต่างหันมามองเพราะเสียงที่ดังขึ้น ก่อนจะอธิบายตะกุกตะกัก “แต่…ฝ่าบาท นี่เป็นโชคชะตาที่กำหนดไว้แล้ว อีกอย่าง พูดไปฝ่าบาทก็ไม่อยากฟัง แต่ข้าคิดว่าพี่เจี่ยงแสนดีกับพี่สาวข้าที่สุดแล้ว แสนดีจนไม่รู้จะแสนดีอย่างไร แม้ว่าฝ่าบาทจะเติบโตมาพร้อมกับพวกเขา ก็อาจจะเอาชนะพี่เจี่ยงไม่ได้”

องค์รัชทายาทเตะโต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยว สร้างความตกใจให้กับเซี่ยเซินต้องรีบเข้ามาควบคุม ไม่ให้เขาเคลื่อนไหวเป็นจุดเด่นจนต้องเปิดเผยสถานะของตัวเอง

……………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

แกะสลักหยกให้จนมีดบาดทิ้งรอยแผลเป็นขนาดนี้ ไม่รักมากไม่ทำให้นะเนี่ย

แสดงว่าเห็นฉากนั้นเข้าเต็มตาเลยสินะองค์รัชทายาท พระองค์ทรงตัดใจเสียเถิด อาซือมีคนในใจอยู่แล้วน่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท