บทที่ 689 เฝ้าเพียงคืนเดียว
บทที่ 689 เฝ้าเพียงคืนเดียว
นางกำลังบอกชอบเขา!
เหยาเอ้อหลางรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งตื่นจากความฝัน หัวใจที่นิ่งสงบมาตลอดกำลังเต้นระงมดัง ราวกับจะทะลุออกมาจากหน้าอกอย่างไรอย่างนั้น
ครั้นเห็นปี้ชุนตรงหน้า เหยาเอ้อหลางรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความจริง คิดว่าตอนนี้เขาอาจจะได้รับบาดเจ็บร้ายแรงเกินไปไม่ก็กำลังฝันอยู่?
ทั้งหมดนี้มันเป็นเพียงภาพมายาใช่ไหม?
“ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรหน่อยละ?”
ปี้ชุนตื่นเต้นอยู่ราว ๆ ครึ่งวัน ปรากฏว่าเห็นเหยาเอ้อหลางยังคงอึ้งงันอยู่ที่เดิมไม่พูดกับตนสักประโยคเดียว สีหน้าจึงเป็นกังวลจนซีดเผือดไป
เหยาเอ้อหลางกำลังจะพูดบางอย่าง แต่กลับรู้สึกได้ถึงความหวานที่บาดคอ จากนั้นก็กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ตามมาด้วยอาการวิงเวียนระลอกหนึ่ง สุดท้ายก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
ภาพนั้นสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับปี้ชุนอย่างมาก กระทั่งรีบลุกขึ้นยืน
“เหยาเอ้อหลาง!”
ปี้ชุนี้ร้องเรียกชื่อของเขา หากแต่นางเรียกเท่าไรเขาก็ไม่ฟื้น เวลานี้เขากลับสลบไสลไปอย่างสมบูรณ์
กระทั่งเห็นเลือดสดสีแดงฉานของเขาที่เปื้อนอยู่บนเตียง ครั้นเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งตื่นตระหนกตกใจ
ปี้ชุนรู้แค่ว่าหัวใจกำลังเต้นระงม นางรีบหมุนตัวเตรียมจะผลักเปิดประตูออกไป
ปรากฏว่านางเจอกับเจี่ยงเถิงและหลินซือที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องพอดี ทั้งสองคนมองปี้ชุนที่ตอนนี้มีสีหน้าตื่นตกใจด้วยความเป็นห่วง
หลินซือรีบถามนางว่าเกิดอะไรขึ้น “เกิดอะไรขึ้น เหยาเอ้อหลางบาดเจ็บสาหัสเลยใช่หรือไม่?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเพิ่งฟื้นไม่นาน ข้าคิดว่าเขาไม่เป็นไรแล้ว เราพูดคุยกันแค่สองสามคำ จู่ ๆ เขาก็กระอักเลือดแล้วเป็นลมไป ข้าเป็นห่วงมากเลยว่าจะไปตามหมอหลวงเจ้าค่ะ”
ครั้นได้ยินคำพูดของปี้ชุน หลินซือก็ยื่นมือออกไป คว้าแขนของนางไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“เราจะช่วยตามหมอมาให้เจ้าเอง เจ้าอยู่ดูแลเหยาเอ้อหลางที่นี่เถอะ อย่ากังวลเลย เราเชื่อว่าเขาจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”
ครั้นปี้ชุนได้ยินคำพูดของหลินซือก็พาพยักหน้า แต่สีหน้ากังวลที่แสดงออกมายังไม่จางหายอย่างชัดเจน นี่คือชายหนุ่มที่นางมีใจให้
ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสยังไม่ได้สติ แถมยังกระอักเลือดออกมา ภาพเหล่านี้นางจะวางใจได้อย่างไร
“พี่อาเถิง ท่านช่วยไปตามหมอมาให้ข้าที ข้าจะพาปี้ชุนกลับจวนไปอยู่เฝ้าก่อน”
หลินซือบอกกล่าวเจี่ยงเถิงที่อยู่ข้างกาย หลังจากเขาตอบตกลงก็พาปี้ชุนกลับจวนทันที
กระทั่งเห็นเลือดสดตามจุดต่าง ๆ ของเตียง ยิ่งเห็นภาพนี้ก็ยิ่งตกใจ
ปี้ชุนเองก็อ่อนไหวง่ายกับการเห็นเลือดสดเช่นนี้ จึงรีบเบี่ยงสายตา ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าที่ซีดเผือดของเหยาเอ้อหลาง
“ตกลงเขาได้รับบาดเจ็บจริง ๆ หรือว่า…”
ปี้ชุนเอ่ยถึงตรงนี้ก็ยุดชะงักไป “ข้าจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต”
หลินซือเห็นท่าทางเสียใจเช่นนี้ของปี้ชุน จึงรีบลากตัวนางมานั่งข้างโต๊ะตัวถัดไป
แล้วเอ่ยปลอบใจด้วยเสียงเบา “เจ้าอย่าคิดมาก ตอนนี้เจ้าต้องคิดแต่เรื่องดี ๆ”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งประตูห้องถูกเปิดออกอย่างฉับพลัน เจี่ยงเถิงพร้อมด้วยหมอเคราสีขาวโพลนผู้หนึ่งเดินเข้ามา หมอผู้นั้นไม่ได้พูดอะไร นอกจากเดินตรงมาข้างเตียง หลังจากเห็นคราบเลือดบนเตียงแล้ว หัวคิ้วก็พลันขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นมือออกไปจับชีพจรของเหยาเอ้อหลางครู่หนึ่ง ฟังเสียงไม่นาน แล้วเปลี่ยนตรวจสอบบาดแผลตามร่างกายของเขาอีกครั้ง
ใบหน้าที่เดิมทีเคร่งเครียด จู่ ๆ ก็พลันโล่งใจไม่น้อย จากนั้นก็เปิดกล่องยาของตัวเองแล้วเขียนใบสั่งยา
แล้วเอ่ยกับทุกคน ณ ที่นี่ “พวกเจ้าวางใจเถอะ อาการของเขาคือเสียเลือดมากเกินไป และเมื่อครู่น่าจะเผชิญกับเหตุการณ์ที่พาให้หัวใจเต้นเร็ว จึงได้กระอักเลือดสดออกมา พักผ่อนเพียงคืนเดียวก็ดีขึ้นแล้ว”
“ให้กินอาหารที่ช่วยบำรุงเลือดเพิ่มสักหน่อย อีกไม่นานก็ดีขึ้น ไม่ทำลายถึงจุดสำคัญและไม่มีผลร้ายแรงตามมา แต่บาดแผลค่อนข้างลึกอาจจะทิ้งรอยแผลเป็นที่ดูไม่งามไว้เล็กน้อย”
ครั้นหลินซือได้ยินคำพูดของหมอก็พลันขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็มองปี้ชุนอีกครั้ง แล้วเอ่ยถามอย่างตระหนักได้ “พวกเจ้าสองคนพูดอะไรกัน เหตุใดถึงทำให้เขาตื่นเต้นจนต้องกระอักเลือดออกมา?”
“คือว่า…”
หลังจากปี้ชุนได้ยินหมอบอกว่าเหยาเอ้อหลางไม่เป็นอะไรร้ายแรงก็พาโล่งใจ
แต่ในตอนที่หลินซือถามตน ก็กลับมากังวลอย่างฉับพลันอีกครั้ง ใบหน้าแดงกก่ำด้วยความเขินอาย นางจะบอกได้อย่างไรว่าตัวเองสารภาพรักกับเหยาเอ้อหลาง?
ต่อมาเหยาเอ้อหลางก็ตกใจจนสลบไป นางคิดว่าต่อให้ตัวเองจะตรงไปตรงมาเพียงใด ก็ไม่มีทางบอกความจริงนี้ออกมาแน่นอน
ครั้นเห็นท่าทางเนียมอายของนาง หลินซือก็พอจะเข้าใจได้ในใจ ไม่ได้ซักไซ้ไล่ถามต่อ
“นี่คือยา พวกเจ้าจงเอาไปต้ม ให้เขาดื่มวันสามเวลาต่อหนึ่งวัน”
หมอยื่นใบสั่งยาที่เขียนกำกับแล้วให้กับหลินซือ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
หลินซือเห็นปี้ชุนยังคงมองไปยังเหยาเอ้อหลางด้วยสายตาเป็นห่วงก็รู้ทันทีว่าตอนนี้ควรให้โอกาสพวกเขาได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
เขาลากเจี่ยงเถิงออกมาจากห้องเพื่อไปส่งหมอด้วยกัน ถือโอกาสรับยามาด้วย
ปี้ชุนยืนมองอยู่ในห้อง เหลือเพียงตัวเองและเหยาเอ้อหลางสองคนนั้นที่ค่อย ๆ เดินมานั่งข้างเตียงอย่างแช่มช้า
ระหว่างนั้นนางเห็นริมฝีปากที่ซีดเผือดไร้เลือดฝาดนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง แม้ว่าหมอจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ครั้นปี้ชุนเห็นท่าทีเช่นนี้ของเขา ในใจก็อดบีบรัดเข้าด้วยกันไม่ได้
“หวังว่าต่อไปเจ้าจะไม่บาดเจ็บกลับมาอีกนะ”
ปี้ชุนล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา แล้วซับน้ำตาบนหางตาอย่างเบามือ
จากนั้นก็มองเขาอย่างเงียบ ๆ กระทั่งดวงตะวันตกอยู่ข้างนอก
แม้จะเหนื่อยล้าบ้าง แต่ปี้ชุนกลับไม่ยอมให้ตัวเองนอนหลับ เป็นห่วงกลัวว่าเหยาเอ้อหางจะตื่นอย่างฉับพลัน
ในตอนนี้เองประตูก็ถูกเคาะเสียงดังรัว ตามมาด้วยเสียงของหลินซือที่ดังเล็ดลอดมาจากข้างนอก
“ปี้ชุน ยาที่หมอจ่ายให้ข้าต้มไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าจะยกเข้ามาเดี๋ยวนี้
ปี้ชุนได้ยินจึงรีบลุกขึ้นยืนและเดินไปเปิดประตูให้หลินซือ
จากนั้นหลินซือก็ยัดถาดในมือใส่มือของปี้ชุนโดยตรง พลางกระพริบตาปริบ ๆ “ยานี้เจ้าป้อนเขาเองนะ คงไม่ต้องรบกวนข้าหรอกกระมัง?”
ทันใดนั้น ใบหน้าของปี้ชุนก็แดงระเรื่อ กระทั้งรู้ว่าที่หลินซือเป็นเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร จู่ ๆ ก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาอย่างเขินอาย
“ขอบคุณนะ คราต่อไปถ้ามีโอกาสข้าขอเลี้ยงข้าวเจ้า”
ปี้ชุนรีบหมุนตัวกลับ กลับมาข้างเตียงของเหยาเอ้อหลาง
จากนั้นก็ใช้ช้อนชาตักยาป้อนเหยาเอ้อหลางทีละนิด แม้ว่าตอนนี้เขาจะหลับใหล แต่ในตอนที่ปี้ชุนป้อนยาให้เขานั้น เหยาเอ้อหลางได้ทำการกลืนยาเหล่านั้นโดยสัญชาตญาณ ทำให้ปี้ชุนโล่งใจ อย่างน้อยก็รู้ว่าการหลับใหลของเขาไม่ได้ลึกเกินไป
ไม่นาน เหยาเอ้อหลางก็กินยาจนหมด สีหน้าของเขาค่อย ๆ มีเลือดฝาดมากขึ้น ทำให้ปี้ชุนโล่งใจ
ปี้ชุนวางถ้วยยาลงด้านข้าง บิดเอวขจัดความขี้เกียจ เวลานี้เพราะความง่วงเข้าครอบงำ สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ฟุบหลับข้างเตียงไป
การเฝ้าครั้งนี้ เป็นเพียงการเฝ้าแค่คืนเดียว
“ปี้ชุน?”
เหยาเอ้อหลางค่อย ๆ ได้ฟื้นตัว เมื่อลืมตาก็เห็นดวงอาทิตย์จากข้างนอกแล้ว
กระทั่งคิดว่านี่คงเข้าสู่วันที่สองแล้ว จึงหันกลับมากระทั่งเห็นปี้ชุนกำลังนอนหลับอยู่ข้างเตียง จึงได้ส่งเสียงเรียกชื่อของนางด้วยจิตใต้สำนึก
——————————————–