ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 701 ครองครู่กันไปจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 701 ครองครู่กันไปจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร

บทที่ 701 ครองครู่กันไปจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร

เช้าวันที่สอง

หลินซือสะดุ้งตื่นจากความฝัน กระทั่งเห็นเจี่ยงเถิงกำลังล้างหน้าบ้วนปากและแต่งตัวอยู่

นับตั้งแต่ที่นางรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ก็มักจะตื่นสายเสมอ เหตุใดวันนี้ตนถึงตื่นเองได้ หลินซือรู้สึกประหลาดใจจึงรีบเอ่ยถามก่อนที่เขาจะไป

“สายขนาดนี้ เหตุใดท่านยังไม่ไปอีก?”

เจี่ยงเถิงได้ยินเสียงของหลินซือดังขึ้นข้างกาย จึงเดินมาข้างเตียง จากนั้นก็ยื่นมือออกไป แตะปลายจมูกของนางอย่างแผ่วเบา

“เด็กโง่ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อวานข้าพูดอะไรกับเจ้าไว้?”

สายตาของหลินซือเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจความหมายของเขา

แต่ครั้นเห็นรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าของเจี่ยงเถิง ไม่นานหลินซือก็เข้าใจว่าเขากำลังหมายความว่าอย่างไร

“แต่ท่านบอกว่าอีกสองสามวัน เราถึงจะได้ไปสักการะอารามบนภูเขา? หรือต้องไปวันนี้?”

เจี่ยงเถิงพยักหน้า “ใช่ ต้องเป็นวันนี้”

“แล้วเรื่องงานของท่านล่ะ จะทำอย่างไร?”

หลินซือเกิดความประหลาดใจ คิดว่าเจี่ยงเถิงจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจทุกวัน แต่จู่ ๆ ก็ลากนางไปอารามบนภูเขาเสียดื้อ ๆ กลับมาครานี้ต้องเสียเวลาสามถึงสี่วัน จะไม่เป็นการถ่วงเวลางานของเขารึ?

แต่ครั้นคิดว่าเจี่ยงเถิงไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เรื่องทางนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจกระมัง หลินซือจึงเอ่ยด้วยความร้อนใจไปเท่านั้น

“ข้าไม่เป็นไร อีกสองสามวันท่านค่อยพาข้าไปสักการะอารามก็ได้ ไม่ต้องไปตอนนี้ ภารกิจของท่านสำคัญกว่า”

“ต่อให้ภารกิจสำคัญอย่างไร มันก็สำคัญทัดเทียมเจ้าไม่ได้ ฮูหยินของข้าสำคัญที่สุด” ครั้นเจี่ยงเถิงกล่าวเช่นนี้ ในใจของหลินซือก็พลันรู้สึกหวานเยิ้ม

เจี่ยงเถิงเห็นหลินซือยังมีท่าทีเป็นกังวลไปบ้าง แต่สุดท้ายก็รีบอธิบายกับนาง “เจ้าวางใจเถอะ ข้าได้วางแผนเรื่องทางนั้นไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เช่นนั้นข้าไปเก็บของก่อนนะ เจ้าก็ลุกขึ้นอาบน้ำเถอะ เราต้องรีบออกเดินทาง พยายามให้ถึงอารามบนยอดเขาแห่งนั้นตอนเที่ยง”

หลินซือพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มให้สาวใช้ด้านหลังแต่งองค์ทรงเครื่อง

ทางด้านเจี่ยงเถิงก็จัดการทุกอย่างรวดเร็ว ตระเตรียมสิ่งของสำหรับสักการะบูชาเรียบร้อย

หลังจากที่รอทุกอย่างพร้อมแล้ว

เจี่ยงเถิงก็ประคองหลินซือเดินมายังประตูจวนอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ประคองหลินซือขึ้นไปนั่งบนรถม้า

“เจ้าลองชิมนี่สิ”

เจี่ยงเถิงหยิบน้ำตาลจานหนึ่งออกมาจากตู้ที่วางอยู่บนโต๊ะบนรถม้า แล้วยื่นให้หลินซือหนึ่งชิ้น

หลินซือมองน้ำตาลในมือของเจี่ยงเถิงด้วยความสงสัย “นี่มันน้ำตาลอะไร? เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นมันมาก่อน?”

“เจ้าลองชิมก่อนสิ ดูสิว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ชอบ”

ได้ยินคำพูดของเจี่ยงเถิง หลินซือก็หยิบน้ำตาลเม็ดนั้นเข้าปาก ความรู้สึกแรกคือความหวานละมุนที่แผ่นซ่าน กระทั่งผิวน้ำตาลรอบนอกเริ่มละลาย กลับมีรสสัมผัสของความเผ็ดเจือจางทะลักออกมาจากข้างใน

หลินซือมองเจี่ยงเถิงตรงหน้าด้วยความประหลาดใจทันที “เหตุใดนำตาลเม็ดนี้ถึงมีรสเผ็ด?”

“เจ้าอยากกินของเผ็ดไม่ใช่หรือ? เมื่อคืนข้าให้พ่อครัวในจวนของเราคิดวิธีการนี้ขึ้นมา ใช้สายไหมและพริกป่นมาปั้นเป็นน้ำตาล คงพอจะคลายความกระหายของเจ้าได้บ้าง พริกป่นในนี้ถูกใส่ในปริมาณที่น้อยมาก ไม่สร้างผลกระทบต่อเด็กในท้องแต่อย่างใด”

หลินซือเห็นท่าทีสนิทสนมเช่นนี้ของเจี่ยงเถิงก็รีบเอนกายอิงแอบเข้าไปในอ้อมกอดของเขาทันที จากนั้นก็ยื่นมือออกไปโอบเอวของเขาแน่น “ท่านช่างแสนดีกับข้ายิ่งนัก”

“ก็เจ้าคือฮูหยินของข้า ข้าดีกับเจ้า นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องทำ”

ทั้งสองคนพลอดรักกันหวานหยดย้อยอยู่บนรถม้า ไม่นานพวกเขาก็มาถึงอารามในตอนเที่ยงวัน

เจี่ยงเถิงประคองหลินซืออย่างระมัดระวัง กระทั่งเดินเข้ามาถึงห้องโถงกลางของอาราม รูปปั้นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ นักบุญที่เดินทางสายกลางกำลังจุดธูปกราบไหว้พระพุทธรูปด้วยความศรัทธา

เหล่าสาวใช้ในเวลานี้ได้หยิบธูปสองสามก้านออกมาแล้วยื่นให้กับหลินซือและเจี่ยงเถิง ทั้งสองคนรับธูปแล้วนั่งคุกเข่าลงบนเบาะรองตรงหน้าพระพุทธรูป

ทั้งสองคนถือธูปเหล่านั้นในมือ ค่อย ๆ หลับตาลงอย่างเชื่องช้าพลางสวดมนต์ภาวนาอย่างจริงจัง

ครั้นหลินซือลืมตาชึ้นมาอีกครั้ง ก็เห็นว่าเจี่ยงเถิงยังคงนั่งสวดมนต์ภาวนา เลยครุ่นคิดในใจว่าเขากำลังอ้อนวอนสิ่งใดต่อพระผู้เป็นเจ้า เหตุใดถึงได้นั่งนานขนาดนี้ เลยแปลกใจอยู่ไม่น้อย

หลังจากที่ทั้งสองคนสวดมนต์ภาวนาเสร็จแล้ว ก็ทำการรวบรวมธูปที่อยู่ในมือของพวกเขาสองคนมาปักลงในกระถางธูป

“ตอนนี้ก็เที่ยงวันแล้ว นักบุญได้ทำการจองห้องให้เราสองคนแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปกินอาหารมังสวิรัติ”

นักพรตนำทางเดินเข้ามา หลังจากบอกกล่าวเจี่ยงเถิงและหลินซือแล้ว ก็พาพวกเขาจากไป

หลังจากเดินไปแล้ว หลินซือก็เอ่ยถามเจี่ยงเถิงที่อยู่ข้างกายด้วยความประหลาดใจ “เมื่อครู่ท่านภาวนาสิ่งใด เหตุใดถึงได้นานนัก?”

“ข้าก็ต้องภาวนาขอให้เจ้าคลอดลูกได้อย่างราบรื่นสิ ขอให้ลูกและเจ้าปลอดภัย และขอให้คนที่ข้ารักและใส่ใจมีชีวิตที่สงบสุขไปตราบชั่วนิรันดร์”

ครั้นได้ยินคำพูดของเจี่ยงเถิง หลินซือก็ตะลึงงันไปก่อนจะเผยรอยยิ้มพริ้มเพราออกมา “ท่านนึกถึงแต่ทุกคน แต่คนเดียวที่ท่านลืมคือตัวเอง”

“ข้าไม่เป็นไร ข้าขอแค่ให้พวกเจ้ามีความสุขก็พอแล้ว”

หลินซือยื่นมือออกไป คว้ามือของเจี่ยงเถิงไว้ คลี่ยิ้มตาหยี “แต่ไม่เป็นไร เพราะข้าภาวนาแทนท่านแล้ว”

ไม่นานทั้งสองคนก็ถูกพามายังห้องรับรองที่พวกเขาได้ทำการจองไว้ล่วงหน้า หลังจากเข้าไปก็มีคนทยอยยกอาหารมังสวิรัติเข้ามาและถอยออกไป เหลือไว้เพียงเจี่ยงเถิงและหลินซือแค่สองคนเท่านั้น

“อาหารมังสวิรัติค่อนข้างจืดชืด เจ้าลองชิมสิ ถ้าไม่ถูกปากจริง ๆ ประเดี๋ยวข้าจะไปเอาน้ำตาลจากในรถม้ามาให้ ไว้กินหลาย ๆ ก้อน”

เจี่ยงเถิงเป็นห่วงตนด้วยความจริงใจ หลินซือยกมุมปากให้เขา “วางใจเถิด ข้าเองก็ชอบกินอาหารมังสวิรัติเช่นกัน”

“จริงสิ เดี๋ยวเรากินอาหารมังสวิรัติเสร็จแล้วค่อยไปแขวนแผ่นอธิษฐานบนต้นไม้ขอพรกัน เมื่อครู่ข้าได้ยินผู้อื่นพูด ๆ กันว่าต้นไม้ขอพรที่นั่นศักดิ์สิทธิ์มาก”

ครั้นเห็นหลินซือมีความสนใจ เจี่ยงเถิงไม่ปฏิเสธแน่นอน กระทั่งเห็นความกระตือรือร้นของนางก็พลอยพนักหน้าตอบรับไปด้วย

หลังจากที่ทั้งสองคนกินอาหารมังสวิรัติหมดก็เดินตามการชักจูงของนักพรตไป กระทั่งถึงต้นไม้ขอพรแห่งนั้น

นักพรตบอกพวกเขาว่า ต้นไม้ขอพรแห่งนี้มีอายุมากว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว และอยู่ด้านหลังของอารามหลังนี้มาตลอด ไม่ว่าจะฟ้าร้องหรือฝนตกพายุโหมกระหน่ำก็ไม่มีสิ่งใดโค่นมันได้

ว่ากันว่าต้นไม้ขอพรต้นนี้เคยเป็นที่จุติของผู้เฒ่าจันทรามาก่อน ดังนั้นตราบใดที่มีการกำหนดแต่งงานกันที่นี่ ทั้งสองคนจะครองคู่กันไปตราบนานเท่านาน

หลินซือและเจี่ยงเถิงให้ความสนใจกับคำบอกเล่าเหล่านี้มาก หลังจากได้รับการอนุญาต ทั้งสองคนก็ทำการเขียนแผ่นอธิบานนั้นทันที

“ขอให้เป็นหนึ่งเดียว ไม่เปล่าเปลี่ยวแม้ยามชรา”

หลินซืออ่านแผ่นอธิษฐานของเจี่ยงเถิง พบว่าเขาเขียนคล้ายกับของตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อก็พลันตื่นตกใจ “ดูท่าเราสองคนจะมีใจเชื่อมโยงกัน ท่านเขียนเหมือนกับข้าไม่มีผิด”

“ดังนั้นเจ้าถูกกำหนดให้อยู่กับข้าไปชั่วชีวิต”

เจี่ยงเถิงกระตุกมุมปากอยู่ในรัศมีที่งดงามชวนหลงใหล จูงมือหลินซือหยิบแผ่นอธิษฐานของพวกนางโยนไปบนต้นไม้

แขวนอยู่บนกิ่งไม้สูง

“หวังว่าผู้เฒ่าจันทราจะเห็นคำอธิษฐานของเราสองคน ให้เราสองคนได้ครองคู่กันจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร”

หลินซือเอนกายพิงไหล่ของเขี่ยงเถิง “แน่นอน”

——————————————–

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท