หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง – ตอนที่ 113 ให้เป็นสินเดิมของพี่รอง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 113 ให้เป็นสินเดิมของพี่รอง

หลินจื่อเหยียนก็ขมวดคิ้วตาม จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าพี่รองหาคนจริงใจได้จริง ตอนแต่งออกไปฝั่งมารดาต้องเตรียมสินเดิมไม่ใช่หรือ ! หากสินเดิมล้ำค่าหน่อย บ้านสามีจึงจะไม่ดูหมิ่น เช่นนั้นแบ่งสามห้องของเราให้พี่รองคนละห้องดีหรือไม่”

เจ้าหนูน้อยสูดหายใจเข้าแล้วขยี้ตาตนเอง จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “พี่รอง ตอนท่านแต่งงานพาข้าไปด้วยได้หรือไม่ ? ข้ากับห้องของข้าถือเป็นสินเดิมของท่านหมดเลย”

ถ้อยคำแสนไร้เดียงสาของเขาสามารถสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคนได้ทันที เจียงโม่หานเหลือบมองเด็กน้อยด้วยแววตาเปื้อนยิ้ม พี่รองของเจ้าแต่งออกไปถือเป็นเรื่องดีมากแล้ว หากลากขวดน้ำมัน1เยี่ยงเจ้าไปด้วย งานแต่งนี้ก็คงมีเหตุให้น่าเป็นห่วงเสียแล้ว !

หลังหัวเราะเสร็จแล้ว นางหวงก็กล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “เจ้ารอง เงินส่วนใหญ่ที่อยู่ในบ้านก็ล้วนเป็นเจ้าหามาได้ทั้งสิ้น หากจะแบ่งให้เจ้าหนึ่งห้องก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าให้เจ้าแล้วไม่ให้พี่สาวด้วย นางคงตำหนิว่าแม่ลำเอียงอีกแน่นอน”

“นี่พวกท่านกำลังคิดอันใดอยู่ ? ห้องแถวยังไม่ทันซื้อก็เริ่มกังวลเรื่องการแบ่งแล้ว ใช่เรื่องที่จะต้องกังวลหรือไร ? ท่านแม่เจ้าคะ ข้าเป็นลูกสาวของท่านและเป็นพี่สาวของน้องชายทั้งสอง เงินที่หามาได้จะเป็นของข้าหรือของท่านได้อย่างไร ? การที่พวกเราหาเงินซื้อห้องแถวหกห้องได้ ต่อไปเราก็หาเงินมาซื้อห้องแถวหกห้องได้อีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สามและครั้งที่สี่ ! ทว่าตอนนี้มากลัดกลุ้มเพราะเงินก้อนเล็กแค่นี้หรือ ต่อไปยังมีให้ท่านกังวลอีกมาก ! ” หลินเว่ยเว่ยเชื่อมั่นในความสามารถด้านการหาเงินของตน

“เอาเถิด ไม่ต้องเอ่ยอันใดแล้ว เป็นอันตกลงตามนี้ ! พรุ่งนี้บัณฑิตน้อยกับต้าฮว๋าไปซื้อห้องแถวกับข้า น้องสาม เจ้านำใบทะเบียนบ้านของพวกเราไปด้วย ดูว่าเราจะสามารถจัดการเรื่องโฉนดได้ในคราเดียวหรือไม่ ! ” หลินเว่ยเว่ยไม่ปล่อยโอกาสให้ผู้อื่นได้กล่าวอันใดอีกและรีบสรุปผลทันที

รุ่งขึ้น หลินเว่ยเว่ยแต่งกายด้วยชุดของบุรุษ เมื่อมาพบเจ้าของห้องแถวแล้ว นางก็ใช้ลิ้นสามชุ่น2เริ่มต่อรองราคา เจ้าของห้องแถวที่ตอนแรกไม่ยอมลดราคาแม้แต่อีแปะเดียวจึงโดนหว่านล้อมจนยอมลดราคาลงมาเหลือ 962 ตำลึง

เจ้าของห้องแถวคือผู้สูงอายุประมาณ 50 ปีได้ เขาถอนหายใจและส่ายศีรษะใส่เจียงโม่หาน “ข้าไม่เคยเห็นคนต่อราคาเก่งเยี่ยงพี่ชายเจ้ามาก่อน ! ”

เจียงโม่หานชักสีหน้าทันที “ข้าต่างหากเป็นพี่ ! ”

ทันใดนั้นเจ้าของห้องแถวก็มองสำรวจทั้งสามคนใหม่อีกครา รอบนี้เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว ! ทั้งสามท่านเป็นผู้มากความสามารถ บิดามารดาของพวกท่านช่างโชคดีเสียจริง ! ”

หลินเว่ยเว่ยเดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ทั้งสองคนนี้ในครอบครัวล้วนเป็นบัณฑิต คนหนึ่งกำลังจะสอบซิ่วไฉ ส่วนอีกคนกำลังจะสอบถงเซิงในปีหน้า ! ”

เจียงโม่หานหันไปถลึงตาใส่นาง ใครเป็นคนบ้านเดียวกับเจ้า ? เอาเปรียบข้าอีกแล้ว !

แรกเริ่มเจ้าของห้องแถวรู้สึกประหลาดใจพอสมควร เพราะเด็กหนุ่มสามคนนี้ดูเป็นผู้ซื้อบ้านที่มากความสามารถ หน้าตาดีเลิศและยังมีความโดดเด่นเฉพาะตัว สองในสามดูมีกลิ่นอายของปัญญาชนอย่างเข้มข้น แค่มองก็รู้ว่าเป็นตระกูลบัณฑิต ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งคนพูดจาฉะฉาน ดูเหมือนถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ไม่เหมือนผู้ที่เดินบนเส้นทางเดียวกัน!

“แต่เมื่อก่อนฐานะของครอบครัวเราไม่ดี ส่งพี่น้องทุกคนเรียนหนังสือไม่ได้ ดังนั้นต้องมีคนอยู่ดูแลครอบครัวใช่หรือไม่ ? ข้าจึงเสียสละตนเองเพื่อให้น้องได้สมความปรารถนา ข้าละทิ้งเส้นทางปัญญาชนแล้วแบกรับภาระเลี้ยงดูครอบครัวเต็มตัว ไม่ว่าจะเหนื่อยหรือท้อเพียงใด ข้าต้องกัดฟันสู้ต่อไปเพื่อให้พี่น้องได้เรียนหนังสืออย่างสบายใจ อนาคตจะได้เจริญรุ่งเรือง…” หลินเว่ยเว่ยแสดงละครสุดตัว นางกล่าวเสียจนตัวเองก็แทบจะซึ้งตามไปด้วย

เจ้าของห้องแถวเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องจริงจึงยกนิ้วโป้งให้นางทันทีแล้วตบบ่าของเจียงโม่หาน “พวกเจ้าพี่น้องหากประสบความสำเร็จแล้ว อย่าลืมน้ำใจของน้องรองบ้านเจ้าเสียล่ะ ! ”

หลินเว่ยเว่ยเม้มปากแน่นแล้วก้มหน้าลงเพราะกลัวตัวเองจะหลุดขำออกมา !

ต่อจากนั้นพวกเขาก็ไปยังที่ว่าการเขต พอได้โฉนดที่ดินและกรรมสิทธิ์บ้านมาครองแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “วันนี้ช่างมีความสุขเสียจริง ข้าจะเชิญพี่น้องไปกินข้าวและร่ำสุราที่หอจุ้ยเซียนดีหรือไม่ ? ”

“ยังเล่นละครไม่พออีกหรือ ? ยังจะไปกินข้าวและร่ำสุราอีก เจ้าคิดว่าเป็นหนึ่งใน ‘สามวีรบุรุษสาบานในสวนท้อ3’ หรือไร ? ” หลังจากรับโฉนดที่ดินและกรรมสิทธิ์บ้านในส่วนของตนมาถือไว้แล้ว เจียงโม่หานก็กลอกตาใส่นาง

“หากไม่ดื่มสุราก็ไปกินอาหารได้ ! ทำธุระมาทั้งวันแล้ว พวกเจ้าไม่หิวบ้างหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยลูบหน้าท้องของตน มนุษย์ต้องกินข้าว อดอาหารไปมื้อเดียวก็หิวจะตายแล้ว ดังนั้นเรื่องกินถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด !

เจียงโม่หานหันกลับมาจ้องนาง “ซื้อห้องแถวเก่า ๆ ไปแล้วก็ไม่รู้จักประมาณตนหรือไร ? หอจุ้ยเซียนเป็นสถานที่ที่เจ้าไปได้หรือ ? ”

หลินเว่ยเว่ยไม่สบอารมณ์ทันที “ทำไม ? ดูถูกข้าหรือ ? ข้าจะ…”

ทันใดนั้นหลินจื่อเหยียนก็กระตุกชายเสื้อนาง “พี่รองพอเถิด อาหารที่หอจุ้ยเซียนแพงจะตาย มันไม่คุ้มกันหรอก ! ”

“ต้าฮว๋า เจ้าก็ดูถูกข้าด้วยหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยตะโกนด้วยความโมโหเล็กน้อย

แต่ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็หันมาเคาะศีรษะเด็กตัวแสบที่กำลังหาเรื่องด้วยพัดในมือ “ไม่ใช่เรื่องที่ว่าใครดูถูกใคร แต่เป็นเรื่องที่ว่าคุ้มค่าหรือไม่ ! อาหารมื้อเดียวเทียบเท่าผลกำไรเนื้อแผ่นในหนึ่งวัน เจ้าเป็นคนโง่เขลาไปแล้วหรือ ! ”

หลินจื่อเหยียนก็พยักหน้าตาม “ใช่ ! อาหารแค่มื้อเดียวก็ต้องจ่ายไปหลายสิบตำลึงแล้ว เช่นนั้นเอามาซื้อห้องแถวได้เกือบครึ่งห้องเลยนะ ไม่คุ้มเลยสักนิด ! ”

หลินเว่ยเว่ยลูบหน้าผากที่โดนตีเมื่อครู่ จากนั้นก็บ่นพึมพำว่า “พวกเจ้า…พวกเจ้าดูถูกผู้อื่น…โอ๊ย หิวจะตายอยู่แล้ว ! ”

เจียงโม่หานเผยสีหน้าเบื่อหน่าย พอส่ายศีรษะแล้วเขาก็กล่าวว่า “ไป ประเดี๋ยวข้าจะเลี้ยงน้องชายน้องสาวเอง”

“ต้าฮว๋า ! บัณฑิตน้อยจะเลี้ยงพวกเราด้วยล่ะ ต้าฮว๋า ในที่สุดเราสองพี่น้องก็จะได้เพิ่มขนาดพุงกันแล้ว เราจะกินจนบัณฑิตน้อยต้องกำกระเป๋าเงินแล้วร้องไห้ไปเลย…” หลินเว่ยเว่ยรีบเดินขึ้นมาเคียงข้างกับเจียงโม่หาน

ส่วนหลินจื่อเหยียนกำลังอ้าปากค้าง ปกติพี่รองกับศิษย์พี่เจียงสนทนากันเช่นนี้หรือ ? ในเวลาปกติศิษย์พี่เจียงดูเป็นคนหยิ่งทะนงและเย็นชา คาดไม่ถึงว่าเวลาอยู่ต่อหน้าพี่รองจะเป็นคนเรียบง่ายและใจดีเช่นนี้…สองคนนี้เหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘คู่รักคู่แค้น’ ไม่ ไม่ ! พี่รองกับศิษย์พี่เจียงก็แค่สหายที่เติบโตมาด้วยกัน…แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่ !

หลินจื่อเหยียนเริ่มจ้องใบหน้าอันเปี่ยมเสน่ห์ของเจียงโม่หานพร้อมใจแสนกระวนกระวาย…พี่รองคงไม่ได้ชอบศิษย์พี่เจียงหรอกกระมัง ? อาจารย์ฟ่านก็กล่าวแล้วว่าบัณฑิตเจียงคือมังกรเหนือน้ำ4 หากพี่รองจมอยู่กับความรู้สึกนี้ ต่อไปจะต้องเสียใจมากไม่ใช่หรือ ? เขาจะเข้าไปเตือนพี่รองดีหรือไม่ ?

หรือว่า…จะลองดูท่าทีศิษย์พี่เจียงไปก่อน ? ดูว่าเขารู้สึกเช่นไรกับพี่รอง แต่เหมือนการทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูก…พอกลับไปแล้วควรบอกท่านแม่หาคู่ครองให้พี่รองเร็ว ๆ ดีกว่า นางจะได้หักห้ามใจและลืมความปรารถนานี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

ทันใดนั้นหลินจื่อเหยียนก็ตีศีรษะของตน…นี่เขากำลังด้อยค่าพี่รองได้อย่างไร ? พี่รองเป็นคนดีมาก ! เป็นศิษย์พี่เจียงผู้แสนเย็นชาต่างหากที่ไม่คู่ควรกับนาง !

เมื่อเกิดความเจ็บจากการตีเบา ๆ บนศีรษะแล้ว เสียงของพี่รองก็ดังตามมา “เหตุใดจึงตีศีรษะตนเอง ? เดิมทีก็ไม่ค่อยฉลาดอยู่แล้ว ถ้าโง่เขลาขึ้นมาจะสอบถงเซิงได้อย่างไร ? ”

จริงสิ ! ถ้าเขาฉลาดเหมือนศิษย์พี่เจียงก็คงจะดี ! หากสอบซิ่วไฉได้ก็จะทำให้พี่สาวของซิ่วไฉไม่ต้องกังวลเรื่องงานแต่งอีก หากพี่รองแต่งช้าออกไปสักสองปี รอจนเขาสอบติดแล้วจะแต่งกับศิษย์พี่เจียงก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอันใด…เป็นเพราะเขาเองที่โง่เกินไป !

หลังสังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของน้องสามแล้วหลินเว่ยเว่ยก็เบนสายตาเปี่ยมคำถามไปที่ตัวบัณฑิตหนุ่ม เขาเป็นอันใดไป ? ช่วงนี้พวกเจ้าศึกษาตำรากันจนทำให้มีแรงกดดันเยอะเกินไปหรือไม่ ?

1 ลากขวดน้ำมัน คือสำนวนที่ใช้เปรียบเปรยว่าเป็นตัวภาระ

2 ลิ้นสามชุ่น เป็นสำนวนใช้เพื่อยกย่องความสามารถในเชิงวาทะศิลป์หรือผู้ที่มีผีปากเป็นเลิศ

3 สามวีรบุรุษสาบานในสวนท้อ ซึ่งเป็นการกล่าวร่วมสัตย์สาบานเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดระหว่างเล่าปี่ กวนอูและเตียวหุย มีวรรคทองว่า แม้นไม่เกิดวันเดือนปีเดียวกัน แต่ขอตายวันเดือนปีเดียวกัน

4 มังกรเหนือน้ำ คือคำอุปมาสำหรับผู้ที่มีความทะเยอทะยานสูงส่ง

ตอนต่อไป

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

Status: Ongoing
นักศึกษาเรียนดีจากวิทยาลัยเกษตรทะลุมิติมาเป็นเด็กสาวชาวนาผู้โง่เขลาและมีนิสัยป่าเถื่อน บิดาก็ตาย มารดาก็อ่อนแอ น้องชายดันมาตีตัวออกห่าง ส่วนพี่สาวก็มักจะคิดว่าเธอเป็นภาระเสมอ แต่โชคดีที่เธอมีมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ในมือ เธอทั้งกลายเป็นนักล่าหมูป่า ทำให้ฝูงหมาป่าตกใจ ใช้น้ำพุวิญญาณมาปลูกพืชพันธุ์จนได้ผลผลิตดีงาม ทำสวนก็ได้ผลผลิตดี เลี้ยงสัตว์ก็เติบโต ไหนจะเสน่ห์ปลายจวักอีก เด็กโง่เขลาคนนี้นี่แหละจะนำพาทั้งครอบครัวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเอง ! ทว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานจอมหยิ่งคนข้างบ้านเนี่ย คิดว่าตัวเองหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง ? คิดว่าเป็นขุนนางแล้วใครจะทำอะไรไม่ได้หรือ ? สุดท้ายก็ถูกเด็กโง่คนนี้กำราบไม่ใช่หรือไง ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท