ตอนที่ 179 ต้องมีสักวันที่โดนเอาเปรียบ
เหล่าผู้ประสบภัยหันมามองหน้ากัน เด็กที่ดูมีอายุห่างจากเจ้าหนูน้อยไม่มากก็มองหลินเว่ยเว่ยด้วยสายตางุนงง เขตเริ่นอันอยู่ห่างจากตัวอำเภอมาก หากขับเกวียนหรือรถม้าไปต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันเต็ม แต่ถ้าคนกลุ่มนี้เดินเท้าไปที่นั่นต้องใช้เวลา 2-3 วัน ในสภาพไม่ได้กินไม่ได้ดื่มเช่นนี้จะทนได้อย่างไร ? ดวงตาของสตรีสองสามนางจึงดูซึมเศร้าขึ้นมาทันที
หลินเว่ยเว่ยอดไม่ได้ที่จะปวดใจ นางนำมันเทศที่ซื้อมาหนึ่งกระสอบแบ่งให้พวกเขาคนละหัวสองหัว ตอนแบ่งไปถึงเจ้าถั่วงอกน้อยอายุประมาณ 6-7 ขวบคนนั้น เขากลับไม่ได้ยื่นมือออกมารับ ทว่ามองนางด้วยดวงตาสีแดงก่ำอยู่พักหนึ่ง ต่อจากนั้นเสียงร้องไห้โฮก็ดังขึ้นมา เขาเอ่ยคำว่า ‘พี่สาว’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
หญิงชราร่างกายผอมแห้งซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มถอนหายใจพลางเอ่ย “เขาเป็นเด็กน้อยชะตาอาภัพ บิดาทำงานที่ท่าเรือในเขต แต่พอเข้าไปพัวพันกับเหตุทะเลาะวิวาทของคนสองกลุ่มแล้วก็หายตัวไปในที่เกิดเหตุ มารดาที่ป่วยของเด็กน้อยคนนี้เพื่อประหยัดอาหารไว้ให้ลูกสองคน นางจึงยอมนอนอดตายบนเตียง พี่สาวของเขาพาน้องชายออกมาแต่โดนเดรัจฉานกลุ่มนั้น…ทำร้ายจนตาย
กู่เหนียงผู้ใจบุญ หากบ้านท่านไม่ได้เดือดร้อนอันใดมากก็ซื้อเขาไว้เถิด แม้กู่เหนียงจะให้ของกินแก่เขาก็พอประทังได้แค่วันเดียว…เด็กโตขนาดนี้ต้องช่วยทำงานได้ไม่น้อย ! ”
เด็ก สตรีและคนชรากลุ่มนี้ล้วนมาจากหมู่บ้านเดียวกัน หญิงชรายังเป็นญาติกับเด็กน้อย…แต่เป็นญาติแล้วอย่างไร ? นางยังดูแลตัวเองไม่ไหว ไฉนเลยจะไปช่วยดูแลผู้อื่นได้ ?
หลินเว่ยเว่ยมองเจ้าถั่วงอกน้อยที่ร่างกายผอมแห้ง ศีรษะใหญ่กว่าตัว เขามีสภาพเหมือนเจ้าหนูน้อยตอนที่นางได้เจอในครั้งแรกไม่มีผิด นางจึงเริ่มใจอ่อน
นางย่อตัวลงแล้วยื่นมือไปลูบศีรษะถั่วงอกน้อยพลางถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเป็นบ่าวรับใช้ให้ผู้อื่นหมายความเยี่ยงไร ? หมายความว่าชีวิตของเจ้าจะไม่ใช่ของตนอีกต่อไป…เจ้าเต็มใจหรือไม่ ? ”
เจ้าถั่วงอกน้อยใช้มือแสนสกปรกของตนเช็ดหน้า หลังออกแรงพยักหน้าแล้วเขาก็กล่าวออกมาว่า “แม้ชีวิตจะไม่ใช่ของข้า ทว่าอย่างน้อยก็สามารถรักษาเอาไว้ได้ ข้ายอมเป็นบ่าวรับใช้ของกู่เหนียง…”
แต่แล้วเขาก็ถูกขัดจังหวะเพราะจู่ ๆ ก็มีเด็กน้อยวิ่งเข้ามากอดขาหลินเว่ยเว่ย “กู่เหนียง ท่านซื้อข้าไว้ด้วยเถิด ! ข้าเองก็ไม่มีพ่อแม่ อยู่ต่อไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ! ”
ถั่วงอกน้อยตาโต หลังมองเด็กผู้หญิงตัวน้อยแล้วก็หันไปมองสตรีคนหนึ่งในกลุ่ม สตรีนางนั้นมีใบหน้าเหี่ยวแห้งและเผยสีหน้าตกใจออกมา ต่อจากนั้นก็รีบเข้าไปหลบหลังสตรีคนอื่นพลางปิดปากร้องไห้เงียบ ๆ
เจียงโม่หานเห็นฉากนี้เข้าพอดี เขาจึงลงจากเกวียนเทียมล่อ หลังใช้ปลายเท้าเขี่ยเด็กน้อยคนนั้นออกแล้วเขาก็พูดอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าเป็นบ่าวของบ้านเรา การทำเสื้อผ้าของเจ้านายสกปรกจะต้องโดนลงโทษโดยการโบยยี่สิบไม้ ! ซัวถัว…”
เจียงโม่หานแผ่บารมีน่าเกรงขามออกมา แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชาราวกับควบคุมความเป็นความตายของผู้อื่นไว้ ทำให้คนมองสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บ เด็กหญิงตัวน้อยไม่กล้าสบตา จากนั้นนางก็คุกเข่ากับพื้นพร้อมร่างที่สั่นเทา
“โกหกเจ้านายก็เพิ่มอีกหนึ่งข้อหา ! ” น้ำเสียงเย็นชาราวกับคมกระบี่สามารถเปิดโปงคำโป้ปดได้ทุกอย่าง “เจ้ายังอยากเป็นบ่าวรับใช้ของบ้านเราหรือไม่ ? ”
เด็กน้อยตัวสั่นเทาสักพักหนึ่ง นางหันไปมองหลินเว่ยเว่ยแล้วพูดเล่นลิ้นว่า “ขะ…ข้าเป็นบ่าวรับใช้ให้กู่เหนียง ไม่ได้บอกว่า…ไม่ได้บอกว่าจะเป็นให้ท่าน…”
เสียงของนางค่อย ๆ เบาลงภายใต้สายตาของเจียงโม่หาน เขาเค้นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นก็กล่าวว่า “ข้ากับนางเป็นครอบครัวเดียวกัน ! อย่าคิดว่าน้องสาวของข้าใจดีแล้วจะหลอกนางได้ ! ”
ทันใดนั้นสตรีคนหนึ่งในกลุ่มก็พุ่งออกมา นางเข้ามากอดเด็กน้อยแล้วคร่ำครวญว่า “นางยังเด็ก กู่เหนียงและคุณชายได้โปรดอย่าถือสานางเลย นางกลัวเพราะความหิวถึงได้…”
หลินเว่ยเว่ยจึงกล่าวว่า “ข้าย่อมไม่ถือสานางอยู่แล้ว ! ทว่าเด็กที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากมายเช่นนี้ ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก ! ไม่แน่ว่าอาจมีสักวันที่โดนนางทรยศ ! ”
“ข้าไม่ทำหรอก ! ข้าแค่ไม่อยากหิวอีกต่อไป ไม่อยากรู้สึกว่าพอตื่นมาแล้วข้างกายก็มีคนตายเพิ่มอีกหนึ่ง ไม่อยากโดนด่าโดนทุบตีราวกับสุนัข…ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป หรือก็ผิดด้วย ? ” เด็กน้อยร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง
“เจ้าไม่ผิดหรือ ? มารดาที่ตายจากปากเจ้าและถูกเจ้าทอดทิ้ง นางทำผิดอันใด ? แม้แต่คนใกล้ชิดยังกล้าสาปแช่งอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วใครจะกล้าใช้งานเจ้า ? ” หลินเว่ยเว่ยเผยสีหน้าเสียใจ จนถึงตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังไม่ตระหนักในความผิดของตน คิดว่าทุกอย่างเป็นความผิดของผู้อื่น และนางเกลียดคนเช่นนี้ที่สุด !
ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็โน้มกายไปอุ้มเจ้าถั่วงอกน้อยขึ้นเกวียน เขามองมันเทศในมือแล้วรีบวิ่งกลับไปที่กลุ่มคนเพื่อนำมันเทศมอบให้หญิงชราคนหนึ่ง…หลังจากพี่สาวเสียชีวิต ถ้าไม่ได้ย่าห้าคอยปกป้อง เขาก็ไม่มีทางอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้เลย !
หลินเว่ยเว่ยมองฉากนี้ด้วยความประทับใจ นางมองคนไม่ผิดจริง ๆ ผู้ที่รู้จักสำนึกบุญคุณไม่มีทางมีนิสัยเจ้าเล่ห์แน่นอน !
เจียงโม่หานส่ายศีรษะพลางคิดในใจว่านางมีจิตใจดีเกินไป ต้องมีสักวันที่โดนเอาเปรียบ !
เมื่อเกวียนเทียมล่อกลับถึงฉือหลี่โกว เด็กห้าหกคนกลุ่มหนึ่งก็ถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยหญ้าเขียวสดเข้ามาต้อนรับ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้นำกลุ่มคือเจ้าหนูน้อยตัวขาวอวบนั่นเอง
“พี่รอง ดูสิ ! พวกเราตัด หนึ่ง สอง สาม…หญ้ากระต่ายได้ตั้งแปดตะกร้า ! แถมนี่ยังเป็นรอบที่สามของวันด้วยนะ ! ” เจ้าหนูน้อยทำหน้าตาน่ารักแล้วทำท่าทางราวกับต้องการที่จะบอกว่า ‘รีบชมข้าเร็วเข้า’
หลินเว่ยเว่ยกระโดดลงจากเกวียนเทียมล่อแล้วอุ้มเจ้าหนูน้อยขึ้นเกวียนพลางลูบศีรษะน้อย ๆ ของเขา “น้องสี่ของพวกเราเก่งที่สุด ! ”
พอเห็นสีหน้าอิจฉาของเด็กคนอื่น นางจึงย้ายของบนเกวียนแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เข้ามานี่สิ ! ” พวกตัวน้อยจึงทำเสียงดีใจแล้วรีบเข้ามาล้อมและปีนขึ้นเกวียนทันที !
วังตงเฉียงหลานชายคนเล็กของผู้ใหญ่บ้านยังนำกิ่งหลิวก้านหนึ่งมาตีที่ก้นล่อ
เจ้าหนูน้อยที่ขึ้นมาบนเกวียนคนแรกก็เห็นว่าบนเกวียนมีเด็กตัวสกปรกคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาจึงหันไปมองด้วยความสงสัย “พี่รอง เขาคือใคร ? ”
“เขาหรือ ? ต่อไปจะมาเป็นลูกน้องเจ้า ! เขาจะช่วยเจ้าตัดหญ้าให้กระต่าย จับตั๊กแตน ทำความสะอาดคอกกระต่าย คอกแพะ รอให้เจ้าเริ่มเข้าเรียน แล้วเขาจะช่วยแบกกระเป๋าและฝนหมึก ! ” หลินเว่ยเว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เจ้าหนูน้อยขมวดคิ้วและเผยให้เห็นสีหน้าขมขื่น “พี่รอง ต่อไปเขาจะมาอยู่ที่บ้านเราหรือ ? บ้านเราเลี้ยงคนเยอะแยะเช่นนี้ไหวหรือ ? เช่นนั้น…ท่านส่งเขากลับไปได้หรือไม่ ! ข้าสามารถให้อาหารกระต่ายหรือทำความสะอาดคอกกระต่ายเอง แถมข้าก็แบกกระเป๋าและฝนหมึกเองได้”
เจ้าถั่วงอกน้อยได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าเคร่งเครียดทันทีแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ข้า…ข้ากินน้อยมาก มื้อหนึ่งกินแค่ผักป่ากับโวโวโถว1ชิ้นเดียวก็ได้แล้ว ข้าอยู่ห้องเก็บฟืนก็ได้ แค่ปูฟางก็พอแล้ว…แต่…แต่อย่าไล่ข้าไปเลย…”
วังตงเฉียงมองมือที่ดูเล็กเสียยิ่งกว่าไข่ไก่ของอีกฝ่ายแล้วกล่าวด้วยความตกใจ “เจ้ากินน้อยถึงเพียงนี้เลยหรือ ? ข้ากินได้ตั้งห้าชิ้นเชียวล่ะ ! ”
“ข้ากินได้หกชิ้น ! ”
“เจ้ากินไม่ได้เยอะเท่าข้าหรอก ข้ากินได้ตั้งเจ็ดชิ้น…”
“ข้ากินได้สิบชิ้น ! ”
“โกหก พ่อของข้ายังกินไม่เยอะถึงเพียงนั้นเลย ! เจ้าไม่กลัวจะกินเยอะเกินไปหรือไร ! ”
ฮ่าฮ่าฮ่า…
1 โวโวโถว คือ อาหารประเภทแป้งของคนจีนทางเหนือโดยทำจากแป้งข้าวโพดและถั่วเหลือง ในอดีตเป็นอาหารหลักของคนจน รสชาติแห้งกระด้างกว่าหมั่นโถว
ตอนต่อไป