ตอนที่ 356 หนุ่มรูปงามและกลยุทธ์ทุกข์กายของเขา
“คิดว่าที่นี่เป็นบ้านของตน ไม่ต้องเกรงใจ ! ” หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
ขณะมองตามแผ่นหลังของหลินกู่เหนียงที่โดนบัณฑิตเจียงลากออกไป ฉีเยี่ยนก็มุ่ยปากทันที “หลินกู่เหนียงดูเป็นมิตรดีอยู่หรอก แต่บัณฑิตเจียงดูเย็นชา ไม่แยแสคนอื่น ทำให้รู้สึกไม่ดีอย่างไรก็บอกไม่ถูกขอรับ ! ”
หยวนเจี๋ยถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปนั่งบนเตียง…เมื่อคืนตอนอยู่ที่เขตเริ่นอัน โรงเตี๊ยมที่พวกเขาพักอยู่ก็มีเตียงเตา สภาพอากาศในภาคเหนือรุนแรงถึงเพียงนี้ หากไม่ใช้เตียงเตาแล้วใครจะทนไหว ?
เตียงเตาอุ่นร้อนทำให้ร่างกายที่เย็นเพราะลมหนาวค่อย ๆ กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง หยวนเจี๋ยคว้าเมล็ดสนปากอ้าขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วแกะใส่ปาก ก่อนจะพูดว่า “บัณฑิตเจียงน่าจะมีนิสัยเช่นนี้ตั้งแต่กำเกิด เขาไม่ได้จงใจเป็นปรปักษ์กับเราหรอก เมล็ดสนนี่…รสชาติพิเศษมาก เวลากินก็สะดวก ! ฉีเยี่ยน เจ้าเองก็ขึ้นมาอุ่นกายบนเตียงด้วยสิ”
ฉีเยี่ยนเติบโตมาพร้อมคุณชายห้า เขารู้ว่าคุณชายมีนิสัยชอบเห็นใจบ่าวอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด หลังล้างมือให้สะอาดแล้วเขาก็ขึ้นมานั่งบนเตียง เท้าวางอยู่บนพื้นแล้วเริ่มแกะเมล็ดสนให้คุณชาย “ที่เมืองหลวงเมล็ดสนปากอ้าเช่นนี้ขายในราคาชั่งละ 1-2 ตำลึงเลยนะขอรับ ได้ยินว่าตระกูลลู่ขนมาจากภาคเหนือ คงไม่ได้…ซื้อมาจากที่นี่หรอกนะขอรับ ? ”
หลังกินเมล็ดสนรสห้าเครื่องเทศเสร็จแล้ว หยวนเจี๋ยก็เริ่มหยิบเนื้อแผ่นขึ้นมากิน เมื่อลองชิมแล้วเขาก็พูดพร้อมกับรอยยิ้ม “ช่วงฤดูใบไม้ผลิ หลังคุณชายรองลู่กลับจากขนเครื่องเคลือบไปทางตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว เมล็ดสนปากอ้าก็เป็นที่นิยมในเมืองหลวงระยะหนึ่ง กลับไปคราวนี้ร้านตระกูลลู่ก็มีเมล็ดสนปากอ้านี้วางขายอีก หากไม่ได้ซื้อจากที่นี่แล้วจะขนมาจากที่ใด ? ”
ฉีเยี่ยนมีดวงตาเป็นประกายทันที “ถ้าเช่นนั้นตอนขากลับ เราเองก็ซื้อไปบ้างดีหรือไม่ขอรับ ไม่ว่าจะไปเยี่ยมญาติมิตรหรือต้อนรับแขกในเดือนแรกก็ล้วนจะได้หน้าได้ตานะขอรับ…”
หยวนเจี๋ยถลึงตาใส่เขา “เจ้าคงลืมเป้าหมายในการมาเยือนแดนเหนือของเราไปแล้วสิท่า ! ”
ฉีเยี่ยนหดคอแล้วพูดในใจ ตามหาผู้อาวุโสเซวียกับซื้อเมล็ดสนไม่ได้ขัดแย้งกันเสียหน่อย !
“ไม่รู้ว่าสหายที่คบหากันมานานที่บัณฑิตเจียงเอ่ยถึงนั้นจะเป็นอาจารย์ปู่ที่ท่านพ่อเฝ้าตามหาหรือเปล่า หวังว่าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง ! ” หยวนเจี๋ยบ่นพึมพำเพราะยังกังวลว่าอาจารย์ปู่จะปกปิดฐานะแล้วไม่ยอมให้เขาเข้าพบ…
เวลานี้บ้านตระกูลหลินกำลังเตรียมอาหารกลางวันอยู่ ของใช้สำหรับปีใหม่ก็เตรียมครบแล้ว หมูก็เพิ่งเชือดได้ไม่กี่วัน ไส้กรอกที่ทำไว้เมื่อเดือนที่แล้วก็พร้อมกิน ดังนั้นที่บ้านจึงไม่ขาดแคลนอาหารเลย
เจียงโม่หานเห็นหลินเว่ยเว่ยทำงานหัวหมุนในครัวจึงกังวลว่านางจะตากลมหนาวแล้วแขนก็เพิ่งหายได้แค่เดือนกว่า ๆ ไม่รู้ว่ากระดูกสมานกันดีหรือยัง ? แต่เด็กนี่ก็ใจกล้า ยังทรมานตนเองเพื่อเดินทางเข้าเมือง ทำงานอยู่ที่นั่นทั้งวันจนล้มป่วย !
เขาหยิบผ้าพันแขนที่หลินเว่ยเว่ยใช้บ่อย ๆ มาพาดไว้ที่คอของนาง หลินเว่ยเว่ยรีบหลบแล้วพูดว่า “แขนของข้าหายแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้านี่ น่ารำคาญจะตาย ! ”
“ข้ามองแขนเจ้าแล้ว มันบวมเหมือนตีนหมู ยังกล้าบอกว่าหายแล้วหรือ ? ” เจียงโม่หานกดหลังมือนาง ทันใดนั้นรอยกดก็ปรากฎขึ้นให้เห็นทันที
เอาเถิด ! ถ้านางปล่อยแขนเหยียดตรงนาน ๆ มันจะบวมขึ้นจริง ๆ นั่นแหละ นางเคยถามหมอเหลียงแล้ว แต่นี่เป็นอาการปกติ แขนของนางฟื้นตัวได้พอสมควร ขอแค่ไม่ทำงานหนักหรือยกของหนักก็พอ
บุตรสาวคนโตตระกูลหลินเบื่อหน่ายต่อการพลอดรักของทั้งสอง “เอาเถิด เจ้ากลับไปพักที่ห้อง ประเดี๋ยวข้าทำอาหารเที่ยงเอง ! ”
นางหวงเดินเข้ามาและไล่บุตรสาวคนรองออกไปเช่นกัน “ฟังพี่เจ้าเถิด ไปนอนพักบนเตียงโน้น ประเดี๋ยวที่นี่แม่กับพี่สาวของเจ้าจัดการกันเอง ! ”
“เอาเช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ! ยังเหลือซี่โครงหมูตุ๋นน้ำแดงแล้วก็ ‘เนื้อรมควันผัดต้นกระเทียม’ ทุกอย่างก็ใกล้เสร็จแล้ว ! ” อาหารหกชนิด แถมยังเป็นอาหารชั้นเลิศทั้งหมด ใช้ต้อนรับแขกจากเมืองหลวงจะได้ไม่เสียมารยาท !
ขณะที่หลินเว่ยเว่ยกำลังจะเข้าห้อง นางอยากกระโดดขึ้นเตียงแสนอบอุ่น ทว่าก็ถูกสะกิดจากด้านหลัง พอหันกลับไปมองก็เห็นเข้ากับใบหน้าแสนหล่อเหลายวนใจ นางจึงพูดอย่างมีความสุขว่า “ทำไม ? ไม่อยากอยู่ห่างข้าหรือ ? มาสิ เตียงข้ากว้างขวาง แม้จะนอนสองคนก็ยังมีที่เหลือ…”
“ไปบ้านท่านหมอเหลียงกับข้า ให้เขาจับชีพจรเจ้าและจ่ายยาแก้หวัดให้ด้วย ! ” แม้จะกินยาสองวันติดจนอาการของนางดีขึ้นแล้ว ทว่าจะประมาทไม่ได้ ประเดี๋ยวก็ถึงวันปีใหม่ อาการป่วยถือเป็นสิ่งอัปมงคล
หลินเว่ยเว่ยรีบกอดประตูแล้วส่ายหน้าราวกับปอล่างกู่ “ไม่ต้องหรอก ข้าหายแล้ว…”
“หายหรือไม่หาย เจ้าไม่สามารถพูดได้ ต้องให้ท่านหมอเหลียงเป็นคนพูด ! ” เจียงโม่หานรู้ว่าถ้าเทียบแรงกันแล้วเขาไม่มีทางสู้นางได้ เขาจึงใช้ตาจ้องนางอยู่อย่างนั้น ขณะเดียวกันมือก็ยังจับปกคอเสื้อของนางเอาไว้ หิมะตกใส่ผมใส่ไหล่จนแก้มและเสื้อผ้าของเขาเริ่มเปียก…
“ก็ได้ ก็ได้ ! ข้าจะไปก็ได้ ! ” หลินเว่ยเว่ยยอมแพ้ หนุ่มรูปงามและกลยุทธ์ทุกข์กาย1ของเขา นางจะต้านทานได้อย่างไร ? หลินเว่ยเว่ยเอ๋ยหลินเว่ยเว่ย ! ไม่ไหวเลยจริง ๆ !
เมื่อไปแบ่งน้ำตาลที่ซื้อมาจากอำเภอและหั่นเนื้อหมูเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยกับเจียงโม่หานก็เดินฝ่าหิมะมาเคาะประตูบ้านหมอเหลียง
บ้านหมอเหลียงอยู่ที่เชิงเขาหลังหมู่บ้าน อยู่ห่างจากบ้านของพวกนางพอสมควร พอมีคนมาเคาะประตูในเวลานี้ เขาจึงเข้าใจผิดว่าบ้านใครมีคนป่วยแล้วอยากให้เขาไปรักษา หลังรอให้หมอเหลียงถือกล่องยามาเปิดประตูแล้วก็พบว่าเป็นพวกนางสองคน
ขณะมองแขนที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอกของหลินเว่ยเว่ย หมอเหลียงก็เข้าใจผิดว่านางบาดเจ็บซ้ำอีกรอบจึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ทันที “ข้าไม่ได้บอกเจ้าแล้วหรือว่าอย่ายกของหนักและอย่าทำงานหนักเกินไป แขนของตัวเองทว่าไม่รู้จักดูแลรักษา ถ้าป่วยเป็นโรคเรื้อรังขึ้นมา มันจะทรมานไปทั้งชีวิต ! พวกเจ้าสองคนเข้ามาเลยนะ ! ”
หลินเว่ยเว่ยรีบอธิบาย “ท่านหมอเหลียง ข้าไม่ได้ยกของหนัก แขนก็ไม่ได้เป็นอะไร แต่เพราะบัณฑิตเจียงกังวลไปเอง เขาจึงอยากให้ข้าใส่มันไว้ ! ”
หมอเหลียงถลึงตาใส่นาง “บัณฑิตเจียงทำถูกแล้ว ! นี่กำลังจะปีใหม่อยู่แล้ว ด้วยนิสัยไม่ยอมอยู่นิ่งของเจ้า ถ้าไม่ห้อยแขนไว้ก็ต้องเริ่มทำงานอีกแน่ แขนข้างนี้เจ้าแขวนไว้ก่อนสักพักหนึ่งถึงจะดี ! ”
หลินเว่ยเว่ยเบะปากทันที แต่ไม่ได้เถียงกลับอันใด เจียงโม่หานมองนาง ก่อนจะพูดกับหมอเหลียงว่า “ตอนอยู่ในเมืองนางเจ็บคอเล็กน้อย จมูกก็หายใจไม่ค่อยออก ข้าให้นางดื่มน้ำขิงใส่จิงเจี้ยะกับจื่อซูเยี่ยมาสองวันอาการถึงได้เบาลง ท่านช่วยตรวจให้นางหน่อยว่ายังต้องกินยาอะไรอีกหรือไม่ ? ”
“ไปตากลมมาหรือ ? เด็กคนนี้ คงไม่ได้คิดว่าตนแข็งแกร่งเหมือนวัวหรอกกระมัง ? เหตุใดชอบทำให้ตนป่วยอยู่เรื่อย ? ” หมอเหลียงพาทั้งสองคนเข้ามาในห้องแล้วส่งสัญญาณให้หลินเว่ยเว่ยยื่นมือออกมา
หลินเว่ยเว่ยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ปากยังไม่ลืมพูดแก้ต่างให้ตน “วัวก็มีวันป่วย ! ในฤดูหนาวเช่นนี้จะโดนลมหนาวบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ! ดื่มน้ำขิงแล้วนอนอยู่บนเตียงเตาให้เหงื่อออกสักเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรแล้ว ใช่หรือไม่ ? ”
พอหมอเหลียงได้ยินเช่นนั้นก็ตำหนินางทันที “โรคบางชนิดมีอาการคล้ายกับโรคหวัดแต่ไม่ใช่ จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด พอป่วยแล้วต้องให้หมอตรวจ ไม่อย่างนั้นโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ จะกลายเป็นโรคร้ายแรงได้ ! ”
หลังจากสั่งสอนหลินเว่ยเว่ยจบแล้ว เขาก็พูดกับเจียงโม่หานว่า “น้ำขิงใส่จิงเจี้ยะกับจื่อซูเยี่ยถูกกับอาการของนางหนูรองจริงๆ นางมีพื้นฐานด้านร่างกายที่ดี ไม่จำเป็นต้องกินยาแล้ว กลับไปก็ระวังอย่าให้ตากลมอีกเป็นพอ…”
[i]
1 กลยุทธ์ทุกข์กาย หมายถึง การทรมานร่างกายของตนเพื่อแสร้งทำให้อีกฝ่ายหลงเชื่อหรือใจอ่อน