ตอนที่ 440 เป็นเด็กน้อยหน้าเงินที่น่ารักมาก
เด็กทั้งสามคนสนทนากันอย่างสนิทสนม พอนางฉิงเห็นแบบนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มทันที “ดูเด็กพวกนั้นสิ สนิทกันดีจริง ๆ อย่ามองว่าหยูเอ๋อร์ของบ้านเราเป็นคนที่อ่อนโยน แต่ความจริงแล้วคนที่เขาเห็นเป็นสหายมีน้อยมาก เป็นเพราะพี่สะใภ้สั่งสอนได้ดี จื่อถิงจึงเป็นเด็กดีมีมารยาท เรียนหนังสือก็เก่งและขยันขันแข็ง ทำให้ผู้ใดเห็นแล้วก็ชอบทันที ! ”
นางหวงยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อย่าชมเขาแบบนั้น เพราะเวลาเด็กคนนี้ซนทีไรก็อย่าให้พูดถึงเลย ตอนยังไม่ได้ไปสำนักศึกษา เขาพาเด็กในหมู่บ้านไปขึ้นเขา ปีนต้นไม้เหมือนลิงไม่มีผิด ! จิ้งหยูมีนิสัยสุขุม แค่มองก็รู้แล้วว่าพึ่งพาได้ อย่างไรก็ต้องรบกวนให้เขาคอยช่วยจับตามองเอ้อร์ฮว๋าของเราที่สำนักศึกษา ! ”
“ใคร ๆ ก็บอกว่า ‘เด็กผู้ชายยิ่งซนยิ่งฉลาด เด็กผู้หญิงยิ่งซนก็จะเอาตัวรอดเก่ง’ ซนนิดซนหน่อยถือว่าดี มีชีวิตชีวาจะตาย ! ข้ายังหวังว่าหยูเอ๋อร์ของเราจะร่าเริง หรือมีโอกาสได้ซนบ้าง…”
ในขณะที่มารดาทั้งสองกำลังผลัดกันชมบุตรชายของแต่ละฝ่ายอย่างสนุกสนานอยู่นั้น คู่ว่าที่สามีภรรยาอย่างหลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานก็เดินเคียงข้างกันเข้ามา
หลังเห็นหนุ่มสาวคู่นี้แล้ว นางฉิงก็มีดวงตาเป็นประกายทันที “นี่คือบุตรสาวคนรองของบ้านท่านกับคู่หมั้นของนางใช่หรือไม่ ? ช่างเป็นหญิงงามและบุรุษมากความสามารถจริง ๆ เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก…”
หลินเว่ยเว่ย “…” อาสะใภ้ ท่านมั่นใจหรือว่าไม่ได้ชมผิด ? น่าจะเป็นหญิงมากความสามารถและบุรุษรูปงามต่างหาก ? ข้ากับบัณฑิตน้อยผู้ใดงดงามกว่ากัน ต่อให้มองจากระยะไกลก็ยังรู้ !
หลังจากทราบจุดประสงค์ในการมาเยือนของผู้ใหญ่สกุลฉิงแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านอา ท่านอาสะใภ้ ยาน้ำชวนเป้ยที่ข้าส่งไปให้ทั้งสองโถกระเบื้องเคลือบนั้น บุตรชายของท่านสามารถกินได้ถึงฤดูใบไม้ร่วงเชียวล่ะ รอให้ถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้วลูกสาลี่ออกผลเมื่อใด ข้าจะต้มแล้วให้น้องสี่นำไปให้ที่บ้านสกุลฉิง
อาสะใภ้ ท่านอย่าพูดถึงเรื่องเงินเลย เพราะสาลี่กับน้ำผึ้งก็ล้วนได้มาจากบนเขาทั้งนั้น แค่ต้องออกแรงหน่อย ปกติบุตรชายของพวกท่านก็ดูแลน้องสี่ที่สำนักศึกษาเป็นอย่างดี แล้วยาน้ำชวนเป้ยแค่ไม่กี่โถ ท่านมาพูดเรื่องเงินก็จะไม่ฟังห่างเหินเหมือนเป็นคนนอกไปหน่อยหรือ ! ”
นายท่านฉิงและนางฉิงหันมาสบตากัน ในเมื่อนางพูดถึงขนาดนี้แล้ว หากพวกตนยังดื้อดึงต่อไปก็เหมือนจะเห็นเป็นคนนอกเกินไปหน่อยจริง ๆ บ้านฝ่ายมารดาของนางฉิงเปิดร้านขายยาอยู่ในตัวอำเภอ นางจึงลองครุ่นคิด ก่อนจะถามว่า “หลินกู่เหนียง ยาน้ำชวนเป้ยของเจ้าใช้ได้ผลดีถึงขนาดนี้ เจ้ามีความคิดจะทำขายตามร้านขายยาเพื่อช่วยรักษาผู้ป่วยได้มากกว่าเดิมหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดสักพักหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ช่วงฤดูใบไม้ร่วงเป็นเวลาที่บ้านของเรางานยุ่งที่สุด เกรงว่าจะไม่มีเวลามาทำยาน้ำชวนเป้ยขาย…”
ที่จริงตอนนางฉิงพูดเช่นนั้นออกมา หลินเว่ยเว่ยก็หวั่นไหวไม่เบา แต่นางรู้ดีว่าที่ยาน้ำชวนเป้ยได้ผลดีขนาดนี้ เป็นเพราะมีส่วนผสมของน้ำพุวิญญาณ
พอนึกถึงต้นฤดูใบไม้ผลิในปีหน้า นางจะต้องเดินทางไปเมืองหลวงเป็นเพื่อนบัณฑิตน้อย ถ้าเขาสอบผ่านก็ต้องอยู่ที่เมืองหลวงต่อไปอีก หรืออาจโดนมอบหมายให้ไปเป็นขุนนางในท้องถิ่นแล้วนางจะเอาเวลาที่ไหนมาทำยาน้ำขาย ? คงได้แต่มองเงินไหลออกไปต่อหน้าต่อตา !
เจียงโม่หานสังเกตเห็นว่าอารมณ์ของนางดิ่งลง เขาจึงก้มหน้าแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “รอให้ถึงเมืองหลวงแล้วเราค่อยร่วมมือกับหย่งเหอถังซึ่งเป็นร้านขายยาใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงก็ได้ กำลังซื้อของคนในเมืองหลวงสูงกว่าเมืองเล็ก ๆ ของพวกเรามาก ! ”
หลังได้ยินแบบนั้นความผิดหวังในใจของหลินเว่ยเว่ยก็จางหายทันที นางหันไปมองเขาด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าร้านขายยาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงคือหย่งเหอถัง ? คงไม่ได้อ่านเจอในตำรามาอีกกระมัง ? ”
เจียงโม่หานหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าต้องรู้มาจากคุณชายลู่อยู่แล้ว…”
หลินเว่ยเว่ยพูดต่อด้วยความตื่นเต้น “ที่เมืองหลวง เราไม่มีผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งมากพอ เราเป็นแค่ราษฎรธรรมดา ดังนั้นเราต้องเก็บรักษาสูตรไว้ไม่ได้แน่…จริงสิ ! เรายังมีป้ายหยกของหมินอ๋องซื่อจื่ออยู่ด้วย พอถึงเวลานั้นค่อยไปจวนหมินอ๋องสักสองสามรอบ ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็แบ่งเงินปันผลให้พวกเขาสักสองสามส่วน…แค่นี้ก็เป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือแล้วใช่หรือเปล่า ? จากนั้นเราค่อยส่งยาน้ำชวนเป้ยไปให้องค์ชายเจ็ดสักสองสามโถ…แม้แต่องค์ชายก็ใช้ยาของเรา นี่เท่ากับมีนายแบบโฆษณาตัวเป็น ๆ…”
ดวงตาของเด็กคนนี้มีแต่ประกายของเงินกิมตุ้งฉายชัด ทั่วตัวเปล่งแสงแห่งความสุขออกมา…ช่างเป็นเด็กน้อยหน้าเงินที่น่ารักมากจริง ๆ !
มื้อกลางวัน หลินเว่ยเว่ยช่วยกันทำอาหารกับพี่สาวคนโต หลังจากนางฉิงได้เห็นบุตรชายเจริญอาหารแล้วก็รู้สึกดีใจมากกว่าเดิม ทว่าตอนที่เห็นเขายื่นตะเกียบไปทางอาหารต้องห้ามของท่านหมอ แม้นางจะไม่ได้เอ่ยปากห้าม แต่ก็กลัวว่าพอกลับบ้านไปแล้ว บุตรชายจะล้มป่วยอีกครา
แม้บุตรชายจะยังอายุน้อย ทว่าตั้งแต่เขาอายุแค่สองสามขวบก็สามารถควบคุมความอยากของตนได้แล้ว สิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่ให้กิน เขาก็จะไม่แตะต้อง แน่นอนว่าอาหารต้องห้ามเหล่านั้นก็แทบไม่วางอยู่บนโต๊ะอาหารของบ้านสกุลฉิง
เหตุใดวันนี้บุตรชายเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ? เขากินแบบไม่สนอะไรทั้งนั้น แน่นอนว่านางยอมรับเรื่องอาหารของบ้านตระกูลหลินมีรสชาติไม่เลวจริง ๆ แม้แต่ร้านอาหารชื่อดังที่สุดในตัวอำเภอก็ยังมีรสชาติไม่ดีเท่า…น่าเสียดายที่บุตรสาวผู้ฉลาดเฉลียวทั้งสองคนของสกุลหลินล้วนมีคู่หมั้นหมดแล้ว ทางสกุลฉิงก็ไม่มีบุตรชายที่วัยเหมาะสม ไม่อย่างนั้นนางฉิงอยากจะเกี่ยวดองเป็นญาติกับนางหวงจริง ๆ !
ขณะมองบุตรชายกินอาหารเผ็ดจนปากแดงแล้วยังยื่นตะเกียบไปที่กระต่ายผัดเผ็ดไม่หยุด ทั้งยังมีอาหารมัน ๆ อย่างหมูตุ๋นน้ำแดง เขากินไปตั้งหลายคำ…เจ้าเด็กคนนี้ไม่กลัวว่าพอกลับบ้านไปแล้วจะท้องอืดหรือไร ? นางฉิงแอบคิดว่าในห้องเก็บของบ้านตนมียาช่วยย่อยอาหารมากพอหรือเปล่า…
หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยยังเตรียมพุดดิ้งคาราเมลให้พวกเด็ก ๆ อีกด้วย พุดดิ้งเย็น ๆ หวาน ๆ พวกเด็กน้อยที่กินข้าวจนพุงป่องแล้วยังสามารถยัดพุดดิ้งเข้าท้องได้อีกคนละหนึ่งชิ้น
ระหว่างทางกลับบ้าน นางฉิงถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง “มื้อเที่ยงนี้กินเข้าไปเยอะขนาดนั้น รู้สึกไม่สบายท้องหรือเปล่า ? แม่คิดว่าพุดดิ้งเย็น ๆ อะไรนั่น เจ้าไม่ควรกินเข้าไปเลย ! ”
หลู่ซวนพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ! เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะเสียของ เพราะข้าช่วยกินส่วนของเจ้าได้ ! ”
ฉิงจิ้งหยูเอนหลังพิงรถม้าด้วยความเกียจคร้านแล้วส่ายหน้าพูดว่า “ท่านแม่ขอรับ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ได้รู้สึกเจ็บป่วยตรงไหนเลย คราวก่อนตอนที่มาบ้านสกุลหลิน ข้ายังกินหม้อไฟที่เผ็ดร้อนเข้าไปด้วย แต่ก็ไม่เป็นอะไรสักนิด ท่านแม่คิดมากเกินไป ข้าไม่ใช่เด็กอายุสองสามขวบแล้วนะขอรับ กระเพาะอาหารของข้าไม่ได้บอบบางขนาดนั้นสักหน่อย ! ”
นางฉิงกลอกตาใส่เขาอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะบ่นว่า “แล้วตอนฉลองปีใหม่ ใครที่โลภกินยำหมูสามชั้นเข้าไปแค่ชิ้นเดียวแล้วต้องนอนปวดท้องไปนานถึงเจ็ดวัน ? ”
หลู่ซวนเอียงศีรษะพลางสบตากับสหายรักแล้วพูดด้วยความสงสัย “ใช่ ! เมื่อก่อนแค่หมูสามชั้นชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นเดียวก็แทบจะเอาชีวิตของเจ้าไปแล้ว เหตุใดตอนอยู่บ้านสกุลหลินทั้งสองครั้ง เจ้ากินหมูตุ๋นน้ำแดงที่มีมันเยอะไปมากขนาดนั้น แล้วยังกินของเผ็ดต่อด้วยของเย็นได้อีก แต่เจ้ากลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด เพราะอะไร ? หรือเพราะอาหารบ้านตระกูลหลินจะมีสูตรลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ ? ”
“บางทีอาจจะ…บังเอิญกระมัง ? ” นางฉิงอดไม่ได้ที่จะลองคิดทบทวนและเริ่มมีความคิดอยากถามถึงสูตรลับของบ้านสกุลหลินขึ้นมาทันที
ช่วงวันเวลาต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยจะให้น้องชายคนเล็กนำน้ำผึ้งครั้งละสองกระบอกไม้ไผ่ไปที่สำนักศึกษาด้วยทุกวัน กระบอกหนึ่งเก็บไว้ให้เขาดื่มเอง ส่วนอีกหลอดให้นำไปฝากฉิงจิ้งหยู…น้องสี่มีสหายที่รู้ความกับเขาทั้งคนแล้วจะให้พี่สาวอย่างนางทนเห็นสหายของน้องชายล้มป่วยได้อย่างไร ?