พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1949 มีดใหญ่ขวานปากกว้าง

บทที่ 1949 มีดใหญ่ขวานปากกว้าง

สรุปแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายกุมทรัพย์สินส่วนนี้ไว้ จะต้องแย่งชิง!

คนหลายคนเหยียบลงพื้นมาดู มองสองฝ่ายเถียงกันจนหน้าแดงคอแห้ง เหลือแค่พี่น้องเข่นฆ่ากันเองเท่านั้น

จั่วเอ๋อร์กำลังมองฉากนี้ บอกไม่ถูกว่าบนใบหน้ามีสีหน้าอย่างไร ในดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ในหัวใจก็ยิ่งรู้สึกเหน็บหนาว

ตั้งแต่ตอนแรกที่ได้ยินข่าวการตายของอิ๋งจิ่วกวง คนสองกลุ่มนี้ก็เริ่มทะเลาะกันแล้ว ขนาดบ่าวไพร่อย่างนางยังกอดความหวังสุดท้ายเอาไว้ แต่พวกเขาที่อยู่ในฐานะบุตรแท้ๆ กลับไม่เศร้าโศกเสียใจที่บิดาตัวเองถูกสังหาร ไม่คิดเรื่องล้างแค้นให้บิดา ไม่คิดแผนที่จะลงหลักปักฐานในอนาคต ไม่คิดว่าจะทำให้ใจคนสงบลงได้อย่างไร กลับมาแย่งชิงสิ่งนี้กัน ตอนนี้คือช่วงเวลาที่ต้องสามัคคีกันเพื่อผ่านด่านยาก ไม่ใช่เวลามาทะเลาะแตกแยกกัน ทำแบบนี้จะให้พวกลูกน้องคิดอย่างไร? เปิดเผยสภาพน่าอับอายแบบนี้ต่อหน้าลูกน้องแล้ว ใจคนจะไปอยู่ที่ไหน? ไม่รู้เชียวหรือว่ากำลังพลเกรียงไกรชุดนี้ที่ตระกูลทิ้งไว้ต่างหากที่เป็นทรัพย์สินที่ดีที่สุด? เมื่อมีคนกลุ่มนี้อยู่ แล้วเสริมด้วยเศษเสี้ยวมรดกของตระกูลอิ๋ง นี่ต่างหากถึงจะเป็นแผนระยะยาว!

“คุณชายรอง คุณชายสาม เลิกทะเลาะกันได้แล้ว คุณหนูเยว่หัวร้อนหนีกลับไปแล้ว อาจจะมีอันตราย พวกเราช่วยกันติดต่อนางเถอะ โน้มน้าวให้นางรีบกลับมา อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม!” จั่วเอ๋อร์เดินมาโน้มน้ามตรงหน้าทั้งสองฝั่ง

พอนางออกหน้าเอง ก็ยังมีอิทธิพลต่อทั้งสองฝ่ายอยู่บ้าง ทั้งสองฝ่ายจึงหยุดทะเลาะกันชั่วคราว

อิงอู๋เชวียบอกว่า “นางเด็กนี่ยังมาเพิ่มความยุ่งยากในเวลานี้อีก ถ้าไม่ลำบากเสียบ้างก็ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ! พ่อบ้านจั่ว สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือจะรวบรวมคนที่แตกสามัคคีกันได้ยังไง พ่อบ้านจั่ว ท่านตัดสินหน่อยสิ แต่ไหนแต่ไรมาทำตามลำดับอาวุโสมันผิดด้วยเหรอ พี่ชายจะเป็นเจ้าบ้านมันผิดด้วยเหรอ?”

อิงอู๋เฟยกล่าวอย่างเดือดดาลทันที “บ้านวุ่นวายถึงขั้นนี้แล้ว ต้องให้คนมีความสามารถขึ้นสู่ตำแหน่ง ถึงจะนำตระกูลเดินออกจากความยากลำบากได้ พ่อบ้านจั่ว ท่านว่าควรจะใช้หลักการนี้หรือเปล่า?”

อิงอู๋เชวียชี้เขาพร้อมกล่าวอย่างโมโห “เจ้าก็เอาแต่พูดว่าต้องให้คนมีความสามารถขึ้นสู่ตำแหน่ง แล้วความสามารถเจ้าอยู่ที่ไหนกันแน่? เก่งเรื่องเคยนอนกับผู้หญิงมาเยอะใช่มั้ย?”

“เหลวไหล!” อิงอู๋เฟยด่า

“พอแล้ว!” จั่วเอ๋อร์ตะคอกเสียงต่ำ ตรงนั้นเงียบลงทันที เมื่ออิ๋งจิ่วกวงตายไป แม้จะทำให้คนพวกนี้ไม่มีความกดดันแบบนั้นแล้ว แต่อิทธิพลของนางก็ยังคงอยู่ ที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าบ้านของตระกูลอิ๋งอยู่ในการควบคุมของนาง สมบัติในที่ลับที่แจ้งของตระกูลอิ๋งมีมากขนาดไหน มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ชัดเจน ถ้านางสนับสนุนใคร หัวหน้าตระกูลคนใหม่ก็ไม่มีอะไรให้พะวงแล้ว

จั่วเอ๋อร์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วมองซ้ายมองขวา “คนในครอบครัวเดียวกันทะเลาะกันไปทะเลาะกันมาจนทำลายความสัมพันธ์ ตามความเห็นของบ่าว ไม่สู้เอาอย่างนี้ดีกว่า แบ่งครึ่งทรัพย์สินของตระกูลอิ๋ง คุณชายรองกับคุณชายสามคุมคนละครึ่ง ตอนหลังค่อยพิจารณาเรื่องทำงานร่วมกัน เป็นยังไง?”

“เรื่องนี้…” สองพี่น้องต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน คงคิดว่าถ้าไม่แบ่งให้ฝ่ายตรงข้ามเลยสักนิดก็คงยาก ที่เถียงกันตอนนี้ก็เพราะกลัวอีกฝ่ายจะฮุบไปคนเดียวไม่ใช่เหรอ ต่างคนต่างมองกลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังตัวเอง เหมือนพวกเขาจะไม่มีความเห็นแย้งอะไร

“ในเมื่อพ่อบ้านจั่วพูดอย่างนี้แล้ว ข้าเชื่อฟังก็ได้” อิงอู๋เชวียเอามือไขว้หลังแล้วพ่นเสียงทางจมูก

อิงอู๋เฟยกุมหมัดคารวะจั่วเอ๋อร์ “เช่นนั้นก็รบกวนพ่อบ้านจั่วให้รักษาความยุติธรรมให้แล้ว”

นึกไม่ถึงว่าสองคนนี้จะตอบตกลงแล้วจริงๆ จั่วเอ๋อร์มองทั้งสองด้วยแววตาที่มีความหวังเล็กน้อย

ในขณะนี้เอง จู่ๆ มารดาของอิงอู๋เชวียก็ก้าวขึ้นมา แล้วพูดจาแปลกๆ “พ่อบ้านจั่ว ตอนนี้ในมือตระกูลอิ๋งมีสมบัติอยู่เท่าไร พวกเราไม่รู้ชัดเจน ใช่ว่าท่านบอกว่ามีเท่าไรก็แปลว่ามีเท่านั้น จะนำบัญชีออกมากางก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องแบ่งสรรใช่หรือเปล่า?”

สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนตัวจั่วเอ๋อร์ทันที

จั่วเอ๋อร์โค้งตัวเล็กน้อยพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หรูฮูหยินพูดมีเหตุผล เอาอย่างนี้ ข้าจะให้ทุกคนนำบัญชีมาคิดยอดรวมกันก่อน แล้วค่อยประกาศออกมาให้ทุกคนตรวจสอบ เพื่อแสดงความยุติธรรม เป็นยังไง?”

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน จั่วเอ๋อร์ก็โบกมือไปทางซ้ายและขวา กลุ่มทหารอารักขาและบ่าวไพร่ที่ติดตามมาด้วยฟังคำสั่งนางและตามนางไปอีกด้านหนึ่ง

คนกลุ่มหนึ่งประชุมกัน หนึ่งในนั้นขมวดคิ้ว “พ่อบ้านจั่ว ต้องแบ่งทรัพย์สินในตระกูลจริงเหรอ? ถ้าแบ่งของให้พวกเขาหมด แล้วพวกเราจะทำยังไงล่ะ?”

“ตระกูลอิ๋งจบแล้ว จบแล้วจริงๆ ไม่มีหวังอีกแล้ว…” จั่วเอ๋อร์ฝืนยิ้ม

ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น คนพันกว่าคนข้างกายจั่วเอ๋อร์ก็ถลันตัวออกมาล้อมทุกคนของตระกูลอิ๋งไว้ แล้วเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดออกมา เล็งไปที่พวกเขาแล้ว

พวกอิงอู๋เชวียตกใจมาก อิงอู๋เฟยมองจั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไกลๆ แล้วตะคอกอย่างหวาดกลัวปนโมโห “จั่วเอ๋อร์ เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าคิดจะเป็นโจรในบ้านหรือไง?”

บึ้ม!

เสียงต่อสู้เข่นฆ่าอันดุดือดดังขึ้น จั่วเอ๋อร์หลับตาลงช้าๆ

รอจนกระทั่งทุกอย่างสงบลงแล้ว ทุกคนของตระกูลอิ๋งที่ทะเลาะกันก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครรอดสักคน กลุ่มบ่าวไพร่ที่ฆ่าเจ้านายกวาดทรัพย์สินบนตัวศพหมดเกลี้ยง แล้วรวมตัวกันมองมาที่จั่วเอ๋อร์

จั่วเอ๋อร์เงยหน้ามองดาราจักร เงียบงันเป็นเวลานาน…

สำหรับคนส่วนใหญ่ เรื่องของตระกูลอิ๋งไม่สำคัญอีกแล้ว ส่วนใหญ่นำมาเป็นหัวข้อในการพูดคุยเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นคนตามตรอกซอกซอยในตลาดสวรรค์ พวกเขาวิเคราะห์กันอย่างมีเหตุผล แต่ที่เชื่อถือได้กลับมีไม่มาก

ส่วนคนที่รู้เรื่องราวเบื้องล้วนก็ล้วนเพ่งสมาธิไปที่เรื่องของตัวเอง สำหรับพวกเขา ตระกูลอิ๋งเป็นอดีตไปแล้ว ไขว้คว้าสิ่งตรงหน้าไว้ต่างหากที่สำคัญที่สุด

เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อสมหวังดังใจปรารถนา เข้าร่วมประชุมขุนนางตามปกติ ประมุขชิงแต่งตั้งให้ทั้งสองเป็นอ๋องสวรรค์ตะวันออกซ้ายและอ๋องสวรรค์ตะวันออกขวา อาณาเขตเดิมของทัพตะวันออกถูกแบ่งให้ทั้งสองควบคุมอย่างเป็นทางการ จากนั้นอ๋องสวรรค์ทั้งสองก็ได้รับคุณงามความดีในการปราบกบฏ ในกำลังพลสายซ้ายและขวาได้เลื่อนตำแหน่งจอมพลสามคน ในหนึ่งสายมีคนที่ได้เลื่อนตำแหน่งไม่น้อย ประมุขชิงอนุมัติทั้งหมด ทุกคนในราชสำนักไม่มีใครคัดค้าน

อ๋องสวรรค์ใหม่ทั้งสองคนนี้ เดิมทีครอบครองอาณาเขตทัพตะวันออกคนละหนึ่งส่วนจากสามส่วน ตอนนี้ขยายเป็นครอบครองอาณาเขตคนละหนึ่งส่วนจากสองส่วนแล้ว ส่วนจอมพลที่ได้เลื่อนตำแหน่งใหม่ แม้จะได้พื้นที่เล็กลงเมื่อเทียบกับทัพตะวันออกเดิมที่มีจอมพลสามคน แต่สำหรับคนที่ได้เลื่อนตำแหน่ง พื้นที่กลับกว้างใหญ่กว่าเมื่อก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฐานะเป็นจอมพล สถานการณ์เหมือนกับเถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋อ ส่วนเทพประจำดาวที่ระดับต่ำลงไปกลับไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน ด้วยเหตุนี้ใต้สังกัดของจอมพลแต่ละคนจึงมีเทพประจำดาวแค่สองคนเท่านั้น ประมุขชิงมีความตั้งใจที่จะขยายจำนวนเทพประจำดาวอีก เพียงแต่เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อไม่ยอม ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่อเลื่อนตำแหน่งแล้วก็มีตำแหน่งว่างออกมา กอปรกับกลืนอาณาเขตของลิ่งหูโต้วจ้งไปแล้ว คนกลุ่มใหญ่จะถูกปรับเปลี่ยนตำแหน่งไปด้วยก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อเลี้ยงฉลองและปูนบำเหน็จรางวัลทัพใหญ่อีก ทั้งอาณาเขตทัพตะวันออกเรียกได้ว่าปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุด แน่นอนว่ามีคนที่เงียบเหงาเพราะเสียอำนาจเช่นกัน

กำลังพลจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเดิมก็ได้ผลงานจากการปราบกบฏเช่นกัน ทั้งหมดได้เลื่อนยศหหนึ่งขั้น ยกเว้นเหมียวอี้ เพียงแต่ผลประโยชน์แท้จริงที่เหมียวอี้ได้รับกลับชัดเจนมาก

ป้ายของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลถูกเปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนเป็นจวนผู้สำเร็จราชการอย่างเป็นทางการ เหมียวอี้รับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการที่ดูแลห้าจวนอย่างเป็นทางการ

ประมุขชิงฝืนยัดเหวินเจ๋อให้กลายมาเป็นรองผู้สำเร็จราชการ เหิงอู๋เต้า แม่ทัพใหญ่เดิมของสายขาลกลายเป็นรองผู้สำเร็จราชการอีกคนหนึ่ง

เหมียวอี้ไม่มีทางเลือกจริงๆ ต่อให้เป็นสวีถังหรานก็ได้อาศัยบารมีเลื่อนยศเป็นแม่ทัพเกราะม่วงหกแถบแล้ว แต่ยศยังขาดอีกนิดหน่อย เบื้องบนต้องการยศของแม่ทัพใหญ่ ท่ามกลางลูกน้องคนสนิทเบื้องล่างยังไม่มีคนที่ยศสูงพอ เขาเองก็ไม่อาจให้คนของกองทัพองครักษ์ครองตำแหน่งรองผู้สำเร็จราชการเสียทั้งหมด พอเลือกไปเลือกมาจึงทำได้เพียงเลือกใช้งานเหิงอู๋เต้า

หัวหน้าภาคห้าคนใต้สังกัด สวีถังหรานย่อมได้ครองหนึ่งตำแหน่ง แต่คนที่ยศสูงมากพอที่จะเป็นหัวหน้าภาคได้มีน้อย เหมียวอี้ถึงขั้นแต่งตั้งให้ชีอู๋เจินเหรินที่ไร้ประสบการณ์คุมทัพให้เป็นหัวหน้าภาค นอกจากนี้ก็มีแม่ทัพใหญ่สายขาลเดิม หวงลี่ แม่ทัพใหญ่สายขาลเดิม หนานกงหรูอวี้(ญ) แม่ทัพใหญ่กองทัพองครักษ์ม่ายจื่อ (ญ)

หัวหน้าภาคห้าคนมีผู้หญิงแล้วสองคน ไม่ใช่ว่าเหมียวอี้ชื่นชอบในความงามของพวกนาง แต่เป็นเพราะสองคนนี้เข้ากับเพื่อนร่วมงานกลุ่มเดิมไม่ค่อยได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกนางเป็นผู้หญิงหรือเปล่า

ส่วนเรื่องความสามารถ ตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เหมียวอี้พิจารณา ตอนนี้เหมียวอี้ยังไม่ใช้งานรองหัวหน้าภาคที่ถูกเลือก เป็นเพราะลูกน้องที่ไว้ใจได้ยังมียศไม่สูงพอ

ผู้บัญชาการใหญ่ห้าร้อยคนใต้สังกัด ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากเลย ฝูชิงและพรรคพวกจากทะเลดาวนักษัตรล้วนมีตำแหน่ง ชิงเยว่กับหลงซิ่นก็ย่อมขาดไม่ได้ คนอื่นๆ ที่ไว้ใจได้มียศไม่สูงพอ จึงใช้งานกำลังพลเดิมของสายขาลทั้งหมด

เพียงแต่ผู้บัญชาการใหญ่ห้าร้อยคนนี้ไม่มีอำนาจทางทหารเลย รวมทั้งหัวหน้าภาคทั้งห้าคนก็ไม่มีอำนาจนี้เช่นกัน เหมียวอี้อ้างเหตุผลว่าแดนรัตติกาลมีพื้นที่เล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องกระจายกำลังตั้งประจำการมากเกินไป เปลี่ยนเป็นใช้ระบบเรียกชื่อทหาร ให้กำลังพลทั้งหมดถูกควบคุมโดยจวนผู้สำเร็จราชการ ตอนปฏิบัติหน้าที่ค่อยกำหนดอีกทีว่าจะให้แม่ทัพคนไหนไปนำทัพ

เท่ากับว่าหัวหน้าภาคห้าคนและผู้บัญชาการใหญ่ห้าร้อยคนสูญเสียอำนาจทางทหารแล้ว ถูกเหมียวอี้ปล้นอำนาจไปแล้ว การฝึกประจำวันของกำลังพลหลายสิบล้าน แม้จะบอกว่าหมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน แต่ที่จริงแล้วเหมียวอี้ส่งต่อให้ฝูชิงและพวกตาเฒ่าทะเลดาวนักษัตรทั้งหมด ทั้งยังมีชิงเยว่ หลงซิ่นและกำลังพลเดิมของแดนรัตติกาลด้วย

ส่วนแม่ทัพใหญ่เกราะแดงจำนวนหลายพัน รวมทั้งแม่ทัพใหญ่กองทัพองครักษ์ห้าสิบคนที่เหวินเจ๋อพามา แม่ทัพเกราะม่วงหลายล้านล้วนถูกเหมียวอี้คัดเลือกออกมาหมด จัดตั้งจวนกลยุทธ์ฟ้าที่ขึ้นตรงต่อจวนผู้สำเร็จราชการ ตั้งชื่อให้งดงามเพื่อให้ทราบว่าจวนผู้สำเร็จราชการ เป็นผู้วางแผน มีเหมียวอี้ควบคุมโดยตรง ถ้าจะพูดให้ถูก นี่ก็คือการเลี้ยงคนไว้เฉยๆ ถ้ามีสงครามเมื่อไรก็ค่อยเรียกมารับตำแหน่ง อย่างไรเมื่อก่อนคนพวกนี้ก็ไม่ได้มีตำแหน่งที่เป็นทางการอะไรอยู่แล้ว คุ้นชินแล้วเช่นกัน

ส่วนผู้บัญชาการใต้สังกัด เหมียวอี้ไมได้ทำอะไรซี้ซั้ว ถ้าเป็นผู้บัญชาการระดับต่ำสุด ต่อให้ปล้นอำนาจไปหมดก็ควบคุมไม่ได้อยู่ดี

เพื่อปลอบใจคนระดับต่ำสุด เหมียวอี้รับประกันว่ามีตำแหน่งสำหรับพวกเขา มีเพียงผู้บัญชาการเกือบหนึ่งหมื่นห้าพันคน ใช้งานมากขนาดนั้นไม่ไหว เยอะกว่าปกติเกือบหมื่นคน แต่ทางตลาดสวรรค์ขาดลูกน้องที่ไว้ใจได้ พวกเซียวหลิงโปครองตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ รองผู้บัญชาการใหญ่ พวกผู้บัญชาการและผู้ช่วยผู้บัญชาการส่วนใหญ่เป็นกำลังพลของท้องถิ่น ดังนั้นเหมียวอี้จึงย้ายพวกผู้บัญชาการและผู้ช่วยผู้บัญชาการจากตลาดสวรรค์มาที่นี่ทั้งหมด เรื่องรักษายศตำแหน่งไว้ก็เลิกคิดไปได้เลย ถ้าเจ้าเก่งนักก็ลองแก่งแย่งกับคนฝั่งนี้ดูสิ แค่ถ่มน้ำลายก็สามารถทำให้เจ้าจมตายได้ ส่วนผู้บัญชาการและผู้ช่วยผู้บัญชาการที่ถูกย้ายไปที่นั่นก็ย่อมดีใจเหนือความคาดหมาย นายท่านผู้สำเร็จราชการมอบตำแหน่งที่รายได้ดีให้พวกเขาแล้ว เป็นผลประโยชน์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไป จึงรีบไปรับตำแหน่งและให้ความร่วมมือกับผู้บังคับบัญชาคนใหม่

ตำแหน่งผู้บัญชาการเบื้องล่างถูกเหมียวอี้ทำให้ว่างสามพันกว่าตำแหน่ง เพื่อควบคุมคนที่ถูกลดตำแหน่ง ทั้งยังรักษาตำแหน่งไว้เกือบสองพันตำแหน่งด้วย ตำแหน่งผู้บัญชาการสามพันกว่าตำแหน่งนั้น เหมียวอี้ย่อมใช้คนเก่าของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ยังมีคนเก่าอีกหมื่นสองหมื่นคนที่ยังรอฟังคำสั่งอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการ รวมตัวกันรักษาความปลอดภัยให้จวนผู้สำเร็จราชการ

เมื่อโครงสร้างนี้ออกมา ก็เท่ากับเลี้ยงดูรองผู้สำเร็จราชการไปจนถึงผู้บัญชาการใหญ่เบื้องล่างแล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีอำนาจทางทหาร ขนาดเหวินเจ๋อยังอดไม่ได้ที่จะแอบด่าแม่ มีอย่างที่ไหนมาเล่นแบบนี้ สงสัยเจ้าจะอยากมีอำนาจตัดสินใจอยู่คนเดียว แต่แดนรัตติกาลก็ดันมีสถานการณ์พิเศษ กอปรกับกำลังพลที่โดนลดยศตำแหน่งก็ยังไม่นิ่ง ยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร ต่างก็ขอให้มีชีวิตสงบสุขโดยเร็ววัน ไม่มีใครคัดค้าน ถ้าเหวินเจ๋อคัดค้านก็จะถูกเล่นงานจนตายทั้งบ้าน ให้โอกาสเหมียวอี้ใช้ดาบใหญ่และขวานปากกว้างเพื่อปฎิรูป

เมื่อสิ่งที่เป็นรูปธรรมเกิดขึ้นไม่ขาดสาย ปี้เยว่ทำให้เหมียวอี้นึกเสียใจทีหลังนิดหน่อย

…………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท