ตอนที่ 514 คนบ้านเจ้านั่นแหละไม่รู้หนังสือ
“ไม่อยากพูดถึงเลย ! ทำการค้าไม่ใช่เรื่องง่าย ! ยังไม่เอ่ยถึงเรื่องกินนอนบนทุ่งหญ้า ระหว่างทางได้กินอาหารที่แย่กว่าอาหารหมู ตื่นเช้ายิ่งกว่าไก่ขัน งานยุ่งยิ่งกว่าสุนัข…”
หลังจากระบายความลำบากที่ได้เผชิญมาเสร็จแล้ว ลู่เหวินจวินยังพูดต่อ “ขากลับ ตอนผ่านเขตเริ่นอัน ข้าไปที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวมาด้วย พอได้รู้ว่าหลินกู่เหนียงกับเจียงเจี้ยหยวนมาที่เมืองหลวง ข้าก็รีบเดินทางกลับแบบข้ามวันข้ามคืน สุดท้ายก็ไม่ใช่ทำตัวเองให้เหนื่อยจนผอมเลยหรือไร ! ”
เขายกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาซดจนหมดภายในอึดใจเดียว…นี่เป็นของที่ชิงเฟิงเตรียมไว้ให้พวกหลินเว่ยเว่ย โชคดีที่ยังไม่ทันได้ดื่ม
พอถอนหายใจแล้วลู่เหวินจวินก็ยังพูดต่อ “ข้าออกจากบ้านเดือนห้า แต่เช้านี้เพิ่งได้กลับเข้าเมืองหลวงอีกรอบ ไปรอบหนึ่งก็ใช้เวลาถึงครึ่งปี กินไม่ดีนอนไม่สบาย ไม่ผอมก็แปลกแล้ว จริงสิ ! ข้าเพิ่งเข้าไปนั่งในบ้าน ท่านแม่ก็ยกเค้กพุทราแดงเข้ามาหนึ่งถาด ลักษณะเหมือนของร้านหนิงจี้ไม่มีผิด หลินกู่เหนียง ร้านหนิงจี้มาเปิดที่เมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใด ? ”
“ไม่ได้เปิด ! เค้กพุทราแดงนั้นข้ากับหยาเอ๋อร์ทำกันเล่น ๆ เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าเล็กน้อย” หลินเว่ยเว่ยคาดไม่ถึงว่าเค้กพุทราแดงที่หยาเอ๋อร์ทำขายจะไปถึงบ้านตระกูลลู่ รู้แล้วว่าเหตุใดช่วงนี้จำนวนการสั่งจองถึงเพิ่มมากกว่าเดิม !
“ฝีมือของหลินกู่เหนียงไม่มีอะไรให้ติเลย หากท่านมาเปิดร้านขนมหรือร้านอาหารที่เมืองหลวงก็จะต้องขายดิบขายดีแน่นอน ! และข้าก็จะชวนพวกสหายไปอุดหนุนท่านทุกวัน ! ” วันเวลาที่ลู่เหวินจวินอยู่ในทุ่งหญ้าก็คิดถึงอาหารฝีมือหลินเว่ยเว่ยมาก แม้แต่เนื้อแผ่น เนื้อเส้นและของต่าง ๆ ที่เอาไปด้วยก็ยังไม่พอให้หายอยาก
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ยังไม่มีโครงการ คุณชายลู่กลับมาคราวนี้คงจะไม่ออกไปแล้วใช่หรือไม่ ? ”
ลู่เหวินจวินพยักหน้า “ภายในครึ่งปีนี้ไม่คิดจะออกไปแล้ว ! ข้าไม่ใช่บุตรคนโตของตระกูลที่ต้องทำตัวเองให้มีร่างกายเป็นเหล็กเพื่อคอยหาเงินจนไม่สนใจชีวิต ! ”
หลินเว่ยเว่ยทิ้งที่อยู่ของบ้านเช่าเอาไว้ แล้วพูดกับเขาว่า “หากท่านอยากกินอาหารใดก็มาหาพวกเราได้ แต่ว่า…วัตถุดิบต้องเอามาเอง ! ฐานะของพวกเรายากจนนัก กลัวว่าจะโดนท่านกินจนสิ้นเนื้อประดาตัว ! ”
อันที่จริงคำพูดประโยคหลังเป็นเพียงการล้อเล่น แต่คุณชายรองลู่คนนี้กลับคิดจริง เขามาหาที่บ้านเช่าพร้อมไก่ ปลา เนื้อและไข่เป็นระยะ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเดือน ร่างกายที่เคยผอมแห้งก็กลับมาอวบอิ่มอีกครั้ง แถมยังอ้วนขึ้นหลายจินด้วย !
จนมารดาของลู่เหวินจวินคิดว่าตนเลี้ยงดูบุตรมาเพื่อคนอื่นแล้ว แต่ละวันไม่เคยอยู่ติดบ้าน ปากก็มักพูดถึง ‘หลินกู่เหนียง’ บ่อยครั้ง อีกฝ่ายหมั้นหมายแล้ว ไม่มีที่สำหรับบุตรชายผู้โง่เขลาของนางอีก แต่เจ้านี่ก็ยังไปหาอีกฝ่ายทุกวัน คู่หมั้นของหลินกู่เหนียงไม่ไล่เขาออกมา ก็ถือว่าใจกว้างมากแล้ว !
ผ้าและขนสัตว์สองสามชนิดที่หลินเว่ยเว่ยเลือกไว้รวมกับค่าตัดเย็บเสื้อผ้า ลู่เหวินจวินให้เปล่าทั้งหมด แต่หลินเว่ยเว่ยยืนกรานจะจ่ายเงิน ลู่เหวินจวินจึงหัวร้อนหน้าแดงหูแดงและแทบลงไปกลิ้งกับพื้นทันที บอกว่าหลินเว่ยเว่ยไม่เห็นตนเป็นสหาย !
สุดท้ายเงินก็ไม่ได้ถูกจ่ายออกไป หลินเว่ยเว่ยรู้สึกเกรงใจ หลังจากทำชาผลไม้บำรุงเลือดลมและเสริมความงามเสร็จแล้ว นางก็ส่งไปให้สกุลลู่อย่างละสองโถ แน่นอนว่าไม่ลืมส่งขนมต่าง ๆ ไปให้ลู่เหวินจวินด้วย !
วันแล้ววันเล่าผ่านพ้นไป หลินเว่ยเว่ยไม่ค่อยอยากออกจากบ้านสักเท่าไร ในแต่ละวันเอาแต่หมกตัวทำ ‘ถุงสร้างความร้อน’ อยู่ในลานบ้าน และก็มีความก้าวหน้าเร็วมากด้วย ทว่านางไม่ค่อยพอใจกับอุณหภูมิและระยะเวลาในการทำความร้อนสักเท่าไร จึงมุ่งมั่นพัฒนาต่อไป
หลังจากเข้าสู่เดือนสิบสอง ในที่สุดคนที่ฮ่องเต้หยวนชิงส่งไปแดนเหนือก็กลับมา หลังได้ทราบผลลัพธ์แล้วพระองค์ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะคาดไม่ถึงว่าเจียงเจี้ยหยวนที่สง่างาม หล่อเหลาและมากความสามารถคนนั้นต่างหากจึงจะเป็นบุตรที่พลัดพรากไปสิบกว่าปีของหมินอ๋อง และสาเหตุที่จี้หยกนั้นไปอยู่ในมือหลินเว่ยเว่ย ก็เพราะมอบให้ในฐานะของหมั้น…
ไม่รู้ว่าหลังจากหมินอ๋องผู้มั่นใจหนักหนาว่าหลินเว่ยเว่ยเป็นสายเลือดของตระกูลจ้าวได้รู้ความจริงแล้ว จะมีสภาพเป็นอย่างไร ! ทว่าฮ่องเต้หยวนชิงกลับมีแผนของตน คือยังไม่ได้บอกความจริงต่อหมินอ๋องทันทีและเลือกเสด็จไปหาเจียงโม่หานแทน
ณ ห้องส่วนตัวของโรงน้ำชาแห่งหนึ่งในฝั่งเมืองตะวันออก เจียงโม่หานมองฮ่องเต้หยวนชิงที่เรียกตนออกมาอย่างลับ ๆ หลังทำความเคารพแล้วเขาก็นั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม…เขารู้ว่าอย่างไรวันนี้ต้องมาถึง จึงไม่ได้ตกใจหรือประหลาดใจ เพียงทำตัวสงบนิ่งเท่านั้น
ฮ่องเต้หยวนชิงนำจี้หยกที่ไม่ทราบว่าเอามาจากหลินเว่ยเว่ยตั้งแต่เมื่อใดออกมาให้เจียงโม่หานดู “จี้หยกชิ้นนี้ เจียงเจี้ยหยวนคงจำได้กระมัง ? ”
ทันใดนั้นสีหน้าของเจียงโม่หานก็เปลี่ยนไป น้ำเสียงก็เคร่งเครียดและโมโหพอสมควร “จี้หยกนี้ติดตัวเว่ยเอ๋อร์ตลอดเวลา เหตุใดจึงมาอยู่ในมือใต้เท้าหวงได้ขอรับ ? ”
เต๋อฉวนรีบเอ่ยเตือนอยู่ด้านข้าง “เจียงเจี้ยหยวน จะเสียมารยาทต่อฝ่าบาทไม่ได้ ! ”
“ฝ่าบาท ? ” คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้หยวนชิงประสงค์จะเปิดเผยฐานะเร็วขนาดนี้ เจียงโม่หานไม่รู้จะพูดอะไรต่อพักใหญ่ แต่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้หยวนชิงคือสภาพของเขาเป็นปกติมาก
“เจียงเจี้ยหยวนไม่ต้องกังวล ! ทั้งจี้หยกของนางหนูหลินที่เจ้ามอบให้นาง และจี้หยกชิ้นนี้ล้วนมาจากมือเจิ้นทั้งนั้น เจ้าจะจำผิดก็พอเข้าใจได้ ส่วนจี้หยกของเจ้า ตอนนี้ยังอยู่บนคอนางหนูหลิน ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงทอดพระเนตรสำรวจเด็กหนุ่มมากความสามารถตรงหน้า คิดไม่ตกว่าเหตุใดถึงไปชอบนางหนูหลิน ไม่ได้บอกว่านางหนูหลินไม่ดี แต่…ทั้งสองคนเหมือนอยู่กันคนละโลก
คนหนึ่งพากเพียรศึกษา สง่างาม หล่อเหลาและความสามารถเหนือมนุษย์ อีกคนหนึ่งศาสตร์ทั้งสี่แขนงทำไม่เป็นสักอย่าง แม้แต่อักษรตัวเต็มก็รู้จักไม่กี่ตัว (หลินเว่ยเว่ย “เจ้าน่ะสิไม่รู้ตัวอักษร คนบ้านเจ้านั่นแหละไม่รู้หนังสือ ! ชาติก่อนนางเป็นนักศึกษาดีเด่นของมหาวิทยาลัยเกษตรจีนเชียวนะ เคยผ่านสนามสอบที่เทียบเท่ากับการเป็นจิ้นซื่อในสมัยโบราณของพวกเจ้ามาแล้ว ! ”)
คนหนึ่งเป็นบัณฑิตอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง อีกคนเป็นสาวชาวป่าชาวเขาที่มีพลังมหาศาลและชอบก่อเรื่อง (หลินเว่ยเว่ย “ใครชอบก่อเรื่อง ? นางก็แค่ทวงความยุติธรรมและมีหัวใจกล้าหาญ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ถ้าไม่ใช่เพราะนางชอบเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน ตาเฒ่าฮ่องเต้อย่างเจ้าก็คงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงเบื้องหน้าบัณฑิตน้อยแล้วมาพูดนินทาเกี่ยวกับเรื่องของนาง ? ”)
คนสองคนที่ดูเข้ากันไม่ได้เลย กลับมาอยู่ด้วยกันและยังมีความรักใคร่ของคนหนุ่มสาวอย่างลึกซึ้ง อาจเป็นเพราะบุปผาแต่ละชนิดมีความงดงามในแบบของมัน ! ขณะที่ฮ่องเต้หยวนชิงกำลังดำริเช่นนี้…
เจียงโม่หานก็จ้องจี้หยกในพระหัตถ์อย่างเงียบ ๆ “ฝ่าบาทจะตรัสว่าจี้หยกที่กระหม่อมพกติดกายมาตั้งแต่กำเนิดนั้นเป็นของที่พระองค์สลักขึ้นเอง ? หรือว่าชาติกำเนิดของกระหม่อมจะมีสิ่งใดพิเศษพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฮ่องเต้หยวนชิงพยักดวงพักตร์ด้วยความชื่นชม “เจียงเจี้ยหยวนฉลาดตามคาด ! สมแล้วที่เจิ้นให้ความสำคัญต่อเจ้า ! จี้หยกชิ้นนี้หมินอ๋องได้ไปจากมือเจิ้นเอง และยังส่งต่อให้หมินหวางเฟย นางคลอดบุตรก่อนกำหนดและได้พลัดพรากกับทารกในสนามรบ จี้หยกชิ้นนี้ก็หายสาบสูญไปด้วย ! ”
สีหน้าของเจียงโม่หานยังคงเดิม เขายังรักษาความนิ่งเงียบไว้ได้ จากนั้นก็เงยหน้ามองฮ่องเต้หยวนชิง “ในเมื่อพระองค์มาหากระหม่อม ก็คงมั่นพระทัยในชาติกำเนิดของกระหม่อมแล้ว ? ”
“ใช่ ! นางเฝิงที่เป็นคนเลี้ยงดูเจ้าก็คือสาวใช้คนสนิทของหมินหวางเฟย ส่วนเจ้าคือบุตรที่หายสาบสูญไปนานของตำหนักหมินอ๋อง ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงทอดพระเนตรอีกฝ่ายพร้อมรอยแย้มพระโอษฐ์
เจียงโม่หานเงียบไปสักพัก ก่อนจะค่อย ๆ พูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้กะทันหันเกินไป ขอให้กระหม่อมค่อย ๆ ทำความเข้าใจก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ไม่ผิดจากที่คาดไว้เลย ! บัณฑิตจากครอบครัวยากจนคนหนึ่งจู่ ๆ ก็กลายเป็นทายาทขุนนางผู้สูงศักดิ์ จะยังสงบนิ่งอยู่ได้อย่างไร ? แม้เจียงโม่หานมีนิสัยเย็นชาและสุขุม แต่ถ้าไม่มีอาการใดเลยก็คงทำให้คนอื่นสงสัยแทน ในสายพระเนตรของฮ่องเต้หยวนชิงคือการตอบสนองเช่นนี้ของอีกฝ่ายถึงจะเป็นเรื่องปกติที่สมควรเกิดขึ้น