ตอนที่ 571 ใช้เงินฟุ่มเฟือยเพื่อบุรุษ
ขณะพูด เจียงโม่หานก็หยิบกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรออกมาแล้วนำไปวางตรงเบื้องหน้าของนางพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เพราะได้รับคำอวยพรจากองค์หญิงเว่ยเว่ย ร้านโม่เซียงจึงตอบรับต้นฉบับของข้าแล้ว อีกไม่นาน ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ เล่มนี้ก็จะถูกตีพิมพ์ออกมาให้โลกได้เห็น ! ”
“ว้าว ! บัณฑิตน้อยเก่งมาก จะเป็นนักเขียนมืออาชีพกับเขาแล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยหยิบหนังสือสัญญามาพลิกไปมา แต่ในใจยังกังวลว่าตำราเล่มนี้จะไม่ได้รับความนิยมสำหรับพวกบัณฑิต ถ้าอย่างไรนางแอบซื้อมาสัก 200-300 เล่มดีหรือไม่ เพราะถ้ายอดขายออกมาไม่ดี บัณฑิตน้อยอาจไม่พอใจ…ฮ่าฮ่า นี่นางจัดว่ากำลังใช้เงินฟุ่มเฟือยเพื่อบุรุษอยู่หรือเปล่า ?
เหมือนว่าเจียงโม่หานจะเข้าใจความคิดของนาง จึงเข้าไปกระซิบข้างหูนางว่า “ไม่ต้องกังวล ! ข้าได้ยินมาว่า ฮ่องเต้มีพระประสงค์จะให้เพิ่มโจทย์คณิตศาสตร์ลงในข้อสอบฮุ่ยซื่อจำนวน 3 ข้อ ! ”
ฮ่องเต้เป็นนักปฏิบัติ ศาสตร์ตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมืองหลายอย่าง หากนำมาใช้ให้ถูกวิธีจะมีอานุภาพมหาศาล ไม่เห็นวิธีเขียนบัญชีรูปแบบใหม่หรอกหรือ แค่นั้นก็ได้รับบัตรผ่านจากฮ่องเต้ให้เริ่มใช้ในกรมคลังแล้ว หากบัณฑิตทั่วหล้าเรียนศาสตร์ตัวเลขกันได้หมดก็เหมือนประสบความสำเร็จด้านหน้าที่การงานในอนาคตไปกว่าครึ่ง
คณิตศาสตร์ผสมวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับกาลเวลาเท่านั้น ! เวลานี้ของชาติก่อนก็มีการปล่อยข่าวเรื่องโจทย์คณิตศาสตร์ในการสอบฮุ่ยซื่อ ในเวลานั้นไม่เว้นแม้แต่ภาคเหนือ หลังจากบัณฑิตจำนวนมากได้ทราบข่าวแล้วก็เป็นเหมือนผึ้งที่เห็นเกสรดอกไม้ เที่ยวตามหาตำราทำแบบทดสอบที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง หรือแม้แต่บันทึกท่องเที่ยวที่มีการพูดถึงศาสตร์ตัวเลขไม่กี่ประโยคก็ยังมีคนแย่งซื้อกันอย่างบ้าคลั่ง !
ทว่าตำราด้านตัวเลขก็มีอยู่น้อยจริง ๆ สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานด้านตัวเลขแล้ว ‘ตำราศิลปะคณิตศาสตร์เก้าบท’ จึงเปรียบดั่งตำราแห่งสวรรค์ ดังนั้นเจียงโม่หานจึงได้เขียนคำอธิบายตำราเล่มนี้ออกมาตั้งแต่เนิ่น ๆ เท่ากับว่านอกจากหาเงินก้อนเล็ก ๆ ได้แล้ว ในเวลาเดียวกันก็ยังสร้างประโยชน์ให้แก่บัณฑิตทั่วหล้า !
หลินเว่ยเว่ยเลิกคิ้วมองเขา “นี่ถือว่าเป็นข่าววงในหรือเปล่า ? ตำหนักหมินอ๋องยังไม่ทราบกันเลยด้วยซ้ำ แล้วเจ้าไปรู้มาจากที่ใด ? ”
เจียงโม่หานมองนางด้วยสายตาเรียบนิ่ง “ความลับ…”
หลินเว่ยเว่ยจ้องใบหน้าของเขาอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “ข้าคิดว่า…น่าจะรู้ความลับของเจ้า…”
เจียงโม่หานบีบจมูกน้อย ๆ ของนางพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่างนั้นหรือ ? หรือว่าตัวเจ้าเองก็มีความลับ ? ”
“เอาเถิด…ข้าเองก็มีความลับ ! เราสองคนถือว่าเสมอกัน ? ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องมองหาความลับจากอีกฝ่ายทั้งสิ้น ตกลงหรือเปล่า ? นอกเสียจากว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเต็มใจจะบอกเอง ! ” หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิด ถ้าพวกนางอยู่กันไปจนแก่เฒ่า ตอนที่เขาสูงวัยจนเดินไม่ไหวแล้ว นางค่อยเล่าเรื่องประหลาดและน่าอัศจรรย์ให้เขาฟังก็ยังไม่สาย รับรองว่าเขาจะต้องตกใจจนสะดุ้งโหยงแน่นอน !
เจียงโม่หานมีความสุขต่อท่าทางและน้ำเสียงขี้เล่นของนาง “ทำไมหรือ ? เจ้าไม่อยากรู้ความลับของข้าแม้แต่น้อย ? หรือว่า…เจ้าหมดความสนใจในตัวข้าแล้ว แม้แต่ความรู้สึกอยากค้นหาความลับบนตัวข้าก็ยังไม่มี ? ”
“บัณฑิตน้อย นี่เจ้ากำลังทำตัวเอาเปรียบชาวบ้านและอวดดีอยู่หรือเปล่า ? ” จู่ๆ หลินเว่ยเว่ยก็ยื่นมือออกมาแล้วบีบแก้มเขาเบา ๆ…ฮ่าฮ่า แม้จะหล่อมากเพียงใด แต่ก็ทนการทรมานเช่นนี้ไม่ได้ ดูเถิด หน้าเปลี่ยนสีแล้ว !
หลังจากเสียงหัวเราะดังขึ้น หลินเว่ยเว่ยก็เสนอความคิดเห็น “ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะออกตำราแบบทดสอบอีกสักเล่ม เมื่อเรียน ‘ตำราศิลปะคณิตศาสตร์เก้าบท’ จนทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็ต้องฝึกทำแบบทดสอบให้มากด้วยไม่ใช่หรือ ? ทำโจทย์เยอะ ๆ จึงจะมีประโยชน์ต่อการเรียน ฝึกฝนทักษะจนชำนาญ ! ”
ดวงตาของเจียงโม่หานเปล่งประกาย เขามองนางด้วยความประหลาดใจ ขณะเดียวกันก็เคาะศีรษะนางเบา ๆ แล้วพูดชม “เหตุใดสมองน้อย ๆ ของเจ้าถึงโตขึ้นได้ ? ไม่เพียงชอบคิดอะไรแผลง ๆ แต่ยังมีความคิดยอดเยี่ยมติด ๆ กันด้วย ! ได้ ข้าจะทำชุดแบบทดสอบเพิ่มอีกสักชุด เร่งเวลาให้ได้ตีพิมพ์พร้อมกับตำรา ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ ! ”
ชาติก่อน เขาเคยเป็นเจ้าหน้าที่ออกข้อสอบมาก่อน เรื่องออกข้อสอบโดยเฉพาะศาสตร์ตัวเลข ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย เรียกว่า ‘ตำราศิลปะคณิตศาสตร์เก้าบท’ เป็นตำราที่เขาคุ้นเคยจนเหมือนเส้นหมี่ที่ต้มจนเละ ควรจะเขียนอย่างไร เขายังไม่รู้อีกหรือ !
หลินเว่ยเว่ยเห็นเขาเขียนชื่อลงบนกระดาษต้นฉบับ จึงอดไม่ได้ที่จะยกมือเท้าคางพลางจ้องเขาอยู่แบบนั้น…ผู้ชายที่กำลังจดจ่ออยู่กับบางอย่าง ดูมีเสน่ห์มาก ! ใครช่างตาดีขนาดนี้ สามารถแย่งคู่หมั้นดี ๆ แบบนี้มาครองได้ ? นาง ! เป็นนางเอง ! ฮี่ฮี่ฮี่ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…
หลังจากเขียนกระดาษได้สองสามแผ่นแล้ว เจียงโม่หานก็ยืดเส้นยืดสายช่วงลำคอและข้อมือ กระทั่งตอนนี้เขาถึงได้พบว่าคู่หมั้นกำลังมองมาชนิดน้ำลายหก ! เขาจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นาง “รีบเช็ดเข้าสิ ! ใครไม่รู้ก็จะเข้าใจผิดว่าเจ้าเป็นนางปิศาจจ้องกินคน ! ”
หลินเว่ยเว่ยทำเสียงเล่นน้ำลายจอบแจบ “ถ้าข้าเป็นนางปิศาจ ก็เป็นปิศาจที่เลือกกิน มีแค่บุรุษรูปงามผิวขาว ๆ เนื้อแน่น ๆ และมากความสามารถเท่านั้นถึงจะทำให้ข้าอยากอาหารได้ ! ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะไม่หิวตายเอาหรือ ? ” บุรุษที่เหมือนเขาบนโลกมนุษย์ใบนี้ ยังมีคนที่สองอีกหรือ ? คบหากับหลินเว่ยเว่ยมานานขนาดนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ความหน้าหนาของเจียงโม่หานจะถูกพัฒนา !
“ดังนั้นข้าจึงทำใจกินไม่ลงไงเล่า ได้แต่น้ำลายหกใส่เจ้า ! ดั่งคำกล่าวที่ว่าสีสันสวยสดน่ารับประทานได้มองก็อิ่ม แค่มองหน้าเจ้า ข้าก็พอใจจนไม่กินข้าวไปนานครึ่งเดือนก็ยังอิ่ม ! ” จู่ ๆ หลินเว่ยเว่ยก็ยกขาขึ้นนั่งบนเก้าอี้แล้วพุ่งเข้ามาหาเขาเพื่อหอมแก้มเขาดัง ‘ฟอด’ และอีก ‘ฟอด’ “ทำแบบนี้ก็ไม่หิวแล้ว ! ”
เจียงโม่หานประคองเอวบางของนางเอาไว้ เพราะกลัวนางจะตกจากเก้าอี้ “แบบนั้นไม่ได้ ข้าวอย่างไรก็ต้องกิน ถ้าหิวจนผอมลง ข้าจะปวดใจเอาได้…”
“คนแซ่เจียง ! เจ้าวางมือไว้ตรงไหนกัน ? ” หลังจากทารุณ ( ฝึกหนัก ) บรรดาทหารที่ค่ายนอกเมืองหลวงเสร็จแล้ว หมินอ๋องก็กลับมาหาบุตรสาวในตำหนัก เมื่อเห็นว่าเรือนของนางไม่มีคนอยู่ พระองค์ก็มาที่เรือนของเจียงโม่หาน แต่ก็ได้มาพบว่าเจ้าหน้าขาวกำลังจับเอวบุตรสาวอยู่ พระองค์จึงโมโหจนควันออกหูทันทีและมีความคิดชั่ววูบที่อยากสังหารคนขึ้นมา !
เจียงโม่หาน “…”
ช่างมาได้จังหวะเสียจริง โชคดีที่พระองค์ไม่ได้มาเห็น ‘บุตรสาว’ พุ่งเข้ามาหอมแก้มคนอื่น ไม่อย่างนั้นจะต้องเข้าพระทัยผิดว่าข้าล่อลวงนางแน่นอน ! หืม ! ท่านใต้เท้าหมินอ๋อง ท่านจะทำอะไรกัน ? สุภาพบุรุษตกลงกันด้วยวาจา ไม่ใช่ด้วยกำลัง หากสังหารคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต !
สายเกินไปที่จะพูด เพราะฝ่าพระหัตถ์ใหญ่ ๆ ของหมินอ๋องได้ซัดเข้ามาที่ใบหน้าของเจียงโม่หานแล้ว ถ้าโดนหมินอ๋องตบหน้าเข้าล่ะก็ ใบหน้าของเจียงโม่หานได้กลายเป็นแผ่นแป้งทอด เสียโฉมหมดสภาพแน่นอน !
“ฟู่หวางใจเย็นก่อนเพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยยืดตัวตรงแล้วลงจากเก้าอี้ แต่ไม่อาจยืนดี ๆ ได้ทันที นางเกือบล้มจนหน้ากระแทกพื้น หลังจากรอให้ยืนได้มั่นคงแล้ว นางก็เข้ามาขวางตรงกลางระหว่างหมินอ๋องและเจียงโม่หานได้พอดี
หมินอ๋องรีบออมแรง แต่ไม่สามารถหยุดฝ่าพระหัตถ์ไว้ได้ทันที ขณะมองฝ่าพระหัตถ์กำลังจะซัดเข้าที่ใบหน้าหลินเว่ยเว่ย เจียงโม่หานที่อยู่ด้านข้างก็อุ้มตัวนางแล้วหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้แผ่นหลังของเขารับฝ่ามือนั้นไว้แทน…ปัก…โชคดีที่หมินอ๋องออมแรงแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาได้กระอักเลือดออกมาแน่
หลินเว่ยเว่ยรีบประคองเขาให้นั่งลง ก่อนจะเดินวนรอบตัวเขาด้วยความกระวนกระวาย “โดนตรงไหน ? แผ่นหลัง ? เจ็บตรงกระดูกสันหลังหรือเปล่า ? บาดเจ็บภายในหรือไม่ ? ให้เรียกหมอหลวงมาหรือเปล่า ? ”
เจียงโม่หานไอเบา ๆ สองสามครั้ง แผ่นหลังค่อนข้างเจ็บ ต้องเป็นรอยช้ำแน่นอน ส่วนกระดูกสันหลังไม่น่าจะบาดเจ็บ เขาจับมือคู่น้อยที่คิดจะเลิกเสื้อผ้าเขาออกเพื่อตรวจดูบาดแผลให้หยุดอยู่กับที่ แล้วเงยหน้าปลอบหลินเว่ยเว่ยที่มีดวงตาเปียกชื้น “ไม่เป็นไร หมินอ๋องไม่ได้ใช้แรงมากนัก ! ”