ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว – ตอนที่ 44.1 ท่านอาจารย์ ความจริงแล้ว ศิษย์พี่ของข้า… (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

นี่ ที่นี่…

คือยอดเขาหยกน้อยที่ข้าคุ้นเคยจริงๆ หรือ

ขณะนี้ในค่ายกลกับดักที่อยู่รอบนอกของหอโอสถ เซียนคนใหม่แห่งสำนักตู้เซียน นักพรตเต๋าชราฉีหยวนในชุดคลุมเต๋าที่ยับย่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสนในขณะที่รู้สึกมึนงงจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อมองไปยังเส้นทางเล็กๆ สามทางที่อยู่เบื้องหน้าเขา

เป็นเวลาหลายวันแล้วที่เขายังเดินออกไปไม่ได้…

เขาใช้เวลาหลายปีในการศึกษาวิธีการสร้างค่ายกล แต่เขาก็มีทักษะจำกัดในเรื่องค่ายกล

ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา ฉีหยวนได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับในการซ่อมแซมรากฐานเต๋าของเขา ส่วนการศึกษาวิธีการสร้างค่ายกล เขาได้นำแผนภาพค่ายกลมาจัดวางตั้งค่าหลายครั้ง และจดจำวิธีการตั้งค่า ซึ่งถือว่าเขาบรรลุความสำเร็จในระดับเบื้องต้นเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อเขาเผชิญหน้ากับค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการ…

“ปรมาจารย์คนใดที่มาจัดวางค่ายกลที่ยอดเขาหยกน้อยของข้าแห่งนี้ เขามีแผนอันใดกัน” ฉีหยวนพึมพำเสียงเบาขณะที่พยายามนึกถึงเส้นทางที่เขาเคยเดินวนมาก่อน

และในขณะที่ฉีหยวนยังตกอยู่ในความมึนงงและสับสน เขาก็พบเส้นทางใหม่อีกสายหนึ่ง

ข้างหน้าเป็นป่าเขียวชอุ่ม ไม่มีหมอกขาวที่ทำให้ไปผิดทาง และทิวทัศน์ก็ดูธรรมดาอย่างยิ่ง

ฉีหยวนจึงก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง และคราวนี้เขาก็ค้นพบสิ่งใหม่ในไม่ช้า

มีป้ายไม้แขวนอยู่บนยอดไม้ด้านหน้า ซึ่งมีตัวอักษรใหญ่ระบุเอาไว้ว่า…

‘หลงทาง?’

ฉีหยวนพลันพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะตัวสั่นพร้อมกับที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตัวและระแวดระวัง

เหตุใดลายมือนี้ดูคุ้นตายิ่งนัก?

นักพรตเต๋าชราฉีหยวนจ้องมองไปที่ป้ายไม้ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เห็นป้ายไม้อีกอันแขวนอยู่บนต้นไม้ด้านหลัง เมื่อเขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ทันใดนั้นทัศนียภาพรอบข้างของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป แต่ป้ายไม้ด้านหลังยังคงอยู่ที่นั่น

ในขณะที่บนป้ายไม้ก็มีอีกประโยคหนึ่งถูกเขียนเอาไว้ว่า ‘ท่านมาที่ยอดเขาหยกน้อยด้วยจุดประสงค์ใด’

“ข้าอาศัยอยู่ที่นี่!” ฉีหยวนตวาดด้วยความโกรธจัด แต่มือกลับสั่นเทา

เป็นไปได้หรือไม่…

นี่อาจเป็นห้วงกาลเวลาเหมือนในตำนาน?

ตามที่ลือกันว่า ในตำนานโบราณ มีผู้ดำรงอยู่ระดับเซียนเทียนได้ก้าวเข้าไปในหุบเขาลึก และเดินออกจากปลายอีกด้านหนึ่งของหุบเขาลึก กลายเป็นเวลาหลายหมื่นปีโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากาลเวลาหลายปีได้ผ่านไปแล้ว

เป็นไปได้หรือไม่ว่า เรื่องไร้สาระเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับเขาผู้น่าสงสารด้วย

หากยอดเขาหยกน้อยในเวลานี้ มิใช่ยอดเขาหยกน้อยที่เขาเคยอยู่อีกต่อไป แต่เคยเป็นยอดเขาหยกน้อยในหลายพันปีก่อนหรือในอีกหลายร้อยปีต่อมา?

เมื่อเห็นว่ายังมีป้ายไม้อยู่ข้างหลัง ฉีหยวนก็ก้าวเดินไปที่ป้ายนั้นอีกครั้ง และเมื่อเขายืนอยู่หน้าป้ายไม้นั้น จู่ๆ ทิวทัศน์โดยรอบก็พลันเปลี่ยนไปอีกครั้งราวกับว่ามันเป็นการเคลื่อนย้ายในขณะที่ค่ายกลก็มีการเปลี่ยนแปลงไป

และที่ด้านหลังป้ายไม้ก็มีป้ายไม้อีกป้ายหนึ่ง

ฉีหยวนพบลายมือบนป้ายไม้ที่เขารู้สึกคุ้นเคยมากขึ้น…ราวกับมีเงาตามหลังเขาและคอยกระซิบถามคำถามข้างหูเบาๆ มันกำลังผลักเขาไปที่กับดักบางอย่าง แต่จริงๆ แล้วเขาก็ไม่กล้าถอยกลับ

‘ท่านเป็นคนจากสำนักตู้เซียนใช่หรือไม่’

‘ค่ายกลนี้มีไว้เพื่อป้องกันสถานที่สำคัญเฉกเช่น หอโอสถและเป็นไปตามกฎของสำนักเท่านั้น’

หอโอสถ? ดูเหมือนข้าจะเคยได้ยินพวกศิษย์พูดถึง

‘ท่านบุกเข้ามาในยอดเขาหยกน้อยโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่’

“ข้ายังต้องบุกอีกหรือ ข้าคือปรมาจารย์ผู้นำแห่งยอดเขาหยกน้อย!”

‘โปรดอย่าทำลายหญ้าและต้นไม้ที่นี่ เส้นทางนี้นำไปสู่พื้นที่เปิดโล่งซึ่งไม่มีค่ายกลแยกเสียง’

เอ๋? นี่เป็นทางออกซึ่งผู้ที่สร้างค่ายกลทิ้งเอาไว้ให้หรือ

‘นี่คือป้ายบอกทางฉับพลัน’

‘พื้นที่เปิดโล่งอยู่ด้านหน้า’

‘เมื่อท่านมาถึงที่นี่แล้ว โปรดก้าวไปข้างหน้าสามก้าว’

ฉีหยวนหยุดฝีเท้านิ่งและกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวขณะมองไปที่ต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้าเขาและก้าวไปข้างหน้าอีกสามก้าวอย่างสงสัย

ทันใดนั้นทิวทัศน์ตรงหน้าฉีหยวนก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง พื้นที่เปิดโล่งที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่พลันปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา พื้นดินเต็มไปด้วยกองใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาและมีโต๊ะเตี้ยเล็กๆ ที่มีถังน้ำพุวิญญาณอยู่ด้านข้าง

“นี่…ที่นี่คือที่ใดกัน”

จากนั้นฉีหยวนก็เห็นป้ายไม้อีกป้ายอยู่ข้างหน้าแล้วเดินไปหา เขาพบลายมือที่คุ้นเคยยิ่งอยู่บนป้ายไม้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังจำไม่ได้ว่าเขาเคยเห็นมันที่ใดมาก่อน

‘ขอบคุณ ท่านโปรดรอที่นี่ หากข้าไม่อาจรีบมาได้ทันเวลา นั่นควรจะเป็นช่วงเวลาสำคัญของการปิดด่านบำเพ็ญหรือทำการหลอมโอสถ

และหากท่านรอไม่ได้ ท่านก็สามารถใช้พลังเซียนเรียกใครสักคนมาช่วยท่านออกไปภายนอกได้ ยอดเขาหยกน้อย ยินดีต้อนรับการมาเยือนของท่านอย่างจริงใจ แต่ครั้งต่อไป โปรดตรงไปที่ประตูโดยตรง และอย่าเผลอเข้าไปในบริเวณใกล้เคียงหอโอสถ…

ปรมาจารย์ผู้นำแห่งยอดเขาหยกน้อย ฉีหยวนขอน้อมคารวะท่านมา ณ ที่นี้’

มือของฉีหยวนสั่นเทาขณะที่เขาก้าวถอยหลังไปสองก้าวจนหลังของเขาปะทะเข้ากับลำต้นของต้นไม้

การล่าถอยของเขาถูกปิดกั้นโดยไม่รู้ตัว

“นี่…นี่ข้าเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเองหรือ”

ดวงตาของฉีหยวนเบิกกว้างราวกับว่าเขาได้เห็นผี และความมึนงงที่ยังคงเหลืออยู่หายวับไปในทันที เขากวาดตามองออกไปรอบๆ เพื่อตรวจดูพื้นที่ทั้งหมด จากนั้นก็รู้สึกว่าศีรษะของเขากำลังหมุนไปรอบๆ

เป็นไปได้หรือไม่ว่า นักพรตเต๋าผู้นี้ถูกจิตมารเข้าครอบงำ

ไม่ ไม่ถูกต้อง นี่เป็นเพราะเซียนจั๋วยังขุ่นมัวอยู่ใช่หรือไม่

เมื่อยามที่เขาเพิ่งไปดื่มมานั้น ก็มีผู้อาวุโสในสำนักคนหนึ่งเตือนเขาว่า เซียนจั๋วนั้นยังคงถูกพลังพิภพรบกวนและจิตเต๋าของพวกเขาก็มีแนวโน้มจะพบอุปสรรคด่านมารได้โดยง่าย

เป็นไปได้หรือ…เป็นไปได้หรือไม่ว่า ข้าเป็นแค่จิตมารในร่างของฉีหยวนที่แท้จริง

มือของฉีหยวนสั่นเทาทันทีขณะพุ่งปรี่ไปที่ป้ายไม้อีกครั้งเพื่อดูลายมือบนนั้น และจากนั้นดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ลายมือบนป้ายไม้นี้ ไม่ใช่ลายมือของเขาเองหรือไร!

ทันใดนั้นฉีหยวนก็ลื่นล้มลงบนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยใบไม้ที่ร่วงหล่น เขาดูตกตะลึงด้วยสายตาที่สั่นเทา และผมยาวสีขาวอมเทาที่ดูยุ่งเหยิงของเขาก็ยิ่งดูย่ำแย่มากกว่าเดิม

ห้วงแห่งเวลา เซียนจั๋ว จิตมาร…

ห้วงแห่งเวลา เซียนจั๋ว จิตมาร…

“เต๋าผู้น่าสงสารคนนี้เป็นผู้ใดกันแน่! เป็นไปได้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้ว เต๋าผู้น่าสงสารเช่นข้าเป็นเพียงจิตมารของข้าเองใช่หรือไม่…

ไม่ เป็นไปไม่ได้ เต๋าผู้น่าสงสารต้องไม่ใช่จิตมาร แต่เป็นฉีหยวน ข้าคือฉีหยวนและฉีหยวนคือข้า ข้าได้ก้าวเข้าสู่ห้วงแห่งเวลา ดังนั้นข้าย่อมไม่อาจเป็นจิตมารได้!

ไม่ ไม่!

ไม่ ไม่… อย่า…”

ฉีหยวนจับศีรษะของเขา ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะตะโกนร้องเสียงดังลั่นจนทำให้วิหคที่อยู่ทั้งใกล้และไกลจากยอดเขาหยกน้อยล้วนตื่นตระหนกตกใจ และยังทำให้ร่างของคนสองสามคนที่กำลังผ่านไปในท้องฟ้ามองดูป่าของยอดเขาหยกน้อยอย่างอยากรู้อยากเห็นโดยบังเอิญ

ฉับพลันนั้นก็มีเสียงสตรีที่ตระหนกตกใจดังเข้ามา

“ท่านอาจารย์?”

ฉีหยวนพลันหยุดตะโกนกะทันหันและเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “หลิงเอ๋อร์หรือ”

“ท่านอาจารย์ ท่านติดอยู่ในค่ายกลใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“เจ้าคือหลิงเอ๋อร์จริงๆ หรือ”

“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ ศิษย์จะเป็นตัวปลอมไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ”

“ไม่ ไม่ เจ้าอาจเป็นจิตมารก็ได้…เป็นจิตมารของข้า…”

ในเวลานี้ ที่ด้านนอกของค่ายกล หลันหลิงเอ๋อร์ที่เพิ่งมาถึงก็อดจะเอามือก่ายหน้าผากไม่ได้

จบสิ้นแล้ว ท่านอาจารย์ถูกศิษย์พี่ของนางทำร้ายเข้าแล้ว

นางคร่ำครวญเสียงเบา พลันมีความคิดหนึ่งขึ้นมาในทันทีก่อนจะกล่าวอย่างเร่งรีบว่า “อย่าขยับไปไหนนะเจ้าคะ! มีค่ายกลมากมายอยู่ในนั้น! อย่าขยับมาทางเสียงของหลิงเอ๋อร์ด้วย! หากท่านออกจากพื้นที่เล็กๆ ตรงนั้น ด้านนอกนี้ศิษย์ก็จะไม่ได้ยินเสียงของท่านอาจารย์อีกเลยเจ้าค่ะ!

ศิษย์จะเข้าไปหาท่านเดี๋ยวนี้!… แต่ศิษย์ต้องขอใช้เวลาสักครู่เพื่อค้นหาเส้นทางค่ายกลไปยังตำแหน่งของท่าน มีเพียงศิษย์พี่เท่านั้นที่สามารถปลดผนึกค่ายกลนี้ได้ ศิษย์พี่เป็นผู้ที่จัดวางค่ายกลทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ โปรดอดทนรอสักครู่นะเจ้าคะ”

ฉีหยวนตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง และในไม่ช้าเขาก็ได้ยินเสียง ‘อุ๊ย’ ดังมาจากด้านนอก

เมื่อครู่นี้ศิษย์คนเล็กของเขากล่าวว่าอะไรนะ

ศิษย์พี่?

ฉางโซ่วเป็นผู้ที่จัดวางค่ายกลทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้?

ฉีหยวนเต็มไปด้วยความสงสัย และเมื่อเขาจมอยู่ในภวังค์แห่งความคิด เขาจึงค่อยๆ สงบลงทีละน้อย

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลันหลิงเอ๋อร์ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยเศษใบไม้ใบหญ้าที่ร่วงหล่นลงมาบนร่าง พร้อมใบหน้าย่ำแย่มีรอยช้ำบวมของนางก็มาปรากฏกายต่อหน้าอาจารย์ด้วยรอยยิ้มแหย ก่อนจะทำการคารวะเต๋าให้อาจารย์

“ท่านอาจารย์ ศิษย์มาหาท่านแล้วเจ้าค่ะ”

ฉีหยวนอดไม่ได้ที่จะจ้องหลันหลิงเอ๋อร์เขม็ง ในขณะที่หลันหลิงเอ๋อร์ร่ายเวทสองสามอย่างซึ่งฉีหยวนเคยสอนนางมาก่อนให้ดู

“ท่านอาจารย์ ข้าคือหลิงเอ๋อร์จริงๆ เจ้าค่ะ…”

ทันใดนั้น ฉีหยวนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและฝืนยิ้มขื่นพลางกล่าวว่า “เกิดเรื่องบ้าอันใดขึ้นที่นี่กันแน่”

“เอ่อ” หลิงเอ๋อร์กัดริมฝีปากตัวเองพลางครุ่นคิดว่าจะช่วยศิษย์พี่ของนางได้อย่างไร

ในไม่ช้านางก็รีบหยิบถุงเก็บสมบัติออกมาอีกใบแล้วเดินอย่างรวดเร็วไปที่โต๊ะเตี้ย ก่อนจะหยิบเบาะรองนั่งสองใบและกาน้ำชากับถ้วยชาออกมา พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอาจารย์ ท่านพักผ่อนที่นี่ก่อนเจ้าค่ะ ให้ศิษย์ค่อยๆ เรียนให้ท่านทราบนะเจ้าคะ”

ฉีหยวนยังคงมีความสงสัยอยู่ในแววตา แต่เมื่อเขานั่งลงบนเบาะและเห็นทักษะการชงชาที่คุ้นเคยของหลันหลิงเอ๋อร์แล้ว ความสงสัยมากมายในใจของเขาก็หายไป

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

Status: Ongoing
เพื่อให้มีอายุยืนยาวในยุคบรรพกาลอันโหดร้าย จงหลีกเลี่ยงผลกรรม หากฆ่าคนต้องป่นขี้เถ้า ทุกการเคลื่อนไหวต้องมีแผนการ เก็บงำความสามารถ ขยันฝึกวิชา หลอมยาปรุงโอสถ นิ่งสงบมั่นคง!หลี่ฉางโซ่วที่ไปเกิดใหม่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนตัวน้อยๆ ในโลกบรรพกาลอันน่าสะพรึงกลัวเขาถูกอาจารย์ผู้นำยอดเขาสุดแสนอัตคัดในสำนักเซียนมนุษย์เล็กๆ พาตัวมาดูแล เพื่อฝึกฝนให้บรรลุวิถีเซียนตั้งแต่ยังเยาว์เป้าหมายของเขาคือ ‘อายุยืนยาว’ ในยุคบรรพกาลอันโหดร้ายนี้จึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงผลกรรม หากฆ่าคนต้องป่นขี้เถ้า ทุกการเคลื่อนไหวต้องมีแผนการเก็บงำความสามารถ ขยันหมั่นเพียรฝึกฝนเคล็ดวิชา หลอมยาปรุงโอสถ นิ่งสงบมั่นคง!เดิมทีในแผนการของหลี่ฉางโซ่ว เขาตั้งใจว่าจะซ่อนตัวอยู่ในเขาฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนอย่างสงบสุขไปตลอดชีวิตจนกระทั่งปีหนึ่ง อาจารย์ของเขาคงมีชีวิตที่สงบเงียบเกินไปจนเบื่อขึ้นมา ถึงได้รับศิษย์น้องหญิงคนหนึ่งมาให้เขา…เพื่อไม่ให้ศิษย์น้องนำผลกรรมมาแปดเปื้อนตน เขาจะต้องสอนหลักการการใช้ชีวิตให้ศิษย์น้องดีๆ เสียหน่อยแล้ว!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท