ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว – ตอนที่ 300 ข่าวลือไร้มูล (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 300 ข่าวลือไร้มูล (2)

หอโอสถในยามนั้น เงียบมาก เงียบจนสามารถได้ยินกระทั่งเสียงเข็มหมุดหล่นลงมาได้ในทันที ทุกคนล้วนกลั้นหายใจขณะที่ได้ยินการสนทนาเบาๆ มาเป็นระยะๆ จากหอยสังข์นั้น… “นี่ไม่ใช่วิธีฝึกบำเพ็ญจริงๆ หรือ?” ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งถาม

“ไม่ใช่แน่นอน” เจียงหลินเอ๋อร์ถอนหายใจ “เอาล่ะ ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า นี่คือสิ่งที่ศิษย์ได้สอนเจ้าในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงทีจะทำความสนิทสนมกันในห้องหอ หากเราอยากมีลูก เราก็จะต้องทำตามวิธีนี้! อย่า อย่าคิดมากนะ เมื่อยามท่องเที่ยวอยู่ภายนอก ข้าได้พบเห็นสิ่งเหล่านี้มามากมายในเมืองมนุษย์…”

ในหอโอสถ กลุ่มคนที่มารวมตัวกันข้างๆ หอยสังข์ ต่างก็มองหน้ากันและกันพลางกลั้นหัวเราะ

จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งกล่าวว่า “ความจริงแล้ว เป็นเช่นนี้เอง แต่เสี่ยวอูกังวลเรื่องนี้… เช่นนั้น พวกเรา…”

ปึ้ง!

นั่นน่าจะเป็นเสียงของเจียงหลินเอ๋อร์ตบโต๊ะ “จริงๆ เลย! ข้าทนไม่ไหวแล้ว! พูดมานะ! เจ้าอยากมีลูกหรือไม่! ตอบข้ามาตรงๆ เดี๋ยวนี้!”

“ข้า ข้า… หลินเอ๋อร์ ข้ากำลังจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เซียนจิน ข้ายังไม่มั่นใจในเรื่องนี้ มากนัก ข้าจึงอยากจะมีสายเลือดของข้าเอาไว้… ”

“เช่นนั้น เจ้ามานี่ นอนลง ถอดเสื้อผ้าซะ!”

ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งรีบถามว่า “ก็ได้ แล้วข้าควรทำอย่างไรดี”

“ว้าว… นี่เจ้าจะทำให้ข้าต้องอับอายจนตายให้ได้จริงๆ ใช่หรือไม่? ถึงเวลานี้แล้ว เจ้ายังต้องถามข้าว่า เจ้าควรทำอย่างไรอีกหรือ!” เจียงหลินเอ๋อร์อดจะหัวเราะและตวาดใส่เขาไม่ได้ แต่แล้วนางก็เอ่ยตะกุกตะกักออกมา…

“เจ้าก็แค่… แค่… ข้าได้ยินมาว่าจริงๆ แล้ว เจ้าน่าจะเพียงแค่… เคลื่อนไหวตามใจปรารถนาของเจ้า”

“ข้าเข้าใจคร่าวๆ…” ทันใดนั้น ในหอโอสถ ก็มีมือเรียวยื่นออกมาจากด้านข้างและคว้าหอยสังข์วิเศษเอาไว้

กลุ่มคนที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการดักฟังล้วนเงยหน้ามองขึ้นไป แล้วพบกับดวงตาถมึงทึงที่เต็มไปด้วยโทสะเดือด เมื่อพวกเขาเห็นเจ้าของมือเรียวที่มีร่างเพรียวบางในชุดคลุมสีขาวราวกับหิมะพลิ้วไหว ทันใดนั้น ต่างพากันตัวสั่น นางคือ จิ่วอี้อีผู้มีสีหน้าท่าทีเย็นชา!

“พวกเจ้า!”

จิ่วอี้อีตวาดใส่อย่างโกรธจัดพลางทุบหอยสังข์จนแตกเป็นชิ้นๆ “พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงบังอาจมาแอบฟังท่านอาจารย์และฮูหยินของท่าน? พวกเจ้าช่างอยากหาเรื่องถูกตีจริงๆ! พวกเจ้าไม่กลัวว่าศิษย์น้องฉีหยวนและคนอื่นๆ จะหัวเราะเยาะพวกเจ้าหรือ!?!”

จิ่วอูและคนอื่นๆ ล้วนตัวสั่นพร้อมๆ กันในขณะที่ฉีหยวนซึ่งอยู่ข้างๆ ก็ก้มศีรษะลงด้วยความละอายใจและรู้สึกผิด

เมื่อครู่นี้ เขาก็ยังตั้งใจฟังอย่างกระตือรือร้นยิ่ง

จิ่วอี้อีกำลังจะดุอีกครั้ง แต่หลี่ฉางโซ่วก็ได้ชี้แจงบางอย่างกับนางไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วโดยใช้ศาสตร์สำนวนโวหาร

ในขณะนั้น จิ่วอี้อีก็มีสีหน้าท่าทีนุ่มนวลขึ้นและเอ่ยถามว่า “พวกเจ้ากังวลใจจริงๆ หรือว่าท่านอาจารย์จะเข้าใจผิด?”

“ใช่ๆ” บรรดาเซียนในหอโอสถตางก็รีบพยักหน้ากันอย่างรวดเร็ว

“เช่นนั้น ก็ช่างเถิด” จิ่วอี้อีส่ายศีรษะเบาๆ แล้วเหลือบมองที่หม้อไฟที่กำลังร้อนอยู่พลางกล่าวว่า “จงดื่มสุราให้น้อยลงหน่อย แล้วเร่งฝึกบำเพ็ญของเจ้าอย่าได้ชักช้า”

กล่าวจบ นางก็หันหลัง แล้วเดินจากไปทันที

ทันใดนั้น จิ่วจิ่วก็มองไปที่เศษหอยสังข์บนพื้นและรู้สึกเสียใจ

ตอนนี้นางยากจนแล้ว เพื่อแลกกับเครื่องมือเวทเพื่อแอบดักฟังคู่นี้ นางได้พยายามทุมเทมากมาย…

แต่แล้ว…

จิ่วอูพึมพำว่า “แล้วศิษย์พี่ใหญ่มาทำอะไรที่นี่นะ?” บรรดาเซียนทั้งหกต่างก็อดจะมองหน้ากันไม่ได้ และทันทีที่ตระหนักรู้ พวกเขาก็แย้มยิ้มเบิกบานออกมา

บางทีอาจเป็นเพราะปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งนั้นน่าเบื่อเกินไป ดังนั้น บางเรื่อง เขาก็อยากให้เจียงหลินเอ๋อร์เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ในฐานะศิษย์ของเขา จิ่วอูและคนอื่นๆ ก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อยเช่นกัน

ในงานเลี้ยงหม้อไฟหลังจากนั้น จิ่วอูและคนอื่นๆ ก็ยังคงดื่มกับฉีหยวน โดยเรียกเขาว่า “ศิษย์น้อง” พวกเขาเกือบจะเปลี่ยนชื่อของฉีหยวนเป็น ‘จิ่วสือ’ ในทันที

และเมื่อพวกเขาพูดถึงเจียงหลินเอ๋อร์ พวกเขาเปลี่ยนจากอาจารย์อาเป็น ‘ท่านอาจารย์หญิง’

หลี่ฉางโซ่ว หลิงเอ๋อร์ และสงหลิงลี่ ต่างนั่งอยู่ในมุมหนึ่ง สงหลิงลี่ง่วนอยู่กับการกินและดื่มเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีกสองคนต่างก็มองหน้ากันแล้วยิ้ม

ขณะที่พวกเขากำลังดื่มและพูดคุยกันเสียงดัง หลิงเอ๋อร์ก็ฉวยโอกาสนั้น เอ่ยกระซิบเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ แล้วท่านอยาก… มีลูก…”

“นั่นเป็นกรรม เป็นปัญหา ขอบใจเจ้าที่ถาม เช่นนั้น จงคัดลอกพระสูตรมั่นคงพันจบ”

“เจ้าค่ะ!”

หลิงเอ๋อร์หน้าบึ้งพลางหันกลับมาด้วยใบหน้าแดงก่ำแล้วกล่าวว่า “ข้าแค่ถามเฉยๆ นะ หึ…”

หลี่ฉางโซ่วก็หรี่ตาลงพลางเผยรอยยิ้มออกมาทันที

สุราในจอกนั้นมีกลิ่นหอมแรง ในขณะที่ไอน้ำสีขาวก็พวยพุ่งขึ้นมาเป็นระลอกๆ และเนื้อกำลังเดือดพล่าน

ในหอโอสถแห่งยอดเขาหยกน้อย ผู้คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทั้งสองก็ค่อยๆ เดินไปมาหากัน จิ่วอูไปดื่มสุราร่วมกับฉีหยวน ขณะที่จิ่วจิ่วก็เดินไปหยิบเนื้อจากสงหลิงลี่ ในอีกด้านหนึ่งนั้น หลิงเอ๋อร์ก็กำลังยุ่งอยู่กับการเดินไปมา เพื่อคอยเติมอาหาร สุรา และทำเครื่องปรุงรสต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ในเวลาเดียวกันนั้น หลี่ฉางโซ่วก็มองไปที่ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขากำลังเข้าใกล้ทัณฑ์สวรรค์หรือไม่ แต่จริงๆ แล้ว เขาก็รู้สึกสะเทือนอารมณ์เล็กน้อย

เฉกเช่นชีวิตในชาติก่อนของเขา บางครั้ง เมื่อเขาเห็นคนจำนวนมากมารวมตัวกัน เขาก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างไม่อาจอธิบายได้… ศิษย์พี่เจ้าสำนัก? ศิษย์พี่เจ้าสำนัก?

จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนเบาๆ ดังมาจากในหัวใจ หลี่ฉางโซวที่กำลังถือจอกสุราพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดบางอย่างกับหลิงเอ๋อร์ก่อนจะออกจากหอโอสถไปอย่างเงียบๆ ในขณะที่จิ่วจิ่วกะพริบตาและใคร่รู้ว่า “เสี่ยวฉางโซ่วไปที่ใด?”

หลิงเอ๋อร์รีบกล่าวว่า “ศิษย์พี่กำลังไปเอาอาหารจานใหม่มาเจ้าค่ะ”

“อาหารจานใหม่?” จิ่วจิ่วหัวเราะและตบท้องที่ป่องเล็กน้อยของนาง แล้วเกิดความคิดวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นมาทันที “ตามเสี่ยวฉางโซ่วไปย่อมดีที่สุด มีอาหาร เครื่องดื่มอร่อยเลิศล้ำให้ไม่ขาด และยังสนุกสนานได้อย่างไม่อั้น ข้าเบื่อที่จะฝึกบำเพ็ญอยู่คนเดียวแล้ว!”

หลิงเอ๋อร์ยิ้มและกล่าวว่า “บางที หลังจากวันนี้ ท่านปรมาจารย์ใหญ่ของข้าจะย้ายไปอยู่ที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์นะเจ้าคะ”

ดวงตาของจิ่วจิ่วสว่างวาบขึ้นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น นางวิ่งเข้าไปกอดหลิงเอ๋อร์และให้กำลังใจอยู่ครู่หนึ่ง ทำให้คนอื่นๆ ต่างพากันฉงนกับการกระทำเช่นนั้น

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วสัมผัสได้ถึงการส่งข้อความผ่านเจตจำนงวิญญาณของอ๋าวอี่ จึงเพ่งจิตไปที่รูปปั้นเทพเจ้าแห่งเมืองอันสุ่ยทันที

ตามธรรมเนียมของเผ่ามังกร รองเจ้าสำนักจะไม่ออกจากที่พำนักเป็นเวลาสามเดือนไม่ใช่หรือ?

หรือว่าเขากำลังโอบกอดภรรยาคนสวยของเขาเอาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้งและกำลังจะมาอวดตาเฒ่าผู้ครองหยางบริสุทธิ์เช่นข้า…

ทว่าคราวนี้ มันไม่ใช่เช่นนั้นจริงๆ

อ๋าวอี่ดูเป็นกังวล ทันทีที่ได้พบหลี่ฉางโซ่วในฝันแล้ว เขาก็ไม่กล่าวออกมาตรงๆ ทันทีว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ข้าเพิ่งพาซือซือกลับมาที่เกาะเต่าทอง ยามนี้ ทุกคนบนเกาะเต่าทองกำลังแพร่กระจายข่าวว่า ท่านต้องอาคมของอาจารย์ลุงจ้าวกงหมิง และกำลังพยายามยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสำนักบำเพ็ญประจิมและสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย!”

หลี่ฉางโซ่วเลิกคิ้ว

สำนักบำเพ็ญประจิมมีกลวิธีบางอย่างในครั้งนี้

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “นี่เป็นเพียงข่าวร่ำลือกันไปเท่านั้น ผู้มีปัญญาย่อมไม่เชื่อ”

“แต่มีศิษย์พี่สองสามคนมาที่วิหารเทพทะเลเพื่อถามท่านในเรื่องนี้แล้ว แต่ข้ายังหยุดพวกเขาเอาไว้ขอรับ” อ๋าวอี่กล่าวด้วยเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก นี่อาจเป็นการใส่ร้ายป้ายสีของสำนักบำเพ็ญประจิมที่หวังทำลายชื่อเสียงของท่าน… พวกเขาแอบโจมตีท่าน ข้าควรทำอย่างไรดี?”

“อย่าห่วงไปเลย” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างอ่อนโยน “ไว้ให้ข้าคิดแผนรับมือในเรื่องนี้เอง เจ้าอย่าได้วิตกกังวล ไป หากมีผลเสียจริงๆ อย่างมากที่สุด ข้าก็จะขอให้ผู้อาวุโสจ้าวกงหมิงช่วยออกมาชี้แจงเอง”

อ๋าวอี่ผงะงันทันที… “ศิษย์พี่สามารถเชิญท่านผู้อาวุโสคนนี้มาได้ตามต้องการหรือขอรับ?”

“แล้วเจ้าคิดอย่างไร?” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าว่า “เจ้าคิดว่าเหตุใดคนพวกนั้นถึงล่าถอยกลับไปในวันนั้น? ชั่วเวลานั้น มีศิษย์ของจอมปราชญ์เทพจากอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ที่นั่นและตั้งใจจะไปเสนอหน้าหาเรื่องที่วังมังกร แต่พวกเขาถูกผู้อาวุโสกงหมิงหยุดเอาไว้ อาจเป็นด้วยเหตุนี้ที่อีกฝ่ายจึงวางแผนทำร้ายพวกเรา” ดวงตาของอ๋าวอี่เปล่งประกายขึ้นมาทันที เขามีสีหน้าท่าทีละอายใจขณะก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “ศิษย์พี่… เจ้าสำนัก เป็นความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ของท่าน โปรดรับการคารวะจากข้า อ๋าวอี่ด้วยขอรับ!”

“อย่าคารวะข้าเลย” หลี่ฉางโซ่วยกมือขึ้นประคองอ๋าวอี่เอาไว้ เขามีแผนในใจอยู่แล้วขณะกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ หากพวกเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยมาหาเจ้า เจ้าก็ขอให้พวกเขามาที่เมืองอันสุ่ย ข้าจะรอพวกเขาอยู่ที่นั่นตลอดเวลา”

จากนั้น อ๋าวอี่ก็พยักหน้ารับทันทีก่อนจะรีบจากไป

หลังจากสิ้นสุดการสื่อสารทางวิญญาณแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ครุ่นคิดต่อไป

ความจริงแล้ว เขาไม่ได้สงบเหมือนที่แสดงออกมาต่อหน้าอ๋าวอี่ ขณะที่เขาเลือกสมุนไพรใหม่ในสวนสมุนไพรวิญญาณ เขาก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี

สำนักบำเพ็ญประจิมเปลี่ยนตัวผู้ดำเนินการหรือไม่? การโจมตีเบาๆ ทำให้เขาเฉื่อยชามาก ครึ่งวันต่อมา บรรดาเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยทั้งหกก็มาถึงเมืองอันสุ่ยจริงๆ พวกเขาตรงไปที่วิหารเทพทะเล ผู้นำพวกเขาเป็นเซียนสตรีที่ครองฐานพลังเซียนจิน

ในขณะนั้น งานเลี้ยงหม้อไฟบนยอดเขาหยกน้อยก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว หลิงเอ๋อร์ จิ่วจิ่วและสงหลิงลี่ ต่างพากันไปเล่นที่ห้องเดินหมากเล่นไพ่ ในขณะที่อาจารย์ของพวกเขากำลังนั่งเข้าฌานอยู่ในหอโอสถ

ในกระท่อมมุงจากริมทะเลสาบ… ขณะนั้น ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ข่ายอาคมกำลังปกป้องมันอย่างแน่นหนา หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะพลางหลับตาลง แล้วเพ่งจิตไปที่วิหารเทพทะเลพร้อมกับเปิดใช้งานตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์

เขามองไปที่ภาพวาดภูเขาแม่น้ำที่แขวนอยู่ตรงกลางห้องโถงด้านหลังของเขา… บัดนี้ เขามีวิธีจัดการปัญหาแล้ว

………………………………………………………………

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

Status: Ongoing
เพื่อให้มีอายุยืนยาวในยุคบรรพกาลอันโหดร้าย จงหลีกเลี่ยงผลกรรม หากฆ่าคนต้องป่นขี้เถ้า ทุกการเคลื่อนไหวต้องมีแผนการ เก็บงำความสามารถ ขยันฝึกวิชา หลอมยาปรุงโอสถ นิ่งสงบมั่นคง!หลี่ฉางโซ่วที่ไปเกิดใหม่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนตัวน้อยๆ ในโลกบรรพกาลอันน่าสะพรึงกลัวเขาถูกอาจารย์ผู้นำยอดเขาสุดแสนอัตคัดในสำนักเซียนมนุษย์เล็กๆ พาตัวมาดูแล เพื่อฝึกฝนให้บรรลุวิถีเซียนตั้งแต่ยังเยาว์เป้าหมายของเขาคือ ‘อายุยืนยาว’ ในยุคบรรพกาลอันโหดร้ายนี้จึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงผลกรรม หากฆ่าคนต้องป่นขี้เถ้า ทุกการเคลื่อนไหวต้องมีแผนการเก็บงำความสามารถ ขยันหมั่นเพียรฝึกฝนเคล็ดวิชา หลอมยาปรุงโอสถ นิ่งสงบมั่นคง!เดิมทีในแผนการของหลี่ฉางโซ่ว เขาตั้งใจว่าจะซ่อนตัวอยู่ในเขาฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนอย่างสงบสุขไปตลอดชีวิตจนกระทั่งปีหนึ่ง อาจารย์ของเขาคงมีชีวิตที่สงบเงียบเกินไปจนเบื่อขึ้นมา ถึงได้รับศิษย์น้องหญิงคนหนึ่งมาให้เขา…เพื่อไม่ให้ศิษย์น้องนำผลกรรมมาแปดเปื้อนตน เขาจะต้องสอนหลักการการใช้ชีวิตให้ศิษย์น้องดีๆ เสียหน่อยแล้ว!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท