พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 2191 ข้ามีความตั้งใจนี้พอดี

บทที่ 2191 ข้ามีความตั้งใจนี้พอดี
อินเอ้อร์หลางหัวเราะเบาๆ แล้วถามต่อว่า “เจอศัตรูบนทางแคบ นี่มาเพื่อล้างแค้นเหรอ?”
ในบรรดาคนที่มาจากฝั่งนี้ มองเห็นใบหน้าคุ้นเคยแล้วไม่น้อย เป็นจินม่าน จ่างซุนจู ซิงหลัว ลวี่เกอ อู๋เซิง เย่สิงคงและพรรคพวก
พอกำลังพลกลุ่มใหญ่ล้อมกำลังพลกลุ่มนี้เอาไว้ ก็เห็นพวกหั่วเจินจวินทันที พวกจินม่านสีหน้าเปลี่ยนแล้วเช่นกัน บนตัวแผ่ซ่านบรรยากาศสังหาร
ก็ช่วยไม่ได้ ในปีนั้นที่ประมุขปราชญ์หกลัทธิถูกโค่นล้ม พวกจินม่านถูกบีบเข้าแดนอเวจี ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าบรรดาคนตรงหน้าเคยทำอะไรกับพวกเขาไว้บ้าง
ทว่าพวกจินม่านก็รู้เช่นกันว่าคนพวกนี้เป็นคนของใคร จึงไม่ได้แตกคอกันในทันที ถ้าเปลี่ยนเป็นในปีนั้นตอนยังไม่ถูกบีบเข้าแดนอเวจี เกรงว่าพอเจอหน้าก็คงจะสู้กันเลย
“มีเรื่องอะไรกัน?” เหยียนซิวออกออกมาจากกลุ่มคนแล้วเอ่ยถาม เขาเองก็ไม่รู้จักพวกหั่วเจินจวินเหมือนกัน แต่มองออกว่าทั้งสองฝ่ายไม่ค่อยถูกกันเท่าไร
จินม่านถ่ายทอดเสียงตอบเขาว่า “พวกสิบปราสาทดำเนินกับพวกปีศาจเฒ่า ในปีนั้นสิบปราสาทดำเนินเป็นลูกน้องเก่าของประมุขไป๋ พวกปีศาจเฒ่าก็เป็นลูกน้องเก่าของประมุขปีศาจ”
พวกหั่วเจินจวินก็มองออกเช่นกันว่าพวกจินม่านเกรงใจเหยียนซิวมาก จึงแปลกใจนิดหน่อย อู๋ฉางหันกลับมาถามว่า “แล้วเจ้าหน้าตายนี่มีความสำคัญอะไร?”
“เป็นพวกเดียวกัน” เวินหวนเจินตอบ
เหยียนซิวขมวดคิ้ว ถามว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
ลี่หัวตอบอย่างใจเย็น “มีคนฝากฝังมา ให้มาช่วยพวกเจ้า” สีหน้าท่าทางเยือกเย็นมาตลอด นางเสียอาการกับอู๋ฉางและพวกปีศาจเฒ่าเท่านั้น
เหมียวอี้ไม่เคยพูดเรื่องนี้ เหยียนซิวไม่สะดวกจะตัดสินใจเอง จึงหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อเหมียวอี้ บอกเล่าสถานการณ์ให้ฟัง
เหมียวอี้ที่รับกำลังพลของเถิงเฟยแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางกลับ พอได้รับข่าวจากเหยียนซิวก็ขมวดคิ้วเงียบ คนของสิบปราสาทดำเนินปรากฏตัวแล้วเหรอ? ทั้งยังมีคนของประมุขปีศาจด้วย? มีจุดหนึ่งที่เขาพบว่าตัวเองเดาถูกแล้ว นั่นก็คือคนของสิบปราสาทดำเนินเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย
เพียงแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ ว่าคนพวกนั้นไปโผล่อยู่ที่นั่นได้อย่างไร? บางทีฝั่งแดนอเวจีอาจจะมีคนปล่อยข่าว แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดมากไม่ใช่สิ่งนี้ เพราะเขารู้สึกว่าทุกการเคลื่อนไหวของตัวเองปิดบังคนผู้นั้นไม่ได้เลย ต่อให้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเป็นความลับขนาดไหน แต่ก็ปิดบังได้ยาก ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เขาอึดอัดมาก
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็หันกลับมาตอบเหยียนซิว : อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม รอดูการเปลี่ยนแปลงก่อน ป้องกันเอาไว้หน่อย
เหยียนซิวเอ่ยรับแล้วเก็บระฆังดารา แล้วถ่ายทอดเสียงบอกพวกจินม่าน บอกให้รู้ถึงท่าทีของเหมียวอี้
ดังนั้นคนกลุ่มหนึ่งจึงคุมเชิงกันอยู่ตรงนี้ หั่วเจินจวินตะคอกถามว่า “พวกเจ้าหมายความว่ายังไง ล้อมไว้ทำไม ยังไม่รีบเคลื่อนไหวอีก?”
“ยังไม่ถึงเวลา” เหยียนซิวกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าเยียบเย็น
ลี่หัวหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง หลังจากติดต่อแล้วก็มองซ้ายมองขวา “คุณชายไป๋ให้พวกเราเชื่อฟังเขา ทำตามขั้นตอนของพวกเขา”
“แปลกพิกล” อินเอ้อร์หลางพึมพำ…
เหมียวอี้ที่กำลังเดินทัพอยู่อีกฝั่งหนึ่งโบกมือสั่งให้กำลังพลหยุดชั่วคราว แล้วใช้ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วอีกครั้ง เปล่งลำแสงแพรวพราวออกมากระตจุกหนึ่ง กวาดมองบริเวณทางเข้าอาณาเขตดาวนิรนาม ครั้งนี้ใช้เวลาตรวจสอบค่อนข้างนาน
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม ในมือก็หยิบแผ่นหยกขึ้นมาอีก ขณะใช้ตาทิพย์สำรวจ ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ระบุพิกัดดาวบนแผ่นหยกไปด้วย
เถิงเฟยที่อยู่ข้างๆ มองตาทิพย์ของเหมียวอี้อีกครั้ง ในใจมีความรู้สึกหลากหลายปนกัน รู้สึกเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะไปจิ้มตาที่สามของเหมียวอี้ให้บอด
เขาคิดว่าความพ่ายแพ้ของตัวเองครั้งนี้คือการแพ้ให้กับตาทิพย์
หลังจากเก็บลำแสงปิดตาทิพย์แล้ว เหมียวอี้ก็หันตัวไปบอกกับทุกคนว่า “กำลังพลของประมุขชิงกับประมุขพุทธะดักซุ่มอยู่ตรงทางเข้าของเส้นทางนี้ พวกเราต้องอ้อมผ่านพวกเขาไปเป็นกวงกว้าง นี่คือแผนที่ดาวบอกพิกัดสำหรับเดินทางอ้อม” พูดจบก็ยื่นแผ่นหยกให้เถิงเฟย
เถิงเฟยเข้าใจสิ่งที่เขาพูด แม้ในมือเขาจะมีกำลังทหารเกินห้าพันล้าน แต่ฝั่งประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็มีกำลังพลเกินสองพันล้านกว่าเช่นกัน ดูเผินๆ เหมือนมากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าจะสู้กันจริงๆ กำลังพลที่มากกว่าเท่าเดียวก็ใช่ว่าจะได้เปรียบมากกว่าเสมอไป หลังจากจบศึกแล้ว ต่อให้ชนะแต่ก็เสียหายหนักมากอยู่ดี ต่อไปเกรงว่ากำลังพลของอ๋องสวรรค์โค่วกับอ๋องสวรรค์ก่วงจะลงมือกับเขาทันที ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยังไม่อยากใช้กำลังปะทะกับพวกเขาตรงๆ
หลังจากยืนยันพิกัดบนแผนที่ดาวจนเข้าใจแล้ว เถิงเฟยก็พยักหน้า
เหมียวอี้หยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อโค่วหลิงซวีกับก่วงลิ่งกง เชิญให้ทั้งสองร่วมมือกันเคลื่อนทัพไปรับมือกับประมุขชิงและประมุขพุทธะ
ผลก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ทั้งสองต่างก็อ้างว่าในอาณาเขตตัวเองยังมีกองทัพองครักษ์โจมตีก่อกวน จึงปฏิเสธคำขอให้ร่วมมือกันเคลื่อนทัพ
เมื่อเก็บระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ก็แสยะยิ้ม แล้วบอกเถิงเฟยว่า “เริ่มทำตามแผนเถอะ”
“รับทราบ!” เถิงเฟยหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อโค่วหลิงซวี
บนหน้าผาที่เห็นทิวทัศน์ทะเลสาบแห่งหนึ่ง ขณะหันหน้าหาดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ โค่วหลิงซวีกำลังถือระฆังดาราไว้ในมือที่ไขว้อยู่ข้างหลัง “หนิวโหย่วเต๋อให้พวกเราเคลื่อนทัพไปร่วมมือปราบประมุขชิงกับประมุขพุทธะ ข้าปฏิเสธไปแล้ว”
ถังเฮ่อเหนียนที่อยู่ข้างๆ พยักหน้า “ควรปฏิเสธขอรับ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กำลังพลของประมุขชิงกับประมุขพุทธะกัดเถิงเฟยไม่ปล่อย นี่ไม่ใช่การล้างแค้นเรื่องกำลังพลดักซุ่มที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการรักษากำลังของตัวเองเอาไว้ จิตใจทะเยอทะยานของหนิวโหย่วเต๋อมีมานาน แม้แต่คนเดินผ่านทางยังล่วงรู้ คาดว่าหลังจากเขาจัดการเถิงเฟยได้แล้ว คนต่อไปที่เขาจะสู้ด้วย ถ้าไม่ใช่ท่านอ๋องก็เป็นก่วงลิ่งกง จะได้กำจัดภัยที่จะตามมาหลังจากทำศึกตัดสินกับประมุขชิงและประมุขพุทธะแล้ว ดูจากวิธีการที่เขาฮุบกำลังพลของเฉิงไท่เจ๋อก็รู้แล้ว นี่เป็นแบบฉบับของการอาศัยกำลังพลที่กวาดต้อนได้มารบต่อเลย กัดเถิงเฟยไม่ปล่อย คาดว่าคงเห็นเถิงเฟยมีกำลังอ่อนแอ มีโอกาสมากที่จะฮุบกำลังพลของเถิงเฟย!”
“ใช่แล้ว หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าหนุ่มนี่ช่างเปี่ยมพลังอำนาจอิจฉาคนหนุ่มสาวจริงๆ บทจะวู่วามอยากทำก็ทำเลย แค่ไม่เคลื่อนไหวเท่านั้น พอเคลื่อนไหวก็ลงมือต่อเนื่อง” โค่วหลิงซวีส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วบอกอีกว่า “ที่จริงแล้ว ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะร่วมมือกันปราบประมุขชิงและประมุขพุทธะจริงๆ แต่จนใจที่ข้ามีความตั้งใจนี้ แต่คนอื่นกลับมีเจตนาไม่ซื่อ ทำให้ข้ารู้สึกจนใจมาก!”
ถังเฮ่อเหนียนบอกว่า “ท่านอ๋อง ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะขอรับ ถ้ามีโอกาสลงมือก็ลองลงมือได้ ถ้าไม่มีโอกาส การรักษากำลังเอาไว้เป็นแผนที่ดี ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกับประมุขชิงและประมุขพุทธะสูสีกันจนตัดสินแพ้ชนะไม่ได้ สองฝ่ายรามือ กำลังในมือท่านอ๋องก็ยังไม่ส่งผลกระทบอะไรกับท่านอ๋อง แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายตัดสินแพ้ชนะได้ ตระกูลโค่วก็จะต้องเสียหายหนักมาก ด้วยกำลังพลในมือท่านอ๋อง จะทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไรท่านอ๋องขอรับ”
โค่วหลิงซวีขานรับ “เกรงว่าก่วงลิ่งกงก็จะคิดอย่างนี้เหมือนกัน…” ขณะที่พูดเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหยิบระฆังดาราที่อยู่ข้างหลังขึ้นมา “เถิงเฟย!”
ถังเฮ่อเหนียนทำสีหน้าตั้งตารอ
โค่วหลิงซวีเขย่าระฆังดาราตอบ : พี่เถิง มีอะไรจะชี้แนะ?
เถิงเฟย : พี่โค่ว ข้าไม่ได้ยั่วโมโหหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ได้ไปหาเรื่องเขาด้วย แต่เจ้าเวรนี่มันกัดข้าไม่ปล่อย มีเหตุผลอะไรกันแน่?
โค่วหลิงซวี : นี่ก็ต้องถามตัวพี่เถิงเอง…หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนหนุ่มเปี่ยมพลัง เจ้ารู้ดีไม่ใช่เหรอว่าเขาเป็นคนแบบไหนอ? เป็นคนที่พอโมโหแล้วก็ลงมือเลย ตอนนี้พี่เถิงคงไม่คิดว่าเขาพูดเล่นหรอกมั้ง?
พอพูดถึงเรื่องนี้ โค่วหลิงซวีก็เดือดดาลนิดหน่อย เดิมทีนั้น หลายฝ่ายเตรียมจะร่วมมือกันสู้กับประมุขชิงและประมุขพุทธะ สามารถโค่นล้มประมุขชิงและประมุขพุทธะที่เป็นใหญ่ในใต้หล้ามาหลายปีได้ในรวดเดียวเลย ผลปรากฏว่าพอเถิงเฟยทำอย่างนี้ ทำให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้ ทำเอาทุกคนแฝงไว้ด้วยเจตนาที่มิดีมิร้าย พลาดโอกาสดีไปเฉยๆ แล้ว
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเหมียวอี้มีเจตนาไม่ซื่อ แต่ก็ยังแอบชมว่าเหมียวอี้ทำได้ดี สำหรับเรื่องบางเรื่อง คนน่ารังเกียจก็ต้องโดนคนน่ารังเกียจกว่าเล่นงานอีกที ตอนนี้เถิงเฟยคงกำลังโดนหนิวโหย่วเต๋อเล่นงานจนโมโหแต่พูดอะไรไม่ได้ คงกระวนกระวายแล้ว
เถิงเฟย : พี่โค่ว จะพูดอย่างนี้ไม่ได้ พวกเราขัดแย้งกันเองภายใน โจมตีกันไปโจมตีกันมาอย่างนี้ สุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์ก็คือประมุขชิงและประมุขพุทธะ ถ้ากำลังของพวกเราเสียหายรุนแรง มีหรือที่ประมุขชิงและประมุขพุทธะจะปล่อยพวกเราไปง่ายๆ?
โค่วหลิงซวี : แล้วเจ้าจะทำยังไง?
เถิงเฟย : ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อเหมือนหมาบ้าเลย กัดคนมั่วไปหมด หวังว่าพี่โค่วกับพี่ก่วงจะเกลี้ยกล่อมเขาได้ ขอเพียงเขายอมหยุด ก็จะทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นยังไง?
โค่วหลิงซวีรู้สึกบันเทิงแล้ว ถามว่า : ไม่ทราบว่าพี่เถิงคิดว่าข้าจะเกลี้ยกล่อมเขาไหวหรอ?
เถิงเฟยเหมือนจะเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนเป็นพูดขอร้อง : ในเมื่อเกลี้ยกล่อมไม่ไหว พี่โค่วจะช่วยข้าขัดขวางเขาได้หรือเปล่า?
โค่วหลิงซวีถาม : ขัดขวางยังไง?
เถิงเฟย : หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเวรนี่มันกัดข้าไม่ปล่อย ข้าอยากจะผ่านอาณาเขตของพี่โค่วไป ถึงตอนนั้นพี่โค่วออกหน้ามาช่วยข้าขวางสักหน่อย คิดเสียว่าเป็นคนไกล่เกลี่ย รอให้ข้าสลัดเขาทิ้งได้แล้ว ค่อยหนีเข้าอาณาเขตดาวนิรนามอีกที แค่นี้เรื่องก็จะผ่านไปแล้ว
โค่วหลิงซวี : หนิวโหย่วเต๋อเป็นหมาบ้า ถ้าไปยั่วโมโหเขา เขาเกิดแตกคอกับข้าขึ้นมาจะทำยังไง?
เถิงเฟย : เป็นหมาบ้าไม่ใช่คนบ้า เขาไม่ได้โง่ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าข้ามีกำลังอ่อนแอ ในมือเขามีกำลังพลสามร้อยล้านกว่า ในมือพี่โค่วก็มีกำลังพลสามร้อยล้านกว่าเหมือนกัน ถ้าเขากับพี่โค่วใช้กำลังปะทะกันตรงๆ เขาก็ทนความเสียหายไม่ไหวหรอก โดยเฉพาะไม่อยู่ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้
โค่วหลิงซวี : ทำไมพี่เถิงไม่ล่อประมุขชิงกับประมุขพุทธะไปทางนั้นล่ะ ให้พวกเขาขวางให้ไม่ดีกว่าเหรอ?
เถิงเฟย : ข้านำกำลังพลหนีเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนามแล้ว ที่อาณาเขตดาวนิรนามนี้ ข้าสำรวจเส้นทางได้จำกัด เขาตามอยู่ข้างหลังข้า ข้าไม่มีทางเลี้ยวกลับได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องรบกวนพี่โค่วหรอก แล้วอีกอย่าง ข้าก็ไม่หวังจะเห็นกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อเสียหายด้วยน้ำมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะเช่นกัน แบบนั้นไม่เป็นผลดีต่อกำลังของทั้งสี่ทัพ แต่จุดที่ข้ากำลังจะไปอยู่ใกล้อาณาเขตของพี่โค่วที่สุด แค่เชิญพี่โค่วมาช่วยเอง พี่โค่ววางใจ ข้าไม่ให้พี่โค่วช่วยโดยเปล่าประโยชน์หรอก ข้าจะให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันเป็นของขวัญ ดีไหม?
โค่วหลิงซวีโค้งมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ บอกว่าไม่อยากให้กำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อเสียหายด้วยน้ำมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะเสียอะไรกัน พูดจาไพเราะยิ่งกว่าร้องเพลง ที่จริงแล้วไม่มีทางกลับมาได้ต่างหาก ถ้าหากกลับมาได้ เกรงว่าคงจะหลอกล่อหนิวโหย่วเต๋อไปหาประมุขชิงกับประมุขพุทธะทันที จะมาเสแสร้งทำตัวสง่าผ่าเผยได้อย่างไรกัน
พอครุ่นคิดได้สักครู่หนึ่ง ก็ถามว่า : ให้เวลาข้าพิจารณาหน่อยเป็นไร?
เถิงเฟยเหมือนร้อนใจมาก : ได้! แต่พี่โค่วต้องทำให้เร็วที่สุดนะ
พอวางระฆังดาราแล้ว โค่วหลิงซวีก็เล่าสถานการณ์ให้ถังเฮ่อเหนียนฟัง
ถังเฮ่อเหนียนหรี่ตา กล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋อง นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะวางกับดักฮุบกำลังพลของเถิงเฟย กำลังพลของเถิงเฟยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา และไม่ใช่กองทัพองครักษ์ที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมแพ้ ถ้าต่อสู้กันก็จะได้ทหารที่ยอมสวามิภักดิ์ไม่น้อย ต่อให้พวกเรามีความเสียหาย แต่ผลที่ได้จากการรบก็เพียงพอที่จะชดเชยความเสียหายได้ ตามที่บ่าวคำนวณ อย่างน้อยก็น่าจะเพิ่มกำลังพลให้ท่านอ๋องได้หนึ่งพันล้าน!”
โค่วหลิงซวีหันหน้าไปทางเขาเล็กน้อย “ตรงกับสิ่งที่ข้าต้องการพอดี เพียงแต่หนิวโหย่วเต๋อตามกัดอยู่ข้างหลังเขาไม่ปล่อย ต่อให้สกัดหนิวโหย่วเต๋อได้ แต่ถ้าพวกเราต่อสู้กัน เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ!”
ถังเฮ่อเหนียนทำสัญญาณมือ “สามารถกำหนดสถานที่ไว้ล่วงหน้า คิดหาทางให้คนกลุ่มหนึ่งปลอมตัวเป็นกำลังพลของเถิงเฟยเพื่อล่อหนิวโหย่วเต๋อออกไป ฝั่งพวกเราก็ย่อมลงมือได้เต็มที่ ถึงตอนนั้นต่อให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ตัวและตามมา แต่ก็ห้ามไม่ทันอยู่ดี! ถ้าไม่ไหวจริงๆ อย่างมากพวกเราก็แค่หยุด ไม่ต้องสนใจความเป็นความตายของเถิงเฟย ถ้าเถิงเฟยถูกกดันจนหมดทางเลือก ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะพลิกแพลงตามสถานการณ์แล้วได้ผลประโยชน์ที่นึกไม่ถึง ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร”
“อืม ดี จัดการตามนี้แล้วกัน!” โค่วหลิงซวีเคาะหมัดกับฝ่ามือ คลายระฆังดาราออกจากกำปั้น แล้วติดต่อเถิงเฟยต่อไป : พี่เถิง ข้าสามารถหาทางล่อกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อออกไปได้ แต่นั่นข้าก็ต้องเสี่ยงว่าจะต้องแตกคอกับหนิวโหย่วเต๋อ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันน้อยไปหน่อยหรือเปล่า สองล้านเป็นไง?
เถิงเฟย : พี่โค่ว นี่เจ้าจะใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟชัดๆ!
โค่วหลิงซวี : ถ้าเจ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสม เช่นนั้นก็ช่างเถอะ
เถิงเฟย : ได้! ในเมื่อพี่โค่วเอ่ยปาก ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหมือนกัน สองล้านก็สองล้าน
โค่วหลิงซวีเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เพิ่มจำนวนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ก็แค่อยากจะให้อีกฝ่ายวางใจก็เท่านั้นเอง ตอบกลับไปว่า : หวังว่าพี่เถิงจะรักษาสัญญา
เถิงเฟย : ถ้าข้ากลับคำพูด พี่โค่วก็ซ้ำเติมข้าได้เลย ดังนั้นพี่โค่วไม่ต้องระแวง ในเมื่อข้าตอบตกลงแล้ว ธนูสองล้านคันนี้ก็จะไม่ขาดไปสักคันแน่นอน
พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท