บทที่ 392 ขอความเมตตา
บทที่ 392 ขอความเมตตา
เนื่องจากกลัวว่ากู้ฉวนลู่จะทำการอุกอาจ ฉินเย่จือจึงรีบรุดขึ้นหน้าและหยุดยืนอยู่ข้างหลังกู้เสี่ยวหวาน
ในเวลาเดียวกัน สวีเฉิงเจ๋อก็ก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน หากแต่เขาไม่คล่องตัวเหมือนฉินเย่จือ
กู้เสี่ยวหวานมองไปรอบ ๆ และเห็นฉินเย่จืออยู่ข้างหลังนาง กู้เสี่ยวหวานจึงส่งยิ้มให้เขา เมื่อนางมองไปที่กู้ฉวนลู่อีกครั้ง หลังของนางตั้งตรงและรอยยิ้มบนใบหน้าก็ชัดเจนยิ่งขึ้นเช่นกัน
มันเป็นรอยยิ้มที่ทิ่มแทงหัวใจของกู้ฉวนลู่
เดิมทีเขาตั้งใจจะให้คนผู้นี้มีชีวิตที่ดีสักสองสามวัน แต่คนผู้นี้มาทำร้ายลูกชายของเขา ดวงตาของกู้ฉวนลู่จึงเต็มไปด้วยความมาดร้าย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมายุ่งอะไรกับกู้เสี่ยวหวาน เพียงแค่ตอนนี้สวีเฉิงเจ๋อได้ไล่กู้จือเหวินออกจากหอหนังสืออวี้ กู้ฉวนลู่จึงต้องระงับความเกลียดชังของเขาต่อกู้เสี่ยวหวาน และเดินไปด้านข้างของสวีเฉิงเจ๋ออย่างรวดเร็ว เขาทำความเคารพและกล่าวว่า “อาจารย์สวี…”
คนที่เรียนหนังสือและมาสอนหนังสือนั้นเป็นที่รักของทุกคน แม้ว่ากู้ฉวนลู่จะแก่กว่าสวีเฉิงเจ๋อ แต่เขาก็ได้รับความเคารพมากกว่าเพราะเป็นครู
สวีเฉิงเจ๋อแสดงความเคารพด้วยท่าทางไม่แยแส
“อาจารย์สวี ลูกของข้ายังเด็กและโง่เขลา ข้าหวังว่าท่านจะไม่ใส่ใจคำพูดเมื่อครู่ของเขา” กู้ฉวนลู่อธิบายอย่างรวดเร็ว “เขาถูกผู้เป็นมารดาตามใจจนเสียนิสัย หากมีสิ่งใดที่ทำให้ขุ่นเคือง ขอให้อาจารย์ใจกว้างเสียหน่อย อย่าโกรธเด็กคนนี้เลย!”
ดูเหมือนว่าครอบครัวนี้ชอบที่จะโยนความรับผิดชอบให้คนอื่น คำพูดของกู้ฉวนลู่ทั้งเปิดเผย และมีความหมายแอบแฝงว่ากำลังดุสวีเฉิงเจ๋ออยู่
คำพูดนั้นหมายความว่าสวีเฉิงเจ๋อแก่กว่ากู้จือเหวิน แล้วจะมาเอาอะไรกับเด็กที่อายุน้อยกว่าที่ถูกแม่ตามใจจนเสียนิสัย การทำอะไรผิดเล็กน้อยเช่นนี้ ต้องเอะอะโวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่โตเลยหรือ
ใบหน้าของสวีเฉิงเจ๋อซีดเผือดเมื่อได้ยินกู้ฉวนลู่กล่าวคำที่จริงจัง แต่เขาไม่รู้ว่าจะหักล้างอย่างไร
ขิงแก่มักจะเผ็ดกว่า
เมื่อเห็นท่าทีที่มืดมนของสวีเฉิงเจ๋อ กู้ฉวนลู่ก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้น สวีเฉิงเจ๋อเป็นเพียงสัตว์ร้ายที่เพิ่งเกิดยังกล้ามาทำตัวดุร้ายต่อหน้าเขา
การตอบว่าใช่หรือไม่ใช่เป็นคำตอบที่ยากสำหรับสวีเฉิงเจ๋อ
หากตอบว่าใช่ ก็ดูจะขี้เหนียวไปเสียหน่อย หากตอบว่าไม่ใช่ ก็ราวกับทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
เมื่อเห็นความอับอายของสวีเฉิงเจ๋อ กู้เสี่ยวหวานที่อยู่ด้านข้างก็รู้ว่าที่สวีเฉิงเจ๋อไล่กู้จือเหวินออกจากหอหนังสืออวี้เป็นการระบายความโกรธให้นางด้วย นางจึงก้าวไปข้างหน้าและกล่าวแทนสวีเฉิงเจ๋อ “ท่านลุงกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทันทีที่มาลุงก็มาถามอาจารย์สวีว่าถูกหรือผิด อาจารย์สวีเป็นคนผิวบางจึงไม่สามารถตอบได้ ลองถามผู้คนรอบข้างดูสิว่ากู้จือเหวินผู้นี้ถูกหรือไม่!”
กู้เสี่ยวหวานให้สิทธิ์ในการพูดกลับไปที่กลุ่มคนที่อยู่รอบ ๆ และกู้ฉวนลู่กลัวคนเหล่านี้ กลุ่มคนเหล่านี้มีความโกลาหลเกิดขึ้น ต่างคนต่างพูดจนฟังไม่ออกว่าสุดท้ายลูกชายของเขาผิดที่ตรงไหน
เดิมทีคิดว่าการซักถามสวีเฉิงเจ๋อ จะทำให้สวีเฉิงเจ๋อลงจากเวทีไม่ได้และสิ่งต่าง ๆ จะจัดการได้ง่ายขึ้น
แต่ด้านวาทะศิลป์ของกู้เสี่ยวหวาน พาสวีเฉิงเจ๋อออกจากหัวข้อนี้โดยปริยาย
เมื่อคนรอบข้างเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานอยากให้พวกเขาพูด ใครบางคนก็พูดขึ้นก่อนทันที “พี่ชาย ลูกชายของครอบครัวท่านเป็นคนพาล เขาตกลงเดิมพัน แต่กลับไม่ยอมรับตอนที่เขาแพ้ มันเป็นเรื่องที่น่าอายจริง ๆ!”
“ใช่แล้ว บอกไว้เสียดิบดีว่าถ้าแพ้จะขอโทษแม่นางผู้นี้และบอกว่าเขาไม่เก่งเท่านาง และต้องเห่าเหมือนสุนัขเห่า แต่เขากลับกลอกและดูถูกเราว่าเป็นคนชั้นต่ำ เมื่อครู่ที่แม่นางผู้นี้กล่าวนั้นไม่ผิด หากไม่มีกลุ่มคนของเราที่ทำงานหนักเพื่อปลูกพืชพรรณธัญญาหาร พวกท่านจะมีอาหารกินหรือไม่? หากเราไม่ปลูก แล้วใครจะทำ? เขาด่าพวกเราว่าเป็นพวกชั้นต่ำ ขอถามสักนิดว่าพวกเจ้าสูงส่งมาจากไหนกัน?”
จ้าวเซิงก็ยังเปิดปากของเขาในเวลานี้ “ทุกท่าน ประชาชนเห็นว่าอาหารสำคัญ ถ้าไม่มีคนกลุ่มนี้ปลูกพืชพรรณธัญญาหาร แล้วเราจะกินอะไรกันล่ะ”
กู้ฉวนลู่เห็นว่าคนที่กำลังกล่าวนั้นกล้าหาญและไม่ธรรมดา เสื้อผ้าของเขาบ่งบอกว่าเขาเป็นคนมีเกียรติ แต่ใบหน้าของเขาไม่คุ้นเคยและเขาก็ดูไม่เหมือนชาวเมืองหลิวเจีย
เมื่อกู้ฉวนลู่เห็นผู้คนรอบตัวแย่งกันพูด แต่ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่กู้จือเหวินกล่าวในเมื่อครู่
กู้จือเหวินกล่าวว่าคนเหล่านี้เป็นคนชั้นต่ำ ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะโกรธเคืองและไม่ยอมปล่อยเขาไป
จ้าวเซิงมองไปที่ฝูงชนและกล่าวต่อ “สิ่งที่ลูกชายของเจ้าเพิ่งพูดออกมามันทำให้ทุกคนโกรธ ข้าหวังว่าเจ้าจะแก้ไขข้อผิดพลาดของลูกชาย ไม่เช่นนั้น จ้าวผู้นี้จะเป็นคนแรกที่ไม่ให้อภัย”
“ใช่แล้ว ขอโทษแม่นางผู้นั้นเสีย และขอโทษพวกเรา…”
“ขอโทษ… ขอโทษ…”
ผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีบางส่วนที่มาดูความสนุกกัน เมื่อมีคนถามว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างตื่นเต้น และร่วมใจกันเรียกร้องให้กู้จือเหวินขอโทษ
คนรอบข้ากำลังโกรธเคือง กู้ซินเถาไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงซ่อนตัวอยู่หลังกู้ฉวนลู่และร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว
เมื่อกู้ฉวนลู่ได้ยิน เขาก็รีบหันศีรษะและจ้องไปที่กู้ซินเถาอย่างดุดัน กู้ซินเถาจึงรีบปิดปากสนิทและไม่กล้าร้องไห้ออกมาอีก
พูดตามตรง กู้จือเหวินเองก็หวาดกลัวเช่นกัน เขาดึงเสื้อของกู้ฉวนลู่ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาว่า “ท่านพ่อ…”
แม้ว่ากู้ฉวนลู่จะรู้สึกเสียใจกับลูกชายของเขา แต่เมื่อเผชิญกับความโกรธที่ลูกชายของเขาไปยั่วยุทุกคนเข้า ทุกคนจึงไม่ยอมปล่อยเขาไป กู้ฉวนลู่ก็รู้เช่นกันว่าถ้ากู้จือเหวินไม่ขอโทษในครั้งนี้ คนกลุ่มนี้คงจะต้องทำอะไรบางอย่างเป็นแน่
กู้ฉวนลู่เหลือบมองไปที่กู้จือเหวิน จากนั้นชำเลืองไปที่ฝูงชนรอบตัวเขา และในที่สุดก็จ้องไปที่กู้เสี่ยวหวานพลางกัดฟันและกล่าวว่า “จือเหวิน ขอโทษลูกพี่ลูกน้องของเจ้าเสียสิ!”
“ท่านพ่อ…”
“ท่านพ่อ…”
กู้จือเหวินและกู้ซินเถาต่างมองกู้ฉวนลู่อย่างสงสัยในเวลาเดียวกัน เกิดอะไรขึ้นกับพ่อกัน เขากำลังขอให้ตนเองขอโทษงั้นหรือ?
กู้จือเหวินไม่รู้ว่าตอนนี้กู้ฉวนลู่กำลังคิดอะไรอยู่ เขารู้สึกว่ามันไม่สำคัญ กลุ่มคนพวกนี้เป็นคนชั้นต่ำ ทำไมเขาต้องขอโทษคนเหล่านี้ด้วย
“ท่านพ่อ ข้าไม่…” กู้จื่อเหวินหันศีรษะไปทันทีและกล่าวอย่างโกรธเคือง
“ขอโทษ…” กู้ชวนลู่ไม่สามารถปล่อยให้อารมณ์ของกู้จือเหวินมาทำให้เสียเรื่อง เด็กคนนี้ช่างหยิ่งผยอง เหตุการณ์วันนี้ทำให้เขารู้สึกผิดจริง ๆ อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าคนจำนวนมาก ความเย่อหยิ่งไม่สามารถช่วยเขาได้ เขาทำได้เพียงก้มศีรษะลง