หลังจากที่ผมทำงานพาร์ทไทม์เสร็จจู่ๆผมก็โดนร้องเรียนเฉยเลย
ใช่ครับการร้องเรียนจากลูกค้าที่ต้องการค่าชดเชย
ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่คนทำงานมักจะระวังตัวเสมอ
เพราะสังคมในปัจจุบันผู้คนมักจะอ่อนไหวต่อการร้องเรียนจากลูกค้าถึงขนาดมีคำๆนี้ขึ้นมาเลยละ การคุกคามจากลูกค้า
และคนที่ทำงานพาร์ทไทม์อย่างผมก็หนีไม่พ้นเช่นกันครับ
ผมเคยโดนร้องเรียนด้วยนะว่า ‘เฟรนช์ฟรายส์มันเย็น’ ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากกล่าวขอโทษ และนี่ก็เป็นหนึ่งในความทรงจำอันขมขื่นของผม
ตั้งแต่นั้นมาผมก็คอยระมัดระวังมาโดยตลอดเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกถึงอย่างนั้นการที่ลูกค้าร้องเรียนมามันก็ไม่ได้แย่ไปซะทั้งหมดเพราะมันจะเป็นตัวกระตุ้นการพัฒนาของพนักงานให้ดียิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนๆนั้นด้วย…
“โทคิวากิซัง คุณฟังฉันอยู่มั้ยคะเนี่ย”
ใช่ครับ คนที่ร้องเรียนผมก็คือเทพธิดาของโรงเรียนนั่นเอง
อย่างไรก็ตามวาคามิยะก็ไม่ได้บ่นผมในตอนที่ทำงานอยู่แต่เธอรอให้ผมทำงานเสร็จก่อนและการที่เธอมาทำแบบนี้แสดงว่าเธอเป็นคนที่เอาจริงเอาจังมาก
ผมพยายามครุ่นคิดหาสาเหตุที่ว่าทำไมวาคามิยะถึงโกรธ ในตอนที่ผมเข้ากะ วาคามิยะก็…
สั่งเบอร์เกอร์กับโดนัทเหมือนที่สั่งเมื่อวันก่อนจากนั้นเธอก็ไปนั่งทบทวนบทเรียนหรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งเลยก็คือเธอทำตัวปกติเหมือนที่ทำทุกครั้ง….
เอ๋ หรือผมจะเผลอทำอะไรแปลกๆไปในตอนที่แนะนำเมนู..
แต่คราวนี้ผมก็ไม่ได้รู้สึกเขินแล้วนะเพราะงั้นการบริการของผมก็ควรที่จะสมบูรณ์แบบ
แล้วทำไมเธอถึงอารมณ์เสียล่ะ?
ในตอนที่ผมเลิกงานเธอก็มาหาผมที่ประตูหลังร้านแต่มันก็ไม่แปลกหนิเพราะในตอนนี้ผมก็ชินกับการที่วาคามิยะมาดักรอที่ประตูหลังแล้ว
แสดงว่าเธอไม่ได้โกรธเรื่องงานของผม?
ผมมองไปที่วาคามิยะแต่ว่าตอนนี้เธอไม่ได้มีออร่าที่รู้สึกผิดอย่างทุกทีแต่มันเป็นออร่าแห่งความโกรธ
ผมกลืนน้ำลายของตัวเองและเหงื่อของผมในตอนนี้ก็ไหลไม่หยุด สัญชาตญาณของผมมันบ่งบอกว่า..สถานการณ์ในตอนนี้ก็เป็นเหมือนกบที่เผชิญหน้ากับงู..
“เออ ขอพูดอะไรหน่อยนะ ก่อนที่เธอจะบ่นเกี่ยวกับการบริการของฉัน ฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันทำไปมันก็ไม่มีอะไรผิดพลาดเลยนะ..”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น..”
เอาตรงๆเลยนะ ตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกแล้วละครับ…
ด้วยที่ว่าผมไม่มีแฟน ไม่สิต้องบอกว่าไม่เคยมีเลยมากกว่า…
เพราะงั้นสำหรับเด็กผู้ชายที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงเลย จึงไม่มีทักษะขั้นสูงอย่าง ‘การรับรู้จิตใจของหญิงสาว’ คำถามยอดฮิตที่มักจะเจอกันก็ประมาณว่า
‘คุณรู้มั้ยคะว่าวันนี้ฉันมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง’
หรือ
‘ฉันโกรธอยู่นะคะ คุณรู้มั้ยว่าทำไม’
อะไรทำนองนี้แหละ และผู้ชายพวกนั้นก็จะคิดว่า
ตูควรพูดอะไรออกไปดีฟระเนี่ยยยย!!!
พวกเขาคงอยากจะตะโกนคำๆนี้ออกไปให้ดังๆ และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคงรู้สึกว่าถึงจะพูดอะไรออกไปพวกเธอก็จะพูดว่า ‘คุณเป็นฝ่ายผิด’ ไม่ก็ ‘งั้นเหรอ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันพูดถึงตอนนี้’
เอาเถอะ ยังไงเรื่องพวกนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้สำหรับผมอยู่ดี แต่เรื่องในตอนนี้สิ่งที่ผมควรทำคือ ยอมแพ้ครับ ผมคิดอะไรไม่ออกแล้วครับ
“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันพูดสินะคะ..”
“ขอโทษครับ”
“ช่วยไม่ได้นะ ก็เพราะ ในตอนที่เลิกเรียนโทคิวากิซังเมินฉันไงละคะ”
“อ่ะ…เธอเรียกฉันงั้นเหรอ..?”
“ใช่ค่ะ ฉันเรียกคุณแล้ว แต่คุณก็ยังเมินฉัน”
อ๋อ ตอนนั้นเองเหรอเหมือนจะเคยได้ยินอยู่นะมันเป็นในตอนที่ผมกำลังรีบไปทำงานพาร์ทไทม์…แต่ตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองหูฝาดไปเองงั้นแสดงว่าคนที่เรียกผมเมื่อตอนนั้นคือวาคามิยะสินะ
“โทษทีไม่คิดว่าจะมีคนเรียกฉันจริงๆ….ตอนนั้นฉันก็นึกว่าตัวเองหูฝาดไป..”
“ฉันอุตส่าห์เข้าไปพูดใกล้ๆคุณ แต่คุณก็ยัง..”
วาคามิยะมองมาที่ผมพร้อมกับทำแก้มป่องเหมือนงอนๆเล็กน้อยในตอนนี้เธอช่างดูน่ารักซะเหลือเกินมันทำให้ผมคันไม้คันมืออยากจะสัมผัสมันมากๆแต่ผมก็สามารถอดกลั้นต่อความรู้สึกเหล่านี้ได้
“อื้ม ก็ฉันไม่ชินกับการที่มีคนเรียกนี่นา นอกจากนี้ถ้าฉันหันกลับไปแล้วไม่มีใครฉันก็คงจะเขินมากๆด้วยสุดท้ายก็อาจจะลงเอยด้วยการสร้างบรรยากาศแปลกๆออกมา”
“แต่การที่ โทคิวากิซังเมินฉันมันทำให้ฉันสร้างบรรยากาศแปลกๆออกมาแทนนะคะ…”
“อ่ะเกี่ยวกับเรื่องนั้น กระผมต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ”
ผมก้มหัวขอโทษเธอ เพราะการที่ถูกคนอื่นเมินต้องทำให้รู้สึกแย่แน่ๆ
ผมเข้าใจดีเลยละเพราะผมเองก็มักจะประสบปัญหานี้อยู่บ่อยๆ
“อย่างน้อยถ้าฉันเรียกคุณก็ช่วยตอบกลับมาสักนิดก็ยังดี ตอนแรกฉันก็นึกว่าฉันทักผิดคนแล้วซะอีก..”
“ก็มันเป็นเรื่องหายากมากเลยนี่นาที่จะมีคนอื่นเรียกฉันนอกจากเคนอิจิ แต่เวลาที่เขาเรียกฉันเขาก็มักจะขึ้นต้นด้วย ‘โอ่ยย’ ไม่ก็ ‘นี่’ อะไรแบบนี้”
“อ่ะ ขอโทษค่ะรู้สึกเหมือนว่าเพิ่งจะได้ยินอะไรบางอย่างที่ไม่ควรจะได้ยินเข้าซะแล้ว”
“เธอไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็ได้ เรื่องแบบนี้ฉันชินแล้วน่ะ”
“จะเอาผ้าเช็ดหน้ามั้ยคะ?”
“ไม่โว้ยยย ฉันไม่ได้ร้องไห้ โอเค๊ะ?”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
วาคามิยะพูดออกมาพลางเก็บผ้าเช็ดหน้ากลับเข้ากระเป๋า
แล้วไหงเธอถึงคิดว่าผมร้องไห้ได้ฟะเนี่ย ผมไม่ได้เป็นคนอารมณ์อ่อนไหวขนาดนั้นหรอกจิตใจของผมน่ะแข็งแกร่งสุดๆเลยนะ
เพราะงั้นผ้าเช็ดหน้าจึงไม่จำเป็นสำหรับผมเลย
จิตใจผมเข้มแข็งถึงขนาดที่ว่าสามารถตะโกนบอกคนทั้งเมืองได้ว่า ‘อยู่คนเดียวดีที่สุดแล้วว’
แต่ว่าผมจะไม่ทำเรื่องแบบนี้แน่ๆ
“เอาเถอะ ฉันต้องขอโทษด้วยนะที่เมินเธอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่คิดมากหรอกก็เพราะตอนนี้ฉันรู้สาเหตุทั้งหมดแล้วค่ะต่อจากนี้ฉันจะระวัง”
“แล้วที่เธอเรียกฉันมีอะไรเหรอ?”
“มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกค่ะ”
“เข้าใจแล้วละ”
ผมสงสัยว่าทำไมเธอถึงเรียกผมแต่ดูเหมือนว่าเธอไม่อยากจะพูดถึงมันแล้วผมจึงไม่พยายามที่จะถามต่อ
และยิ่งไปกว่านั้นผมควรจะบอกเรื่องนี้กับเธอเอาไว้
“อ่าใช่สิ วาคามิยะซัง ฉันขอแนะนำอะไรเธอหน่อยนะ”
“แนะนำอะไรเหรอคะ?”
“ช่วยเลิกยุ่งกับฉันที”
“ทำไมคะ?”
วาคามิยะเอียงศีรษะด้วยความสงสัยเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมอยากจะสื่อ
เฮ้ออ เธอนี่ไม่รู้อะไรเลยสินะทำตัวสะเพร่าซะเหลือเกิน
“เธอคงไม่อยากได้ยินข่าวลือที่ว่าคบกับผู้ชายที่ไม่ได้ชอบอย่างฉันใช่มั้ยละและถ้าพวกเขารู้ว่าฉันไปส่งเธอกลับบ้านพวกเขาคงได้คิดเองเออเองแหงๆ”
“ก็จริงของคุณ..”
“ก็ตามนั้นแหละ ถ้าเข้าใจแล้ว–“
“เรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้สบายมากค่ะ”
ผมที่กำลังจะบอกว่าอย่าเข้ามายุ่งกับผม วาคามิยะก็ได้พูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับมองมาที่ผมด้วยแววตาที่เฉียบคมที่เหมือนกำลังโกรธแต่ก็ไม่ใช่
“ฉันไม่สนพวกข่าวลือแบบนั้นหรอก”
“แต่…”
“จะคิดมากไปทำไมในเมื่อคนที่เกี่ยวข้องอย่างฉันบอกว่าไม่เป็นไร และ..”
“….และ?”
“ดะ..โดนัท ฉันชอบกินโดนัทของที่นี่ค่ะ”
“ห๊ะ?”
ผมประหลาดใจกับคำพูดของวาคามิยะจนทำให้ผมเผลออุทานออกมาจากนั้นก็มีบางอย่างค่อยๆก่อตัวขึ้นมาในใจผม—
“อุฟฟฟ”
ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เธอแค่ไม่อยากแยกจากโดนัทเองเหรอเนี่ยคำพูดที่ดูตะกละตะกลามของวาคามิยะจี้จุดผมสุดๆทำให้ผมหยุดหัวเราะไม่ได้เลย
“น-นี่ไม่ต้องหัวเราะเยาะขนาดนั้นก็ได้..”
“ก็ฉันไม่นึกว่าเธอจะพูดถึงโดนัทนี่นา จริงสิฉันเองก็แอบสงสัยเหมือนกันนะก็เห็นเธอเล่นสั่งตลอดทุกครั้งที่มาเลยนี่นา”
“ช่วยไม่ได้นี่ก็คนมันชอบอะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ค้าบๆ ถ้าเธอชอบถึงขนาดนั้นเดี๋ยวฉันจะแนะนำโดนัทอร่อยๆของร้านนี้ให้เอง”
“จริงเหรอ? งั้นฉันจะตั้งตารอนะ”
น้ำเสียงของเธอในตอนนี้ดูตื่นเต้นมากราวกับว่าน้ำเสียงที่เฉยเมยของเธอเมื่อตอนที่เราเจอกันครั้งแรกเหมือนมันเป็นเรื่องโกหกไปเลย
“แต่ว่านะ วาคามิยะซังเธอก็ช่วยระวังเรื่องเวลาด้วยละ ฉันจะได้ไม่ต้องไปส่งเธอทุกครั้ง โอเคมั้ย? และเธอเองก็คงไม่ชอบเวลาที่พ่อแม่ดุด้วยสิท่า”
“อื้มฉันจะพยายามนะ”
“คำพูดแบบนั้นอย่างกะพวกที่พูดไปงั้นๆแล้วไม่ลงมือทำเลย”
วาคามิยะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ก็จริงของคุณนะคะ ฮิฮิ”
ไม่ต้องบอกก็รู้เพราะตอนนี้ผมรู้สึกทึ่งกับรอยยิ้มของเธอสุดๆ
ความสัมพันธ์ที่ผมคิดว่าจะจบลงในไม่ช้ากลับยังคงดำเนินต่อไป