กลับมาในช่วงเวลาปัจจุบัน หลังจากที่นากากับอลิซและเซซิลเพิ่งจะแอบหลบเข้ามาในเมืองรีมินัสหลังจากการต่อสู้กับหญิงสาวผมชมพูที่ชื่อว่าอิซานางิและกลุ่มทหารชุดดำของเธอนั้นเอง พวกเขาก็ถูกกลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงเอ่ยปากทักเอาไว้ซะก่อน
และทันทีที่อลิซได้เห็นกลุ่มคนตรงหน้าเข้า เธอก็ควักเอาปืนกลเบาที่พกมาด้วยขึ้นมาจ่อหน้าทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงทั้งสองคนเอาไว้พร้อมกับพูดเตือนสตินากาว่าเขาเองก็เคยมีเรื่องกับกลุ่มทหารรับจ้างพวกนี้มาก่อนเช่นเดียวกัน
ซึ่งทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงทั้งสองนั้นแทบจะสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ดีๆ กลุ่มคนที่พวกเขาเอ่ยปากทักด้วยความเป็นห่วงกลับชักปืนกลขึ้นมาจ่อหน้าแทนจนทำให้พวกเขาต้องรีบพูดขึ้นมาอย่างร้อนรน
“ด-เดี๋ยวสิ—ใจเย็นๆ ก่อน! คราวนี้พวกเธอไม่ใช่เป้าหมายของพวกฉันเหมือนคราวนั้นสักหน่อย!”
“ใช่แล้วล่ะ! พวกฉันแค่อยากจะมาขอบคุณที่พวกเธอมาช่วยเอาไว้เมื่อกี้เฉยๆ น่ะ!”
“…..”
เมื่ออลิซได้ยินคำพูดของทั้งสองแล้วเธอก็หรี่ตามองพวกเขาอยู่สักพัก ก่อนจะเก็บปืนของเธอไปและยกมือขึ้นมากอดอกพลางเหลือบตามองนากาเพื่อดูท่าทีว่าเขาจะเอายังไงกับกลุ่มคนที่เคยมีเรื่องกันมาก่อนโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
“นี่สรุปว่าพวกคุณเป็นคนที่บุกไปหมู่บ้านโมริโกะจริงๆ หรอครับเนี่ย?”
นากาที่เห็นว่าอลิซนั้นกอดอกจ้องมองมาทางเขาอยู่อย่างเงียบๆ ราวกับว่าจะยกให้เขาเป็นคนตัดสินใจก็ได้แต่พูดขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจนัก เพราะว่าในตอนแรกที่เขาเจอกับกลุ่มคนตรงหน้าในป่านั้นเขาก็แทบจะสะดุ้งไปเหมือนกันว่าทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงพวกนั้นตามเขามาจนถึงเมืองรีมินัสเลยหรือไง
แต่ว่าด้วยสภาพเครื่องแบบของฝ่ายตรงข้ามที่ดูโทรมกว่าเครื่องแบบใหม่เอี่ยมในตอนที่เจอกันในหมู่บ้านมากและอีกฝ่ายนั้นก็ยังมีท่าทางเหมือนกับว่าไม่รู้จักเขาอีกด้วย เขาก็เลยคิดว่าอาจจะเป็นกลุ่มคนที่แต่งตัวคล้ายกันเฉยๆ เสียอีก
“หมู่บ้านโมริโกะ— อ่า… ใช่แล้วล่ะ”
“ตกลงว่าเธอเป็นเด็กหนุ่มในหมู่บ้านที่ขึ้นรถหนีไปเมื่อตอนนั้นจริงๆ ด้วยสินะจ๊ะ?”
“ใช่แล้วครับ”
นากาพยักหน้าตอบทหารรับจ้างหญิงไปด้วยท่าทีสบายๆ ถึงแม้ว่าทั้งสองคนตรงหน้าจะเคยมีเรื่องกับเขามาก่อนก็ตาม แต่ว่าในคราวนี้อีกฝ่ายนั้นไม่ได้มีท่าทีคุกคามเหมือนกับเมื่อคราวก่อนเลยแม้แต่น้อย ซึ่งท่าทีของนากานั้นกลับทำให้ทหารรับจ้างชายเป็นฝ่ายที่ทำตัวไม่ถูกเข้าซะเอง เขาจึงได้แต่พูดแนะนำตัวขึ้นมา
“ถ้าอย่างงั้นพวกฉันขอแนะนำตัวกันก่อนละกัน ฉันชื่อว่า รัซเซล เป็นรองหัวหน้าของกลุ่ม ส่วนนี่เพื่อนของฉันชื่อว่า ยุย น่ะ”
ทหารรับจ้างชายที่ชื่อว่ารัซเซลพูดแนะนำตัวให้นากาได้รู้จัก ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปดึงฮู้ดคลุมหัวออกเผยให้เห็นผมสีดำทรงบ๊อบยาวประบ่าและนัยน์ตาสีน้ำตาลของเขา ในขณะที่ยุยนั้นกลับสะดุ้งสุดตัวและพยายามดึงฮู้ดคลุมหัวของอีกฝ่ายกลับเข้าที่ในทันที
“น—นี่! นายทำอะไรของนายน่ะ เปิดหน้าแบบนั้นเดี๋ยวหัวหน้าก็ว่าเอาหรอก!”
“คิดมากน่า ถ้าหัวหน้ารู้ว่าเพราะอะไรเขาก็น่าจะเข้าใจแหละ เธอเองก็เอามันออกด้วยสิยุย…”
“ด—เดี๋ยว!”
ทันทีที่รัซเซลพูดจบเขาก็เอื้อมมือไปดึงผ้าคลุมหัวของยุยออกเช่นกันจนทำให้พวกเขาได้เห็นเส้นผมสีเขียวที่ยาวลงมาจนถึงต้นคอและนัยน์ตาสีน้ำเงินของเธอ และเมื่อนากาเห็นท่าทีของหญิงสาวแบบนั้นเขาก็ได้แต่พูดถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“แค่ถอดผ้าคลุมนี่ต้องระแวงกันขนาดนั้นเลยหรอ…?”
แกร๊ก—ฟู่ว—!
“….!?”
ในขณะที่รัซเซลกำลังจะพูดอธิบายให้นากาฟังนั้นอยู่ๆ พาร์ทที่เอวของอลิซซึ่งเป็นส่วนของไอพ่นนั้นก็ได้กางตัวออกอีกครั้งและพ่นไอร้อนพร้อมกับเศษของอะไรบางอย่างที่สะท้อนแสงระยิบระยับออกมาจนทำให้ยุยรีบดีดตัวไปด้านหลังและเอื้อมมือไปที่ปืนพกของเธอในทันที
แต่ว่ารัซเซลก็ได้ยกมือขึ้นมาขวางหน้าเธอเอาไว้ก่อน เพราะเขาสังเกตเห็นว่าอลิซที่เป็นเจ้าของอุปกรณ์นั้นไม่ได้มีท่าทีคุกคามเลยแม้แต่น้อย ซึ่งอลิซที่เห็นแบบนั้นก็ได้รีบพูดออกมาเพื่อไม่ให้ทั้งสองคนตรงหน้าเกิดความหวาดระแวงไปมากกว่านี้
“โทษที… พอดีว่าคนสร้างเขาบอกให้ทำแบบนี้หลังจากเสร็จเรื่องน่ะ…”
เมื่อรัซเซลได้ยินคำอธิบายของอลิซแล้วเขาก็จ้องมองดูเธออยู่อีกสักครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะลดมือลงและพูดตอบคำถามที่นากาถามไว้เมื่อสักครู่ออกมาด้วยท่าทางเหมือนกับว่าไม่ได้คิดอะไรมาก ในขณะที่ยุยนั้นก็รีบดึงฮู้ดของเธอกลับขึ้นมาคลุมหัวอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“อืม… หัวหน้าของพวกฉันตั้งกฎไว้ว่าถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่ให้พวกฉันถอดฮู้ดออกน่ะ”
“หัวหน้าหรอ? ใช่หนึ่งในคนที่บาดเจ็บหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่หรอกจ้ะ สองคนนั้นเป็นแค่เพื่อนร่วมทีมน่ะ”
ทันใดนั้นเองเซซิลที่ยืนนิ่งเงียบจ้องมองพาร์ทที่เอวของอลิซอย่างสนอกสนใจก็ได้พูดขึ้นมาเมื่อเธอได้ยินพวกนากาพูดถึงเรื่องคนเจ็บขึ้นมา
“คนเจ็บ…เป็นไงบ้าง…?”
“ถ้าสองคนนั้นล่ะก็ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วล่ะ เห็นหมอบอกว่าโชคดีที่แผลไม่ลึกสักเท่าไหร่น่ะ ส่วนอีกคนนึงเดี๋ยวอีกไม่นานก็น่าจะฟื้นแล้วล่ะ”
เมื่อเซซิลได้ยินคำตอบของรัซเซลแล้วเธอก็พยักหน้าให้กับเขาไปเงียบๆ ก่อนที่รัซเซลนั้นจะหันไปหยิบเรื่องที่พวกเขาบุกโจมตีหมู่บ้านโมริโกะมาอธิบายให้นากาได้ฟัง
“ส่วนเรื่องที่หมู่บ้านของเธอเมื่อตอนนั้นมันเป็นการเข้าใจผิดน่ะ พอดีว่าหัวหน้าของฉันทำงานอยู่ใกล้ๆ กับแถวนั้นแล้วเหมือนว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นพวกฉันก็เลยต้องรีบเข้าไปเสริมน่ะ”
“อื้ม แต่ว่าการสื่อสารมันคลาดเคลื่อนไปหน่อยพวกฉันก็เลยคิดว่าเป้าหมายของภารกิจหลบหนีเข้าไปในหมู่บ้านของพวกเธอน่ะจ้ะ ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
“การสื่อสารคลาดเคลื่อนงั้นหรอ…?”
หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของรัซเซลและยุยแล้วอลิซก็หรี่ตาจ้องมองทั้งสองคนแบบไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาพูดออกมาเลยแม้แต่สักนิดเดียว
แต่ว่าทางด้านนากาที่ได้ยินอลิซกัดฟันพูดขึ้นมานั้นกลับรีบพูดขัดเธอออกมาก่อนเพราะเขาคิดว่าวันนี้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมามากเกินพอแล้ว
“อ—อ่า ไม่เป็นไรหรอก พวกฉันเองก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรกันเลยนี่ นอกจากอลิซที่เจ็บมาตลอดอยู่แล้วน่ะนะ”
“พูดมาก….”
ปึ๊ก!
“โอ๊ย!?”
ทันทีที่ได้ยินนากาพูดออกมาแบบนั้น อลิซก็หันไปขมวดคิ้วใส่เขาพร้อมกับเหวี่ยงขาเตะไปที่หน้าแข้งของนากาเข้าอย่างแรง และหลังจากนั้นเธอก็หันกลับไปถามทหารรับจ้างทั้งสองคนโดยไม่ได้สนใจนากาที่ลงไปนั่งกุมขาที่โดนเธอใช้พาร์ทส่วนล่างที่เป็นโครงเหล็กเตะเข้าอย่างจังเลยแม้แต่น้อย
“แต่บอกว่าตามหัวหน้ามาผิดเป้านี่พวกนายเป็นทีมเดียวกันแน่หรือเปล่าเนี่ย…?”
“…..”
เซซิลที่ยืนอยู่ข้างๆ เองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของอลิซด้วยเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านของนากา แต่ว่าเมื่อได้ฟังดูแล้วเธอก็คิดว่าข้ออ้างของทหารรับจ้างทั้งสองนั้นฟังไม่ขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“ก็นะ… ฉันก็ว่างั้นเหมือนกันแหละ”
ซึ่งทั้งยุยและรัซเซลก็ได้แต่ยิ้มเจือนๆ ออกมา ก่อนที่ยุยนั้นจะพยายามที่พูดบ่ายเบี่ยง ในขณะที่รัซเซลนั้นกลับตัดสินใจที่จะพูดอธิบายออกมาให้พวกเขาฟังเพิ่มเติม
“คือว่าหลังๆ มานี่หัวหน้าเขาชอบหายออกไปทำงานที่รับมาด้วยตัวคนเดียวน่ะ พวกฉันก็เลยได้แต่ต้องวิ่งตามหัวหน้าเขาไปทั่วเพื่อคอยสนับสนุนแบบนี้นี่ล่ะ”
“ที่แท้ก็เป็นปัญหาภายในกลุ่มแล้วคนที่ซวยก็คือพวกฉันงั้นสินะ…”
“ฉันต้องขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้นจริงๆ จ้ะ!”
เมื่อยุยได้ยินอลิซพูดออกมาแบบนั้นเธอก็รีบก้มหัวขอโทษไปอีกครั้งในทันที เลยทำให้อลิซที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังปิดปังเรื่องอะไรบางอย่างอยู่นั้นชักจะขี้เกียจเอาตัวเองเข้าไปยุ่งด้วยแล้ว
แต่ว่าทันใดนั้นเองนากาที่นั่งกุมขาตัวเองอยู่ก็ได้พูดถามถึงสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นในคราวนี้ขึ้นมา
“ว่าแต่ไหงพวกคุณถึงไปมีปัญหากับทหารชุดดำพวกนั้นได้ล่ะ? หรือว่าคราวนี้ก็ผิดตัวอีกเหมือนกัน?”
“อ่า… เรื่องนั้นมันก็…”
ทันทีที่ยุยได้ยินคำถามจากนากาที่กำลังนั่งลูบขาของตัวเองอยู่เข้าไปเธอก็ทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จนทำให้รัซเซลที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะตอบคำถามของเขาออกมาให้แทน
“พอดีว่าตอนที่กำลังตามหัวหน้ามาแถวนี้พวกฉันไปเจอคนพวกนั้นเข้าน่ะ แล้วพวกนั้นก็บอกว่าจะจ้างให้พวกฉันไปส่งจดหมายที่หอพักของโรงเรียนรีมินัสแลกกับหลักฐานการว่าจ้างให้เอาไปขึ้นเงินที่วังหลวงของพวกนั้น ทีนี้พอพวกฉันเห็นว่ามันเป็นงานง่ายๆ ที่ได้เงินดีก็เลยยอมตกลงรับมา แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าพวกนั้นดันคิดจะเบี้ยวค่าจ้างแถมกะจะปิดปากกันแบบนั้นน่ะ…
“แล้วพวกนายก็ตกลงรับงานไปง่ายๆ แบบนั้นน่ะนะ?”
“ก็… พอดีว่ามันมีปัญหาเรื่องการเงินนิดหน่อยน่ะ… แล้วเท่าที่พวกฉันรู้มาเมืองทางฝั่งตะวันออกก็มีหน่วยลับที่แต่งตัวแบบนั้นจริงๆ ถึงจะไม่รู้ว่าพวกนั้นมาจากเมืองซากิหรือว่าเมืองยูกิกันแน่ก็เถอะ”
“ก็แบบที่รัซเซลว่ามาแหล่ะจ้ะ… พอพวกฉันทำงานเสร็จแล้วกะจะไปทวงหลักฐานตามสัญญา ยัยหัวชมพูนั่นก็คิดจะเบี้ยวค่าจ้างซะอย่างนั้น แล้วพอพวกฉันไม่ยอมถอยตามที่ยัยนั่นสั่งดีๆ ยัยนั่นก็เลยส่งพวกทหารให้เข้ามารุมจัดการพวกฉันแทน…”
เมื่อยุยเห็นว่ารัซเซลพูดถึงสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว เธอจึงได้ยอมพูดอธิบายเสริมขึ้นมาด้วยอีกคนจนทำให้เซซิลที่ได้ยินสีผมของคู่แค้นดังขึ้นมาอีกครั้งได้แต่กัดฟันกรอดในทันที
“อิซานางิ…”
“เฮ้อ… แต่ก็โชคดีนะที่เธอผ่านมาช่วยเอาไว้ได้ทันพอดีไม่งั้นพวกฉันคงจะโดนจัดการไปเรียบร้อยแล้วล่ะ ขอบใจมากนะ”
รัซเซลที่เห็นเซซิลกัดฟันพูดชื่อของหญิงสาวผมชมพูขึ้นมาก็หันไปค้อมหัวขอบคุณเธออีกครั้ง เพราะว่าถ้าพูดกันตามตรงแล้วถ้าเกิดพวกเขาไม่ได้เซซิลโผล่มาช่วยเอาไว้ล่ะก็พวกเขาคงจะไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้แล้วแน่ๆ
แต่ว่าทันใดนั้นเองนากาที่กำลังพยายามลุกขึ้นมายืนก็ได้ร้องขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
“เดี๋ยวสิ! เมื่อกี้นี้พวกคุณพูดว่าปิดปากหรอ? — ถ้าว่าเกิดจดหมายนั่นมันสำคัญขนาดนั้นทำไมยัยดาบใหญ่นั่นไม่เอาเข้าไปส่งเองล่ะ!? จะมาหลอกใช้งานคนอื่นเขาแบบนี้ทำไมเนี่ย!?”
“เชื่อฉันเถอะจ้ะว่าเรื่องนั้นพวกฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันน่ะ”
“ก็อาจจะเป็นเพราะว่าพวกนั้นไม่สามารถเข้าออกเมืองรีมินัสได้… หรือไม่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้เมืองเพราะว่าอาจจะทำให้เป้าหมายรู้ตัวก่อนล่ะมั้ง แบบว่าเป็นคู่กรณีเก่าอะไรประมาณนั้นน่ะ”
อลิซที่ได้ยินยุยตอบนากากลับไปแบบจนปัญญานั้นก็ได้พูดอธิบายขึ้นมาให้แทนพลางเหลือบสายตาไปมองทางเซซิล จนทำให้เซซิลที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ ต้องรีบหลบสายตาไปมองทางอื่นแทนในทันที
และเมื่อยุยได้ยินคำพูดของอลิซแล้วถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าจดหมายที่พวกเธอเอาไปส่งมาจะเป็นจดหมายอะไรกันแน่ก็เถอะ แต่ว่าในเมื่อมันเกือบจะทำให้ชีวิตของพวกเธอจบสิ้นไปแบบนี้เธอก็คงไม่คิดที่จะขอยุ่งเกี่ยวกับมันอีกต่อไปแล้ว
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้ล่ะมั้ง แต่เอาเป็นว่าพวกเธออย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้อีกน่าจะดีกว่านะจ๊ะ ปล่อยให้ยัยหัวชมพูกับเจ้าของจดหมายนั่นจัดการกันไปเองดีกว่า ไม่งั้นชีวิตของพวกเธออาจจะเป็นอันตรายก็ได้นะ”
“อ่า…นั่นสินะ…”
ในขณะที่ยุยกำลังเอ่ยปากเตือนพวกเธออยู่นั่นเอง อลิซก็ได้แอบเหลือบมองดูอาวุธของทหารรับจ้างทั้งสองคนดูเล็กน้อย
และนั่นก็ทำให้เธอได้พบว่าอาวุธของพวกเขานั้นเป็นเพียงมีดสั้นที่มีคริสตัลราคาถูกๆ แปะติดเอาไว้กับปืนสั้นธรรมดาๆ ที่หาได้ทั่วไปตามท้องตลาด แตกต่างกับปืนกลเบาราคาแพงลิบในมือของเธอที่โมโกะแอบไปฉกมาจากพวกเขาหลังจากการต่อสู้ที่หมู่บ้านอย่างลิบลับ
แต่ว่าในเมื่ออีกฝ่ายจำปืนของตัวเองที่ถูกโมโกะเอาไปตกแต่งเล่นแล้วไม่ได้แบบนี้ก็เลยทำให้อลิซไม่มีสาเหตุอะไรที่จะต้องพูดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เธอจะเอ่ยถามดูว่ากลุ่มของทหารรับจ้างตรงหน้านั้นคิดจะทำยังไงกันต่อไปหลังจากนี้ออกมา
“ว่าแต่แบบนี้พวกนายจะเอายังไงกันต่อล่ะ…?”
ซึ่งคำถามของอลิซนั้นทำให้ยุยได้แต่เกาแก้มของตัวเอง ก่อนที่เธอจะหันไปถามรัซเซลที่เป็นรองหัวหน้าของกลุ่มแทน
“จะเอายังไงกันต่อหรอ…? นั่นสิ… แล้วพวกเราจะเอายังไงกันดีล่ะคะคุณรองหัวหน้า? ภารกิจที่แวะไปรับมาก็โดนเบี้ยวเงินรางวัล ด็อคกับเอสเกอร์เองก็บาดเจ็บกันด้วย นี่หัวหน้าได้บอกไว้หรือเปล่าว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาพวกเราต้องทำยังไงน่ะ?”
“เธอก็รู้นี่ว่าหัวหน้าเขาขาดการติดต่อไปตั้งแต่บอกว่ารับงานแถวนี้มาน่ะ ฉันว่าพวกเราทำตามแผนเดิมไปกันก่อนน่าจะดีกว่าล่ะมั้ง แล้วเดี๋ยวพวกเราค่อยไปตรวจสอบข่าวลือที่ได้ยินมากัน ถ้าเกิดว่ามันเป็นเรื่องจริงก็น่าจะมีงานให้ทำแถวนั้นเพียบเลยนั่นล่ะ”
“ข่าวลือหรอ?”
อลิซที่ได้ยินคำว่าข่าวลือนั้นได้พูดขึ้นมาอย่างสนอกสนใจ จนทำให้รัซเซลที่เพิ่งจะหันไปตอบยุยนั้นต้องหันกลับมาอธิบายให้เธอฟัง
“ใช่ ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกฉันเข้าเมืองไปส่งจดหมายกันพวกฉันได้ยินข่าวลือมาว่าเมืองแพนเทร่าโดนบุกโจมตีจนปราสาทพังยับแถมพวกอัศวินก็ตายกันไปเป็นหลักร้อยเลยล่ะ แล้วถ้าเกิดว่าข่าวลือนั่นเป็นจริงก็น่าจะมีพวกงานคุ้มกันหรืองานเฝ้าระวังที่ได้ค่าตอบแทนสูงๆ หลุดมาให้รับกันบ้างล่ะ”
“เมืองแพนเทร่าหรอ… อลิซเธอรู้จักหรือเปล่าน่ะ?”
ทันใดนั้นเองเมื่อนากาได้ยินชื่อเมืองที่ไม่ค่อยจะคุ้นหูเขาสักเท่าไหร่นักดังขึ้นมา เขาก็ได้พูดโพล่งถามอลิซขึ้นมาจนทำให้เธอได้แต่ต้องเหลือบกลับไปมองเขาอย่างหน่ายๆ
“ก็ต้องรู้จักอยู่แล้วสิ นี่นายถามแบบนี้อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักหนึ่งในสี่เมืองหลวงอย่างแพนเทร่าน่ะ?”
“ก็ปกติฉันกับพรีมูล่าได้ออกจากหมู่บ้านกันซะที่ไหนล่ะ… ตั้งแต่เกิดมาที่ไกลสุดที่พวกฉันเคยไปก็แค่รีมินัสเนี่ยแหล่ะ”
“แพนเทร่าอยู่ห่างออกไปทางเหนือของเมืองรีมินัสน่ะจ้ะ แล้วก็ทางตะวันออกของรีมินัสจะมีเมืองอีกสองเมืองที่ชื่อว่าเมืองซากิ แล้วก็เมืองยูกิที่อยู่ติดกันน่ะ”
ยุยที่พอจะรู้ว่านากาเป็นชาวบ้านของหมู่บ้านโมริโกะที่อยู่ไกลสุดชายแดนนั้นได้พูดอธิบายให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงเอ็นดู ก่อนที่รัซเซลที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอนั้นจะควักนาฬิกาพกเรือนเล็กๆ ออกมาเพื่อเช็กดูเวลา
“ก็แบบที่ยุยบอกนั่นล่ะ แต่ถ้ายังไงก็เอาเป็นว่าพวกฉันขอตัวกลับไปดูอาการของเพื่อนก่อนละกัน แล้วก็ขอโทษสำหรับเรื่องที่หมู่บ้านอีกครั้งด้วยนะ”
“ขอโทษแล้วก็ขอบคุณสำหรับคราวนี้มากเลยนะจ๊ะ”
“อ่ะ—ครับ! ยังไงก็ขอให้โชคดีนะทั้งสองคน”
นากาที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าพร้อมกับพูดตอบทั้งสองคนกลับไป โดยมีเซซิลยืนพยักหน้าเงียบๆ อยู่ข้างๆ เขา ก่อนที่ทั้งรัซเซลและยุยจะโค้งหัวให้พวกเขาเล็กน้อยและออกเดินไปในทันที
“จะว่าไปคราวนี้นายพลาดไม่ได้แนะนำตัวให้’เพื่อนใหม่’ของนายได้รู้จักไม่ใช่หรอไง?”
“เออจริงด้วย—!”
นากาที่ได้ยินคำพูดของอลิซก็พูดขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้โดยที่ไม่ทันรู้ตัวเลยว่าอลิซนั้นแค่หาโอกาสพูดแดกดันเขาเฉยๆ ในขณะที่เซซิลนั้นก็ชำเลืองมองดูเด็กหนุ่มข้างตัวเธอเล็กน้อยและเอ่ยปากขอตัวลาออกมา
“ฉันกลับล่ะ…”
“อ่ะ! เซซิลเธอจะไปให้อารอนเขาเช็กอาการก่อนมั้ย? เมื่อกี้โดนกระทืบไปซะหนักเลยไม่ใช่หรอ?”
“ไม่… แล้วก็คราวหน้าระวังแก้มของนายเอาไว้ละกัน…”
เธอพูดปฏิเสธนากาออกมาพร้อมกับเดินหายเข้าไปในฝูงคนของเมืองรีมินัสในทันที ในขณะที่นากานั้นได้แต่บ่นออกมาเบาๆ เพราะเขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายนั้นเจ้าคิดเจ้าแค้นมากขนาดไหน และท่าทางว่าเธอจะคาดโทษที่เขาจับเธอหมอบหลบกระสุนของอลิซเข้าไปอีกเรื่องแล้ว
“ยังจะจำได้อีกนะนั่น…”
“พูดถึงเรื่องจำได้ ฉันว่าตอนนี้นายเป็นห่วงตัวเองก่อนดีกว่าล่ะมั้ง เพราะว่าก่อนฉันจะออกมาพรีมูล่ากำลังโวยวายใหญ่เลยล่ะที่นายพุ่งออกไปคนเดียวแบบนั้นน่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง อย่างยัยพรีมูล่านั่นงอแงได้แป๊บเดียวก็หยุดแล้วล่ะ”
“อ๋อหรอ~ แต่ว่าตอนที่ฉันออกมายัยนั่นกำลังทำแก้มป่องบ่นใส่โมโกะจนยัยแมวขโมยนั่นแทบจะตาเหลือกไปอยู่แล้วล่ะนะ แล้วก็มีพูดราวๆ ว่า ‘พี่นากาก็เป็นเงี้ยตลอด เห็นหนูไม่พูดอะไรก็เลยคิดว่าจะลืมเรื่องที่บอกว่าจะเลี้ยงขนมอะไรก็ได้อย่างนึงไปแล้วใช่มั้ยล่ะ’ อยู่ด้วยล่ะ”
นากาที่ได้ยินอลิซพูดจาพลางบีบเสียงเล็กเสียงน้อยเลียนแบบพรีมูล่าขึ้นมาก็ชะงักนิ่งไปกลางถนน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ หันไปทางอลิซช้าๆ ราวกับตุ๊กตาไขลานที่ข้อต่อขึ้นสนิมและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“อลิซ… เธอพอจะรู้ทางในเมืองหรือเปล่าน่ะ? พาฉันแวะไปร้านขนมสักร้านนึงหน่อยสิ”
“ไม่ล่ะ จะให้คนเจ็บอย่างฉันเดินพานายชมเมืองนี่จะไม่ใจร้ายกันไปหน่อยหรอ”
“เดี๋ยวฉันเลี้ยงขนมเธอด้วยเลยก็ได้เอ้า!”
“อื้ม ถ้านายพูดแบบนี้ฉันว่าฉันเคยเห็นร้านขนมสักร้านสองร้านอยู่แถวนี้เหมือนกันล่ะมั้ง… ว่าแต่นายบอกเอริกะไปว่าไม่มีเงินไม่ใช่หรือไง?”
“งั้นก็แวะไปขอยืมเงินจากอารอนกันก่อนตอนนี้เลย แล้วเดี๋ยวฉันจะซื้อขนมเลี้ยงเธอเอง ขอแค่เธอนำทางฉันไปร้านขนมก็พอ!!”
ซึ่งท่าทีร้อนรนของนากานั้นทำให้อลิซต้องหรี่ตามองเขาอย่างสงสัยอยู่สักพักใหญ่ๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดถามออกมา
“ยัยบ๊องนั่นเวลางอแงน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอ…?”
“เหอะๆ เธอน่ะยังไม่เคยเจอยัยนั่นตอนงอแงจริงๆ สินะ งั้นก็ถือซะว่าโชคดีแล้วละกัน…”
“ถ้านายว่างั้นก็รีบไปกันเถอะ… ไม่งั้นเดี๋ยวร้านที่ฉันเจอจะปิดไปกันหมดซะก่อนน่ะ…”
“ถ้างั้นก็รีบไปกันเดี๋ยวนี้เลย!!”
“ด—เดี๋ยว— ฉันบอกให้รีบแต่ไม่ได้ต้องรีบขนาดนั้นสักหน่อย–!?”
ทันทีที่นากาได้ยินว่าร้านอาจจะปิดนั้นเขาก็รีบจับมือของอลิซแล้วออกวิ่งไปในทันทีเหมือนกับว่าลืมไปแล้วว่าขาของอลิซนั้นยังไม่หายดี แต่ว่าก็โชคดีที่อลิซนั้นได้พาร์ทส่วนล่างที่เธอใส่ช่วยรับน้ำหนักของร่างกายส่วนมากไปจนทำให้เธอยังสามารถวิ่งตามนากาไปได้แบบไม่มีปัญหาอะไรมากนัก
“ฮิฮิฮิ…”
แต่ว่าทันทีที่ทั้งสองคนวิ่งออกไปนั้น ด้านหลังกำแพงใกล้ๆ กับจุดที่พวกเขายืนคุยกับทหารรับจ้างก็ได้มีเสียงหัวเราะชวนขนหัวลุกดังขึ้นมาพร้อมๆ
กับที่มีเด็กสาวผมสีเหลืองแซมเขียวเอียงหัวของเธอโผล่พ้นมาจากมุมตึกนั้นและกำลังมองไล่หลังพวกนากาจนลับสายตาไป
และทันใดนั้นเองรีซาน่าที่เพิ่งจะเดินผ่านเข้าประตูเมืองมาและได้สังเกตเห็นพิเน๊ะเข้า เธอจึงได้เดินเข้าไปเอ่ยปากทักทายอีกฝ่ายที่จะได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันในปีการศึกษาหน้านี้ด้วยท่าทีเป็นมิตร
“คุณพิเน๊ะ? มายืนแอบทำอะไรตรงนี้หรอคะ?”
“หื๊ม~?”
พิเน๊ะที่ได้ยินคนเรียกชื่อของเธอขึ้นมานั้นได้หันไปยิ้มมองรีซาน่าอยู่สักพักก่อนจะหันกลับไปมองตรงจุดที่พวกนากายืนคุยกับทหารรับจ้างอยู่เมื่อสักครู่และพูดตอบเด็กสาวร่างยักษ์กลับไป
“คิกคิกคิก…พอดีเจออะไรน่าสนใจนิดหน่อยน่ะ…”
“เอ๋ะ? อะไรน่าสนใจงั้นหรอค่ะ— อะ—เดี๋ยวสิ–”
ในขณะที่รีซาน่ากำลังพยายามจะชวนอีกฝ่ายพูดคุยเพิ่มเติมดูนั้น พิเน๊ะก็ได้ก้าวขาออกจากมุมกำแพงและเดินไปนั่งลูบๆ พื้นตรงบริเวณที่อลิซยืนอยู่เมื่อสักครู่นี้จนทำให้รีซาน่าได้แต่เดินตามเธอไปและถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“นี่– คุณพิเน๊ะตอบฉันหน่อยสิคะ? ของน่าสนใจที่ว่ามันคืออะไรหรอ?”
“คิกคิกคิก~ โชคดีจัง~ นึกว่าจะปลิวไปไหนแล้วซะอีก~”
แต่ว่าพิเน๊ะก็ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจรีซาน่าเลยแม้แต่น้อย โดยเธอนั้นได้ยื่นมือออกมาจากแขนเสื้อขนาดเกินตัวที่เธอใส่อยู่และใช้สองนิ้วตั้งหน้าตั้งตาคีบเศษอะไรบางอย่างที่สะท้อนแสงได้ขึ้นมาใส่หลอดแก้วขนาดเล็กในมือทีละเล็กทีละน้อย และเมื่อพิเน๊ะไม่เห็นเศษผงสะท้อนแสงพวกนั้นแล้วเธอจึงได้สะบัดหน้าหันขวับไปถามรีซาน่าที่ยืนอยู่ใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว
“ว่าแต่รีซาน่ามีอะไรหรอ?”
“อ่า—เออ—”
ซึ่งรีซาน่าที่เจอพิเน๊ะหันกลับมาเบิ่งตาจ้องอย่างกะทันหันนั้นก็ชะงักไปจนคิดคำพูดไม่ออก และในตอนนั้นเองพิเน๊ะก็สังเกตเห็นห่อผ้าขนาดใหญ่ที่รีซาน่าหิ้วมาด้วย เธอจึงได้เดินเข้าไปมองดูมันใกล้ๆ และพูดถามขึ้นมา
“รีซาน่าออกไปล่าสัตว์มาหรอ? สำหรับข้าวเย็นหรือเปล่า?”
รีซาน่าที่เห็นว่าจู่ๆ พิเน๊ะก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนคุยขึ้นมาเองนั้นก็ได้รีบพยักหน้าตอบกลับไปอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายให้ไปร่วมทานอาหารด้วยกันทันที
“อ่ะ ใช่แล้วค่ะ คุณพิเน๊ะสนใจมาทานด้วยกันหรือเปล่าล่ะคะ? วันนี้ฉันล่าหมู่ป่ามาได้ตัวนึง ปริมาณน่าจะพอสำหรับสองคนพอดีนะคะ”
“เอาสิ~ เอาสิ~”
“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะค่ะ ว่าแต่คุณพิเน๊ะเองก็พักอยู่ที่หอพักของโรงเรียนเหมือนกันสินะคะ? ถ้าแบบนั้นพวกเราไปจัดการหมูป่าตัวนี้กันที่นั่นเลยน่าจะดีกว่านะคะ”
“อื้อ!”
พิเน๊ะตอบรีซาน่ากลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะออกเดินตรงไปทางโรงเรียนรีมินัสอย่างรวดเร็วจนทำให้รีซาน่าได้กะพริบตามองตามเธอไปและรีบก้าวเดินตามไปด้วยเช่นกัน
“ถึงจะท่าทางแปลกๆ แต่ก็เหมือนว่าจะนิสัยดีแบบที่อาจารย์เอริซาเบธว่าไว้จริงๆ ล่ะมั้ง…”