บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ – ตอนที่ 82 Scramble

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

“อ้ะๆ พวกเธอทั้งสามคนน่ะหยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ นี่พวกเธอคิดจะไปที่ไหนกันหือ~?”

หลังจากที่การสอบของคอนแนลและซิลเวสที่กินเวลาเกือบจะทั้งคาบเรียนสิ้นสุดลงเอริซาเบธที่สังหรณ์ใจอะไรบางอย่างก็ได้หันไปมองทางกลุ่มของพวกนากาและรีบพูดเรียกตัวพวกเขาเอาไว้ก่อนเพราะว่าทั้งนากาและพรีมูล่านั้นต่างก็กำลังทำท่าเหมือนว่าจะออกเดินไปทางบันไดเพื่อที่จะได้ลงไปยังห้องพยาบาลกันแล้วอีกทั้งพรีมูล่าเองก็ยังลากแขนของโมโกะให้ตามเธอไปอีกด้วย ซึ่งพรีมูล่าที่ถูกเรียกตัวเอาไว้นั้นก็รีบหันกลับมาตอบเอริซาเบธกลับไปในทันที

 

“พวกหนูก็จะไปดูอาการของซิลจังเขาไงล่ะพี่เอริ”

 

“พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงอะไรซิลเวสเขาหรอกมีอาจารย์อารอนคอยดูแลอยู่ทั้งคนแบบนั้นน่ะ เอาล่ะ รีบๆ กลับเข้าไปในห้องกันก่อนได้แล้ว~”

 

“เอ๋ะ— แต่ว่าซิลเว—”

 

“ไม่มีแต่จ้า~ เอาล่ะทุกคนรีบกลับเข้าไปในห้องกันเร็ว เมื่อกี้นี้พวกเธอส่งเสียงดังกันน่าดูเลยนะแล้วนี่ใกล้จะหมดคาบหนึ่งแล้วด้วยถ้าเกิดใครชักช้าจนอาจารย์อายะที่จะสอนคาบต่อไปมาถึงก่อนระวังจะโดนหักคะแนนกันนะจ๊ะ~”

 

“เฮ้ย— ยัยจิ้งจอกเอาคะแนนมาขู่แล้วพวกเรารีบเผ่นเร็ว!”

 

อัลเบิร์ตที่ได้ยินคำขู่ของเอริซาเบธนั้นได้รีบตะโกนบอกเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นที่ไม่ได้สนใจจะฟังเอริซาเบธเพราะนึกว่าเธอกำลังพูดกับพวกนากาอยู่ขึ้นมาซึ่งนั่นก็ทำให้ทุกคนรีบวิ่งไปเบียดกันอยู่ที่ประตูหน้าห้องและหลังห้องกันแทน

 

โดยจะเหลือก็แค่ซึบากิที่ยังคงยืนจับราวระเบียงแน่นและจ้องมองไปยังซิลเวสที่อยู่ในอ้อมแขนของอารอนกับคาร์เทียร์ที่ตามติดอารอนไม่ห่างด้วยแววตาดุร้ายจนพวกเธอกระทั่งหายเข้าไปในห้องพยาบาลแล้วซึบากิจึงได้ยอมเดินกลับเข้าห้องเรียนไปแต่โดยดี

 

แต่ถึงแม้ว่าซึบากิจะยอมเดินกลับเข้าห้องไปแล้วตรงระเบียงหน้าห้องก็ยังมีเด็กนักเรียนสุดดื้อดึงเหลืออยู่อีกสามคนอยู่ดีจนทำให้เอริซาเบธที่พอจะเดาความคิดของพวกเขาได้ต้องพูดเตือนออกมา

 

“พวกเธอเองก็รีบกลับเข้าห้องกันดีกว่านะ เพราะต่อให้พวกเธอคิดจะลองขออลิซดูเขาก็ไม่อนุญาตให้พวกเธอลงไปตอนนี้หรอก”

 

“ฉันก็กะจะกลับเข้าไปในห้องอยู่แล้วแหล่ะน่า แต่ยัยตัวแสบนี่ไม่ยอมปล่อยฉันสักทีเนี่ย!”

 

“ก็ซิลจังเขายังไม่กลับมาเลยอ้ะ!”

 

พรีมูล่าพูดตอบเอริซาเบธและนากากลับไปพร้อมกับกอดแขนของนากาและโมโกะที่เธอจับเอาไว้แน่นขึ้นราวกับจะบอกว่าถ้าเธอไม่ได้ลงไปหาซิลเวสล่ะก็สองคนนี้ก็จะไม่ได้กลับเข้าห้องเรียนด้วยเช่นกันจนทำให้เอริซาเบธต้องตัดสินใจที่จะทำตัวให้สมกับเป็นอาจารย์กับเขาดูบ้างสักทีหนึ่ง

 

“เอาจริงๆ การเป็นห่วงเพื่อนก็ไม่ใช่เรื่องแย่หรอกนะพริมจัง แต่ว่าเธอก็ต้องดูด้วยว่าถ้าเธอลงไปแล้วจะไปช่วยหรือว่าไปเกะกะการรักษาของเขากันแน่น่ะ… ในเมื่อเธอลงไปแล้วก็น่าจะทำได้แค่อยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้ซิลเวส งั้นสู้เธอเข้าไปนั่งเรียนในห้องแล้วจดเนื้อหาที่เรียนกันไปให้ซิลเวสที่กำลังนอนพักอยู่น่าจะดีกว่าใช่มั้ยล่ะ”

 

“นั่นสิ ซิลเวสเขาคงไม่ดีใจหรอกมั้งถ้าเกิดว่าตัวเองเป็นคนที่ทำให้เธอต้องขาดเรียนจนโดนหักคะแนนน่ะพรีมูล่า”

 

“บู่วววว เอางั้นก็ได้! แต่ถ้าเกิดถึงตอนกลางวันแล้วซิลจังยังไม่กลับมาพวกเราต้องลงไปดูอาการของซิลจังด้วยกันนะ!!”

 

“รู้แล้วหน่า เพราะถ้าเกิดถึงตอนกลางวันแล้วซิลเวสยังไม่กลับมาพี่เองก็กะจะไปดูอยู่เหมือนกันนั่นล่ะ ในเมื่อตกลงกันได้แล้วงั้นพวกเราก็กลับเข้าไปในห้องกันก่อนเถอะ”

 

นากาพูดตอบพรีมูล่ากลับไปก่อนที่เขากับโมโกะจะช่วยกันหิ้วปีกพรีมูล่าที่ยังคงอิดออดมองไปทางบันไดราวกับหวังว่าซิลเวลสจะเดินขึ้นมาพอดีเข้าไปในห้องเรียน ซึ่งทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมาจริงๆ อย่างที่พรีมูล่าหวังเอาไว้ แต่ว่าผู้ที่เดินขึ้นบันไดมานั้นกลับเป็นอลิซที่ถือกล่องอะไรบางอย่างมาด้วยและกำลังหรี่ตามองตรงมาทางพวกเธออยู่จนทำให้พรีมูล่ารีบพุ่งนำหน้าพี่ชายและเพื่อนสาวของเธอเข้าไปในห้องเรียนก่อนทันที

 

“ให้ตายสิ… ขนาดอยู่ที่โรงเรียนแล้วก็ยังดื้ออยู่เหมือนเดิมงั้นสินะ…”

 

“ว่าไง~ เหนื่อยหน่อยนะอลิซจัง~ ว่าแต่นี่แบกอะไรมาด้วยล่ะนั่น?”

 

เอริซาเบธพูดทักทายอลิซกลับไปแล้วจึงเอ่ยปากถามถึงกล่องกระดาษที่อลิซแบกมันขึ้นมาด้วยขึ้นมา

 

“ก็ยูนิต… ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นพาร์ทส่วนบนที่เอริกะเตรียมเอาไว้ให้ฉันใช้ในการสอนน่ะ ฉันเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลืออยู่อีกหน่อยก็เลยกะจะลองเอามาแนะนำให้พวกนักเรียนรู้จักคำว่าพาร์ทแล้วก็ยูนิตกันก่อน”

 

“ของที่คุณเอริกะเอามาให้เธอใช้ระหว่างสอนงั้นหรอ? ไหนๆ ขอฉันดูหน่อยสิ นะนะ ขอดูหน่อยนะ~”

 

“หือ? อ้อ… ตอนที่ประชุมกันอยู่เธอนอนหลับเป็นตายเลยนี่นะ… เอาเถอะถ้ายังไงก็อย่าทำมันเสียละกัน”

 

อลิซที่ได้ยินคำขอของเอริซาเบธได้แสดงความแปลกใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะนึกขึ้นมาได้ว่าเอริซาเบธนั้นได้นอนหลับยาวตั้งแต่เริ่มประชุมจนได้พวกเธอมาช่วยกันปลุกในตอนหลังนั่นเอง ซึ่งเอริซาเบธที่ได้รับกล่องกระดาษจากอลิซไปนั้นก็ได้เปิดมันออกมาดูด้วยความตื่นเต้นเพราะถ้าเกิดว่ามันเป็นยูนิตสำหรับอาจารย์ล่ะก็มันจะต้องมีอะไรพิเศษกว่ายูนิตชนิดอื่นๆ อย่างแน่นอน

 

“หืม? อะไรกันล่ะเนี่ย ตรงปลายนี่มีเอาไว้เขกหัวเด็กนักเรียนหรือไงน่ะ?”

 

เอริซาเบธที่หยิบตัวพาร์ทส่วนบนหรือก็คือส่วนแขนกลออกมาดูนั้นได้พูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจเนื่องจากว่าหน้าตามันไม่เหมือนกับพาร์ทที่เธอกับเดรคช่วยกันขนไปยังบ้านของเอริกะเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงแม้ตัวฐานและแขนของแขนกลทั้งสองข้างจะเหมือนกับที่เธอจำได้ แต่ว่าที่ปลายข้างหนึ่งของมันนั้นกลับกลายเป็นกระจกสีดำมันวาวทรงครึ่งวงกลมที่ท่าทางทนทานกว่ากระจกธรรมดาแทน

 

“ตลกมากนักล่ะ… แค่เห็นก็รู้แล้วว่ามันคือกล้องวิดีโอไม่ใช่หรือไง”

 

“วิ-ดี-โอ?”

 

“อ่ะ… พวกเธอยังไม่รู้จักของอะไรแบบนั้นงั้นสินะ ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ มันก็เหมือนกับกล้องถ่ายรูปที่พวกเธอรู้จักกันแค่ว่ามันสามารถบันทึกรูปภาพเป็นภาพเคลื่อนไหวได้นั่นแหล่ะ”

 

“รูปถ่ายที่เคลื่อนไหวได้งั้นหรอ… สมกับที่เป็นคุณเอริกะเขาจริงๆ …”

 

คำพูดอธิบายของอลิซนั้นแทบจะทำให้เอริซาเบธน้ำตาซึมด้วยความปลื้มปีติเพราะถึงแม้ว่ากล้องถ่ายรูปจะถูกผลิตขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้วแต่ว่าค่าใช้จ่ายในการใช้งานมันก็แพงหูดับจนมีแต่ทางวังหลวง เหล่าขุนนาง และพวกพ่อค้ารวยๆ เท่านั้นที่สามารถมีภาพถ่ายหรือกล้องถ่ายรูปเป็นของตัวเองได้ แล้วนี่คุณเอริกะของเธอกลับสามารถสร้างกล้องถ่ายภาพที่สามารถถ่ายรูปภาพที่เคลื่อนไหวได้ออกมาด้วยตัวคนเดียวแบบนี้เด็กกำพร้าที่คุณเอริกะเก็บมาเลี้ยงอย่างเธอก็อดไม่ได้ที่จะภูมิใจไปด้วย

 

“ก็ดูเหมือนว่าเอริกะจะอยากเห็นความสามารถของพวกเด็กๆ พวกนี้ด้วยตาของตัวเองด้วยน่ะจะได้คิดหายูนิตแบบที่เหมาะสมที่สุดให้ได้เพราะงั้นเอริกะก็เลยเตรียมเจ้านี่มาให้ฉันใช้ระหว่างจัดการสอบไปด้วย”

 

“หืม…? แต่ตะกี้นี้เธอก็ไม่ได้ใส่มันไปด้วยนี่นา”

 

“ฉันลืม…แถมฉันเองก็ยังไม่แน่ใจว่าการสอบจะกินเวลาขนาดไหนก็เลยต้องรีบมาจัดคู่สอบจนไม่มีเวลาที่จะมานั่งแกะกล่องใส่มันเนี่ย…”

 

“อุ้ยแหม่~ ไม่เป็นอะไรหรอกนะคะอาจารย์อลิซ เริ่มสอนครั้งแรกแบบนี้ใครๆ เขาก็ทำพลาดอะไรสักอย่างกันทุกคนนั่นแหล่ะค่ะ~ แต่จะว่าไป… เมื่อกี้นี้เธอจะไม่ให้ซิลเวสจังเขาฝืนตัวเองเกินไปหน่อยหรอ นี่ถ้าเกิดท่านผู้อำนวยการรู้ว่าเธอสั่งให้เด็กใช้วิซจนเกินตัวแบบนั้นมีหวังถูกดุแน่เลยนะ”

 

“เธอไม่ต้องมาว่าฉันอีกคนหรอกน่า ตอนอยู่ข้างล่างฉันก็โดนอารอนบ่นไปแล้วถึงได้รีบหนีขึ้นมาเนี่ย อีกอย่างนึงถ้าเธออยากจะบ่นก็ไปบ่นกับเอริกะที่เป็นคนสั่งฉันมาเองไป แล้วเธอก็น่าจะรู้นะว่าเอริกะจะตอบว่าทั้งหมดนี่—”

 

“ ‘ทั้งหมดนี่มันก็เพื่อตัวของพวกเขาเอง’ สินะ เฮ้อ…”

 

เอริซาเบธพูดต่อคำพูดของอลิซให้เพราะว่าเธอเองก็ได้ยินมันมาจากคุณเอริกะของเธออยู่หลายรอบแล้วเช่นเดียวกัน แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นก็ได้มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้จนทำให้พวกเธอต้องหันไปมองและพบว่าอาจารย์อายะและอาจารย์เทียกำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเธออยู่

 

“อ…อาจารย์อลิซคะ…”

 

“อาจารย์เทียกับอาจารย์อายะ? มีอะไรหรือเปล่าคะ? ยังไม่ถึงคาบสอนของพวกคุณเลยนี่”

 

“ท…ท่านผู้อำนวยการเรียกอาจารย์อลิซไปพบน่ะค่ะ…”

 

“ซวยล่ะ…”

 

อลิซที่ได้ยินว่าท่านผู้อำนวยการเรียกตัวเธอไปพบนั้นได้หลุดสบถออกมาเล็กน้อย เพราะว่าเอริซาเบธเองก็เพิ่งจะพูดเตือนเธอมาเมื่อสักครู่นี้นี่เอง ซึ่งนั่นก็ทำให้อลิซนั้นต้องรีบหาข้ออ้างเพื่อถ่วงเวลาออกไปก่อนขึ้นมา

 

“แต่ว่าคาบสอนของฉันยังไม่เสร็จเลยนะคะ แล้วเดี๋ยวฉันจะต้องเข้าไปแนะนำเรื่องเกี่ยวกับยูนิตให้พวกนักเรียนได้รู้จักกันที่ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานจนกินเวลาคาบเรียนของอาจารย์อายะไปด้วยหรือเปล่าอีก”

 

“ถ…ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็…”

 

“ถ้าเรื่องนั้นท่านผู้อำนวยการบอกว่าให้ฉันรับหน้าที่แนะนำยูนิตให้พวกนักเรียนรู้จักแทนอาจารย์อลิซไปแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าไหนๆ คาบต่อไปของห้องสามก็จะเป็นวิชาเรียนของฉันอยู่แล้ว อ้อ… แล้วท่านผู้อำนวยการก็สั่งมาว่าให้ฉันใช้อาจารย์เอริซาเบธเป็นคนสาธิตการใช้งานยูนิตให้พวกนักเรียนดูด้วยนะคะ เพราะเห็นบอกว่าอาจารย์เอริซาเบธน่ารู้วิธีการควบคุมยูนิตพวกนี้ดีเพราะว่าอยู่กับคุณเอริกะอยู่บ่อยๆ น่ะค่ะ”

 

แกร๊ก–แกร๊ก–

 

“เอ๋ะ— ฉันหรอคะ—”

 

เอริซาเบธที่ฉวยโอกาสใช้จังหวะที่อลิซละความสนใจไปจากเธอแอบนำพาร์ทแขนกลมาสวมใส่เอาไว้นั้นได้พูดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจปนดีใจราวกับว่าเป็นเด็กน้อยที่ได้รับของเล่นชิ้นใหม่พร้อมกับขยับแขนกลข้างที่มีกล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหวอยู่ไปมาตามจังหวะการส่ายหางของเธออีกด้วย

 

“ใช่แล้วล่ะค่ะ เห็นท่านผู้อำนวยการบอกว่าเป็นเรื่องด่วนมากก็เลยยอมให้เป็นกรณีพิเศษเพราะว่าเดี๋ยวยังไงฉันก็ต้องสอนห้องสามต่ออยู่แล้วด้วย”

 

“เรื่องด่วนมากงั้นหรอ… ท่าทางว่าจะไม่ใช่เรียกตัวไปว่าเรื่องซิลเวสแล้วล่ะมั้งแบบนี้… แล้วเธอพอจะคุมพาร์ทนั่นไหวหรือเปล่าล่ะเอริซาเบธ?”

 

“อื้ม! ไม่มีปัญหาหรอก เธอไปหาท่านผู้อำนวยการเขาได้ตามสบายเลย~”

 

“เฮ้อ… ถ้าจะดีใจอย่างน้อยก็ช่วยเก็บอาการหน่อยสิ”

 

“ฮิฮิ~ ก็นี่มันคือของที่คุณเอริกะเขาสร้างขึ้นมาเลยนะจะไม่ให้ดีใจได้ยังไงล่ะ~”

 

เอริซาเบธที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขยับแขนกลไปมาอยู่นั้น ได้พูดตอบอลิซกลับไปด้วยอย่างร่าเริงจนทำให้อลิซได้แต่ส่ายหน้าไปมาแบบปลงๆ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับอาจารย์เทียเพื่อให้อีกฝ่ายเดินนำทางไปหาท่านผู้อำนวยการกัน ในขณะที่ลับหลังของเธอนั้นอาจารย์อายะกับเอริซาเบธก็ได้เข้าไปรวมหัวกันทดสอบพาร์ทส่วนบนกันอยู่อย่างเมามัน

 

“ถ…ถ้างั้นก็ตามฉันมาเลยค่ะอาจารย์อลิซ…”

 

 

แอ๊ด—แอ๊ด—แอ๊ด—!!

 

“แน่ใจหรอว่าฉันไม่ต้องเป็นห่วงหรือว่าเป็นกังวลอะไรกับสัญญาณเตือนนี่น่ะเอริกะ…”

 

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นทางด้านท่านผู้อำนวยการของโรงเรียนรีมินัสก็ได้พูดถามเอริกะซ้ำขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเมื่ออุปกรณ์ฉายภาพของเอริกะที่ดับลงไปตั้งแต่การสอบของพวกเด็กนักเรียนสิ้นสุดลงได้ฉายภาพของตารางที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเส้นแสงสีน้ำเงินตัดกันไปกันมาจนเกิดเป็นของแผนที่ทางตอนเหนือของรีมินัสขึ้นมา

 

ซึ่งบนภาพของแผนที่ที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นก็ได้มีเส้นสีฟ้าเส้นหนึ่งได้ส่องสว่างเป็นพิเศษที่ถ้าท่านผู้อำนวยการคาดเดาไม่ผิดมันจะมันก็น่าจะเป็นเส้นแบ่งอาณาเขตระหว่างเมืองรีมินัสกับเมืองแพนเทร่าที่อยู่ทางเหนือนั่นเอง

 

แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ท่านผู้อำนวยการเป็นกังวลนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเส้นแบ่งเขตแดนนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ว่ากลับเป็นจุดสีฟ้าจุดหนึ่งที่กำลังเคลื่อนที่ลงมาทางทิศใต้อย่างช้าๆ หรือก็คือว่ามันกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เมืองรีมินัสมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ท่านผู้อำนวยการเป็นกังวลจนต้องพูดถามขึ้นมานั้นก็เป็นเพราะว่าจุดสีฟ้าอันนั้นมันถูกเขียนกำกับเอาไว้ด้วยเส้นแสงสีเหลืองกับตัวหนังสือที่ถูกใช้เป็นภาษากลางในสมัยโบราณหรือก็คือคำว่า ‘Caution’ ที่แปลว่า ‘ต้องระวัง’ นั่นเอง

 

“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ… แค่ตอนนี้น่ะนะ…”

 

ปิ๊บ!

 

เอริกะที่นิ่งเงียบจ้องมองจุดสีฟ้าอันนั้นมาสักพักหนึ่งแล้วได้พูดตอบท่านผู้อำนวยการกลับไปก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมากดตรงปุ่มเล็กๆ ที่ขาแว่นของเธอจนมันส่งเสียงออกมาเล็กน้อยและทำให้เสียงสัญญาณเตือนที่ดังออกมาจากอุปกรณ์ของเธอเงียบลงไป

 

“กลุ่มของทหารรับจ้างที่คุ้มกันขบวนรถอยู่กระจายกำลังกันออกไปตรวจสอบดูแล้วล่ะค่ะ ถ้าเกิดว่ามันเป็นแค่หน่วยสังเกตการณ์ของศัตรูล่ะก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ”

 

“แบบนั้นเองสินะ…”

 

ท่านผู้อำนวยการพยักหน้าตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นไปมองแผนที่สภาพภูมิประเทศทางตอนเหนือของรีมินัสที่ถูกฉายอยู่กลางอากาศพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

 

“แต่ว่าอุปกรณ์ของเธอก็ยังจะอุตส่าห์ฉายภาพแผนที่ละเอียดๆ แบบนี้แถมยังระบุเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาปัจจุบันได้อีกนะ… ถ้าเกิดว่าเป็นพวกฉันล่ะก็น่าจะต้องใช้คนสักร้อยคนแล้วก็เวลาสักเดือนหนึ่งได้ล่ะมั้งกว่าจะได้แผนที่ละเอียดขนาดนี้น่ะ…”

 

“เอาจริงๆ แล้วมันควรจะทำได้มากกว่านี้อีกนะคะ อย่างเช่นการฉายภาพสามมิติแสดงสภาพภูมิประเทศทั้งความกว้างความยาวและความสูงน่ะ ถ้าอยากจะได้แบบนั้นก็ช่วยหาทรัพยากรมาให้ฉันเยอะๆ หน่อยละกัน… แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากจะให้พวกเราถึงขั้นจำเป็นจะต้องใช้มันหรอกนะคะ…”

 

“แบบนั้นเองสินะ… แต่เอาเถอะ… ดูท่าว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี่น่าจะเป็นแค่เรื่องของความขัดแย้งระหว่างเมืองมากกว่าเรื่องของศัตรูที่เธอกำลังกังวลอยู่ซะมากกว่าล่ะมั้ง”

 

“ความขัดแย้งระหว่างเมือง? นี่คุณพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่คะ?”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของท่านผู้อำนวยการนั้นได้หันขวับไปสอบถามเขาด้วยความสับสนเพราะถึงแม้เธอจะรู้ว่าเมืองต่างๆ มีการแข่งขันหรือว่าแอบลักลอบทำอะไรบางอย่างในอาณาเขตของเมืองอื่นๆ อยู่บ้างแต่เธอก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เธอกำลังวางแผนอยู่จนทำให้มันมาปรากฏอยู่บนแผนที่ของเธอแบบนี้ ซึ่งท่านผู้อำนวยการนั้นก็ได้ยื่นมือไปหยิบเอาเอกสารชุดหนึ่งออกมาจากลิ้นชักของเขาและส่งมันไปให้เอริกะลองอ่านดู

 

“เธอยังไม่รู้เรื่องนี้งั้นสินะ… งั้นลองเอาเอกสารนี่ไปอ่านดูก่อนสิ มันเป็นรายงานที่ถูกส่งมาจากทางแพนเทร่าน่ะ”

 

“จากเมืองแพนเทร่างั้นหรอ…?”

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“ฉันอลิซเองค่ะ ขออนุญาตนะคะ”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังก้มหน้าอ่านเอกสารที่เธอรับมาอยู่นั้นก็ได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาก่อนที่อลิซจะเดินเข้ามาในห้องและชะงักไปในทันทีที่เธอได้เห็นภาพแผนที่ที่มีจุดสีฟ้าถูกเขียนกำกับเอาไว้ว่าต้องเฝ้าระวัง

 

“…สัญญาณเตือนงั้นหรอ? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าน่ะเอริกะ?”

 

อลิซที่ได้เห็นภาพที่ถูกฉายขึ้นมาจากอุปกรณ์ทรงครึ่งวงกลมสีดำนั้นได้พูดถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจกับสิ่งที่มันกำลังฉายออกมาโดยไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับตัวอุปกรณ์ของเอริกะเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเอริกะที่กำลังขมวดคิ้วอ่านเอกสารอยู่นั้นได้ยกมือขึ้นมาทางอลิซเป็นสัญญาณว่าให้เด็กสาวผมสีขาวเงียบลงไปก่อนแล้วเธอจึงได้เงยหน้าขึ้นมาพูดถามท่านผู้อำนวยการด้วยแววตาจริงจัง

 

“เรื่องในเอกสารนี่เป็นเรื่องจริงงั้นหรอคะท่านผู้อำนวยการ?”

 

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน… แต่ว่ามันก็เป็นอย่างที่เธอเห็นในรายงานนั่นว่ามีการค้นพบตราของหน่วยพิเศษของรีมินัสในที่เกิดเหตุ ซึ่งมันก็อาจจะเป็นไปได้จริงๆ ก็ได้เพราะว่าเมืองต่างๆ ก็มีการแอบส่งคนเข้าไปทำการลับในเขตของเมืองอื่นๆ เป็นประจำอยู่แล้ว อย่างก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะมีทหารของกราวิทัสบุกเข้ามาจับพวกที่ถูกอ้างว่าเป็นกบฏที่หนีเข้ามาทางใต้ แล้วก่อนหน้านั้นไปอีกเมืองซายูกิก็เพิ่งจะแอบส่งหน่วยพิเศษเข้ามาจับตัวนักเรียนพิเศษอย่างเซซิลกลับไปเหมือนกันนี่”

 

ตึ้ง!

 

“นี่คุณตั้งใจจะสื่ออะไรกันแน่คะคุณผู้อำนวยการ!?”

 

อลิซที่ทนปิดปากเงียบอยู่ตามคำสั่งของเอริกะนั้นได้เดินเข้าไปทุบโต๊ะของท่านผู้อำนวยการและพูดถามขึ้นมาเสียงดังเมื่อเธอได้ยินคำพูดของเขาที่ฟังดูเหมือนกับว่าเขาอยากจะปัดเรื่องนี้ให้ทางเมืองจัดการกันไปเอง ซึ่งนั่นก็ทำให้ท่านผู้อำนวยการต้องพูดอธิบายออกมาตรงนี้ให้เอริกะและอลิซได้ยินกันชัดๆ ไปเลย

 

“อย่าเข้าใจฉันผิดไป ฉันตัดสินใจไปแล้วว่าจะลงเรือลำเดียวกับพวกเธอด้วย เพราะแบบนั้นฉันไม่มีความคิดที่จะถอนตัวอย่างแน่นอน… แต่ว่าพอดูจากการสอบเมื่อกี้นี้แล้วฉันก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรพวกเธอได้เร่งรีบกันถึงขนาดนั้น เพราะว่าเรื่องที่เธออ้างว่าเป็นฝีมือของศัตรูก่อนหน้านี้สุดท้ายแล้วมันก็อาจจะเป็นแค่เรื่องความขัดแย้งของกลุ่มคนหรือว่าผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวของเมืองต่างๆ กันทั้งนั้นก็ได้นี่ แล้วครั้งนี้เองก็ดูท่าทางว่าจะเป็นเรื่องของการเมืองเหมือนเดิมอีกด้วยเหมือนกัน…”

 

“ก็ถ้าเกิดว่ามันเป็นอย่างในรายงานนี่จริงๆ มันก็เป็นเรื่องดีไปค่ะ…”

 

“หืม?”

 

คำตอบของเอริกะนั้นทำให้ทั้งอลิซที่กำลังจะเถียงกลับไปและท่านผู้อำนวยการได้เงียบลงไปด้วยความสงสัยและหันไปมองเอริกะเพื่อรอให้เธอพูดขึ้นมาต่อ

 

“ก็ถ้าเกิดว่าสิ่งที่เขียนในรายงานนี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นน่ะนะคะ… เพราะว่าเซซิเรียที่เข้าไปในสถานที่เกิดเหตุได้พบเจอกับเธอคนนั้นต่อหน้าต่อตา แถมหนึ่งในแฟรี่ของเธอคนนั้นก็ยังเป็นคนที่มาวางระเบิดห้องเก็บผลงานของฉันอีกด้วย… เพราะอย่างนั้นฉันคงจะปล่อยให้รายงานปลอมๆ ที่หวังจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แผ่นเดียวนี่มันมาขัดขวางการเตรียมการพวกนั้นไม่ได้หรอกค่ะ”

 

“เธอคนนั้นกับแฟรี่… เหล่าศัตรูที่เธอเคยพูดถึงนั่นสินะ… นี่หมายความว่าหายนะจะกลับมาเยือนโลกใบนี้อีกครั้งจริงๆ งั้นหรอ…”

 

“ค่ะ… และทุกอย่างที่อลิซทำลงไปในวันนี้ก็เป็นเพราะว่าฉันเป็นคนสั่งให้เธอทำเอง ถ้าเกิดว่าท่านผู้อำนวยการอยากจะตำหนิใครก็ขอให้มาลงที่ฉันคนเดียวเถอะค่ะ”

 

“…..”

 

ผู้อำนวยการที่ได้ยินคำยืนยันจากปากของเอริกะนั้นได้นิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ก่อนที่เขาจะหมุนเก้าอี้ของเขาไปทางหน้าต่างและลุกขึ้นเดินไปดูวิวทิวทัศน์ของโรงเรียนรีมินัสอยู่สักครู่หนึ่งแล้วจึงพูดถามทั้งสองคนขึ้นมาเบาๆ

 

“ทำไม… ทำไมถึงต้องเป็นที่นี่… ที่โรงเรียนแห่งนี้… ที่นี่มันควรจะเป็นสถานที่ที่สงบสุขเพื่อให้เหล่าเด็กๆ ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตกันอย่างสนุกสนานแท้ๆ … ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นเธอล่ะก็การจะตั้งโรงเรียนที่สอนเรื่องเกี่ยวกับยูนิตขึ้นมาเองก็น่าจะทำได้ง่ายๆ เลยนี่…”

 

“เรื่องนั้—-”

 

“เรื่องนั้นนายเองก็รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงว่าเบื้องหลังของวังหลวงที่ดูสวยงามนั่นมันเป็นยังไงน่ะ! ถ้าเกิดว่าเอริกะคิดจะตั้งโรงเรียนขึ้นมาเองล่ะก็พวกวังหลวงไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ หรอกนะ เพราะงั้นถ้าจะมีที่ไหนที่เหมาะสมที่สุดมันก็คือโรงเรียนของนายนั่นล่ะ!! อีกอย่างนึงนายเองก็รู้ดีไม่ใช่หรือไงว่าทำไมถึงต้องเป็นที่นี่น่ะ!!”

 

อลิซที่นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งแล้วได้พูดขัดเอริกะขึ้นมาเสียงดัง ซึ่งหลังจากที่สิ้นเสียงตะโกนของเธอไปแล้วห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการก็ได้ตกอยู่ในความเงียบไปอีกสักพักหนึ่งก่อนที่ท่านผู้อำนวยการจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“เพื่อมอบโอกาสให้พวกเขาได้ไขว่คว้าอนาคตด้วยมือของตัวเอง…งั้นสินะ…”

 

“ใช่ค่ะ… เพราะงั้นได้โปรดเชื่อใจฉันเถอะนะคะ… ถ้าเกิดว่าภายในหนึ่งปีการศึกษานี้ฉันหาหลักฐานมายืนยันให้คุณเห็นกับตาไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ฉันจะยอมยกเลิกข้อตกลงแล้วก็ชดเชยให้กับทางโรงเรียนอย่างเต็มที่โดยไม่บิดพลิ้วแน่นอนค่ะ”

 

เอริกะพูดยืนยันออกมาอย่างหนักแน่นก่อนที่เธอจะก้มหัวลงไปจนสุดกับโต๊ะที่เธอนั่งอยู่ ซึ่งท่าทางของเอริกะนั้นก็ทำให้ท่านผู้อำนวยการตัดสินใจได้ในทันที

 

“คนอย่างฉันไม่สมควรที่จะได้รับการก้มหัวจากเธอหรอกเอริกะ… ถ้าหากเธอยืนยันว่าทั้งหมดนี่ก็เพื่อตัวของพวกเด็กๆ เองจริงๆ ล่ะก็ฉันเองก็จะพยายามยอมรับมันให้ได้… แต่มีข้อแม้ว่าหลังจากที่พวกเธอให้เด็กนักเรียนฝืนตัวเองกันไปแล้วพวกเขาจะต้องได้รับการรักษาเป็นอย่างดีล่ะ เข้าใจมั้ย…”

 

“อื้อ! ขอบคุณที่ยังเชื่อใจกันนะ เ—”

 

“ตอนนี้ฉันเป็นแค่ผู้อำนวยการของโรงเรียนรีมินัสแล้ว เพราะงั้นอย่าเรียกฉันด้วยชื่อนั้นเลย…”

 

ท่านผู้อำนวยการได้พูดตัดบทเอริกะที่กำลังจะเรียกชื่อของเขาออกมาก่อนที่เขาจะเดินกลับไปนั่งลงบนโต๊ะทำงานอีกครั้งหนึ่งในขณะที่อลิซที่เห็นว่าทั้งสองคนตกลงกันได้ด้วยดีแล้วก็ได้พูดถามถึงสาเหตุที่ท่านผู้อำนวยการเรียกตัวเธอมาที่นี่ขึ้นมา

 

“ท่าทางว่าจะตกลงกันได้แล้วสินะ แล้วนี่ท่านผู้อำนวยการให้อาจารย์เทียไปตามตัวฉันมาทำไมกันล่ะคะ?”

 

“อ่ะ— อันนั้นฉันเป็นคนสั่งให้เทียเขาไปตามตัวเธอมาเองน่ะ เพราะว่ามันมีปัญหานิดหน่อยอย่างที่เธอเห็นบนภาพโฮโลแกรมนั่นน่ะ”

 

แอ๊ด—แอ๊ด—แอ๊ด—!!

 

ทันทีที่สิ้นเสียงของเอริกะเครื่องฉายภาพของเธอที่ตั้งอยู่กลางห้องก็ได้ส่งเสียงสัญญาณเตือนขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่คำว่า ‘Caution’ สีเหลืองที่ถูกกำกับเอาไว้บนจุดสีฟ้าจะกลายเป็นคำว่า ‘Danger’ สีแดงฉานที่แปลว่าอันตรายแทนพร้อมกับมีเส้นแสงที่เป็นกรอบสีแดงพุ่งเข้าไปอย่างต่อเนื่องเพื่อเรียกความสนใจจากทุกคนอีกด้วย

 

“เอริกะ!!”

 

“เอาแล้วไง…”

 

ปิ๊บ–ปิ๊บ–ปิ๊บ–

 

เอริกะพูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะกดไปที่ขาแว่นของเธออย่างเอาเป็นเอาตายจนทำให้เครื่องฉายภาพของเธอฉายหน้าต่างข้อมูลต่างๆ ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

 

“ยืนยันการพบเห็นแฟรี่… ระดับสีส้มกับสีแดง… พกพาอาวุธมากันด้วย… จุดที่เห็นล่าสุด สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าราวๆ สองกิโลเมตร… อลิซ! เธอยืนนิ่งๆ แล้วก็กางแขนออกเร็ว!”

 

“หา?”

 

“ทำถามที่บอกเถอะน่า!! ตอนนี้พวกทหารรับจ้างที่ฉันจ้างมากำลังช่วยกันถ่วงเวลาให้นิลิมกับมีอาขับรถหนีออกมากันอยู่ แต่ว่าพวกนั้นรับมือกับพวกแฟรี่กันได้ไม่นานหรอก!!”

 

อลิซที่เห็นท่าทางรีบร้อนของเอริกะนั้นได้แต่ยอมยืนตัวตรงและกางแขนทั้งสองข้างออกตั้งฉากกับพื้นตามที่อีกฝ่ายสั่งแต่โดยดีถึงแม้ว่าเธอจะคิดว่าท่ายืนนี้มันดูงี่เง่ามากก็ตามที ซึ่งทางด้านเอริกะที่เห็นว่าอลิซยอมทำท่าทางตามที่เธอบอกแล้วก็ได้ล้วงมือเข้าไปหยิบหนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่งออกมาจากใต้เสื้อกาวน์ของตัวเอง

 

“ถึงจะยังอยู่ในขั้นทดลองแต่ก็เอาไปใช้ก่อนเลยละกัน… อาร์ไคฟ์!!”

 

เอริกะที่หยิบหนังสือของเธอออกมานั้นได้ร้องตะโกนขึ้นมาจนทำให้มีละอองแสงสีขาวผุดขึ้นมากระจายไปทั่วทั้งห้องก่อนที่พวกมันจะพุ่งเข้าไปจับอยู่ตามตัวของอลิซอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงค่อยๆ กระจายตัวกันออกไป

 

ซึ่งหลังจากที่ละอองแสงเหล่านั้นได้ฟุ้งกระจายหายไปกันหมดแล้วก็ได้เผยให้เห็นอลิซที่สวมใส่ยูนิตเต็มรูปแบบโดยมีพาร์ทส่วนล่างที่เป็นโครงเหล็กติดไอพ่นและพาร์ทส่วนบนที่เป็นแขนกลที่ถูกดัดแปลงจากคีมหนีบให้กลายเป็นปืนกลเบาคล้ายๆ กับของโมโกะข้างละหนึ่งกระบอกแทน

 

แกร๊ก–แกร๊ก–

 

อลิซที่ได้พบว่าตัวเองมีปืนกลติดอยู่บนไหล่ถึงสองกระบอกนั้นได้ทดลองหมุนมันไปมาเพื่อตรวจสอบมุมยิงของมันอยู่สักพักหนึ่งพร้อมกับเอ่ยปากบ่นออกมาเบาๆ

 

“ให้เจ้าของเป็นคนใช้งานเองยังไงก็เรียกออกมาได้เยอะกว่าจริงๆ งั้นสินะเนี่ย…”

 

“ใช่เวลาจะมาบ่นมั้ยเนี่ย? ยูนิตนั่นชื่อว่า เชสเชียร์ มันเป็นยูนิตที่ฉันออกแบบมาให้เธอโดยเฉพาะ ถึงจะยังไม่ถึงขั้นบินได้ก็เถอะแต่ว่าฉันก็ปรับแต่งพาร์ทส่วนล่างให้ทนรับแรงกระแทกได้ดีกว่าเดิมแล้วก็เพิ่มเบรกที่ล้อไปให้แล้ว”

 

“รับแรงกระแทกได้ดีกว่าเดิมงั้นหรอ…? ถ้างั้นจากหน้าต่างนั่นจะพอไหวมั้ย?”

 

“ก็สบายๆ … ล่ะมั้ง…”

 

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนท่านผู้อำนวยการช่วยหลบไปจากหน้าต่างหน่อยค่ะ”

 

“โอ้…”

 

ท่านผู้อำนวยการที่ได้ยินแบบนั้นก็พอจะรู้ว่าอลิซกำลังคิดอะไรอยู่เขาจึงได้เอื้อมมือไปเลื่อนหน้าต่างให้เปิดออกก่อนที่เขาจะขยับตัวถอยหลบไปข้างๆ พร้อมกับลากโต๊ะทำงานและเก้าอี้ของตัวเองให้พ้นจากเส้นทางของอลิซไปด้วย

 

แกร๊ก—แกร๊ก— ฟู่วว…

 

อลิซที่เห็นว่าเส้นทางของตัวเองโล่งดีแล้วนั้นได้ขยับตัวไปมาเพื่อเป็นการยืดเส้นยืดสายก่อนที่เธอจะลองสั่งให้พาร์ทไอพ่นพ่นเปลวไฟออกมาเบาๆ เพื่อลองทดสอบมันดู ซึ่งเอริกะที่เห็นแบบนั้นก็ได้กดไปที่ปุ่มบนแว่นของเธออีกครั้งจนอุปกรณ์ฉายภาพของเธอแสดงข้อมูลต่างๆ ของยูนิตที่อลิซสวมใส่อยู่ขึ้นมา

 

“ข้อต่อและล้อไม่มีปัญหา ระบบอาวุธทำงานเป็นปกติ ไอพ่นทำงานได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ระบบทุกอย่างพร้อม ไปได้เลยอลิซ!”

 

“อลิซ ยูนิตเชสเชียร์ ออกตัว!!”

 

ฟู่ววววววว!!! ตึ้ง!!

 

อลิซที่กระโดดออกมาจากหน้าต่างห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการที่อยู่บนชั้นห้าของอาคารเรียนนั้นได้สั่งให้พาร์ทไอพ่นของเธอหันลงไปทางด้านล่างเพื่อใช้แรงดันของมันช่วยลดแรงการแทกจากการตกลงมาจากที่สูงจนสามารถลงสู่พื้นได้โดยสวัสดิภาพ

 

ปิ๊บ…

 

ซึ่งในทันทีที่ขาของอลิซสัมผัสกับพื้นดินนั้นเครื่องสื่อสารขนาดเล็กที่เอริกะเรียกออกมาสวมใส่ให้เธอพร้อมๆ กับยูนิตก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นมาเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเอริกะได้ติดต่อมาหาเธอนั่นเอง

 

“ตอนนี้ขบวนรถเคลื่อนผ่านเขตแดนของเมืองแพนเทร่ากับรีมินัสมาแล้ว เธอตรงไปทางทิศเหนือเรื่อยๆ เดี๋ยวก็น่าจะได้พบกับพวกเขาเอง พอไปถึงแล้วให้มองหารถคันที่นิลิมกับมีอาเป็นคนขับเอาไว้เพราะว่ารถคันอื่นๆ ที่เหลือเป็นแค่ตัวล่อที่ฉันเตรียมเผื่อเอาไว้น่ะ”

 

“จะให้ฝ่ากลางเมืองไปเลยหรือว่าจะให้แอบๆ สักหน่อยล่ะ?”

 

“ฝ่ากลางถนนหลักของเมืองไปเลย ชิ้นส่วนนี้มันสำคัญมากเพราะงั้นต้องปกป้องมันให้ได้โดยไม่ต้องสนใจอะไรนอกจากชีวิตของนิลิมกับมีอาแล้วก็ตัวเธอเองเลยนะเข้าใจมั้ย”

 

“หึ แบบนี้มีหวังพวกวังหลวงได้เจ็บใจที่ปล่อยให้ของแบบนี้หลุดมือไปแน่ๆ ล่ะ… งั้นก็หวังว่าพวกทหารรับจ้างของเธอจะถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้นานพอละกัน!”

 

อลิซพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เธอจะสั่งให้พาร์ทส่วนล่างดีดล้อที่ถูกซ่อนอยู่ออกมาและเร่งไอพ่นที่เอวของเธอให้รุนแรงขึ้นจนมันดันร่างของเธอพุ่งออกไปจากเขตของโรงเรียนอย่างรวดเร็ว

 

ซู่มมมมมม!!

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Status: Ongoing
เมื่อคำสัญญาจากอดีตได้หวนคืนกลับมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกหยิบยืมไป การเดินทางของคนถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งเพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน