บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ – ตอนที่ 126 Resounding Echoes

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

พี่—นาาาา—กาาาาา—

“ห…หื้ม…?”

 

ในช่วงเช้ามืดของวันถัดมานั้น นากาที่กำลังนอนหลับอย่างสงบอยู่เหมือนจะได้ยินเสียงเรียกอันแสนสดใสของพรีมูล่าที่มักจะบุกเข้ามาปลุกเขาถึงห้องนอนเป็นประจำทุกเช้าดังลั่นขึ้นมาเหมือนกับทุกๆ วัน

 

แต่ว่าด้วยความเหนื่อยอ่อนของนากานั้นมันก็ได้ทำให้เขาตัดสินใจที่จะทำเป็นเมินเสียงปลุกของน้องสาวตัวแสบของเขาเอาไว้ก่อน เพราะคิดว่ายังไงเดี๋ยวอีกไม่นานตัวเจ้าของเสียงก็คงจะบุกเข้ามาปลุกเขาด้วยวิธีการประหลาดๆ ของเธออย่างที่ทำเป็นประจำอยู่อยู่แล้ว

 

พี่นากาาาาาาาา ….ถ้าเกิดว่า… ชาติหน้ามีจริง…

 

แต่ว่าทันใดนั้นเอง น้ำเสียงอันแสนสดใสของพรีมูล่าที่นากาคิดว่าเขาได้ยินนั้นก็ค่อยๆ แผ่วเบาลงไปก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนแรงของเธอดังขึ้นมาแทนจนทำให้นากาได้แต่ต้องเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย

 

“พรี…มูล่า…?”

 

หนูขอ…เกิด…เป็นน้องพี่…อีกครั้ง…จะได้หรือเปล่า…

 

“พรีมูล่า—!?”

 

ฟุ๊บ—!!

 

นากาที่ได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของพรีมูล่าได้รีบผุดลุกขึ้นมาจากเตียงนอนและหันไปมาเพื่อมองหาน้องสาวตัวแสบของเขาในทันที แต่ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นก็คือห้องนอนภายในคฤหาสน์ที่มีสิ่งของต่างๆ ที่เขาไม่คุ้นเคยวางระเกะระกะอยู่เต็มห้องไปหมดจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาขยี้ตาตัวเองด้วยความประหลาดใจกับห้องนอนที่หน้าตาคล้ายกับห้องนอนของเขาในคฤหาสน์แต่เขากลับรู้สึกไม่คุ้นเคยนี้

 

…กึก

 

“หืม…?”

 

แต่ทว่าแขนของนากาข้างที่เขากะจะยกมือขึ้นมาเพื่อขยี้ตานั้นก็กลับถูกอะไรบางอย่างรั้งเอาไว้จนยกไม่ขึ้น ซึ่งเมื่อนากามองตามลงไปเขาก็ได้พบเข้ากับอุ้งมือของเด็กสาวหูแมวที่จับแขนเสื้อของเขาเอาไว้แน่นถึงแม้ว่าเธอจะกำลังหลับอยู่ก็ตามจนดูราวกับว่าเธอกำลังรู้สึกหวาดกลัวว่าถ้าตัวเธอแยกห่างออกไปแล้วเขาจะหนีหายไปไหนอย่างไรอย่างนั้น

 

“อย่างน้อยก็ยังเหลือเธออยู่ล่ะนะโมโกะ…”

 

นากาพูดพึมพำออกมาเบาๆ พร้อมกับยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหัวของเด็กสาวหูแมวอย่างแผ่วเบาก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาเบาๆ พร้อมๆ กับเสียงของคอนแนลที่พูดถามขึ้นมาด้วยความเกรงใจ

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“นากาอยู่ข้างในนี้หรือเปล่าครับ…?”

 

“อ่ะ…”

 

นากาที่ได้ยินเสียงของคอนแนลนั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบผละมือออกมาจากศีรษะของโมโกะเพื่อเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองแล้วจึงค่อยพูดตอบคอนแนลกลับไปโดยพยายามระมัดระวังไม่ให้เสียงของตัวเองดังเกินไปจนรบกวนโมโกะที่กำลังนอนหลับอยู่เข้า

 

“ฉันอยู่ข้างในนี้นี่แหล่ะ มีอะไรหรือเปล่า?”

 

“เอ๋ะ… เอ่อ…”

 

คอนแนลที่ดูเหมือนว่าจะตามหาตัวนากาจนทั่วบ้านแต่ก็หาตัวไม่เจอจนได้แต่ต้องลองมาสอบถามดูที่ห้องของโมโกะได้หลุดเสียงร้องด้วยความตกใจออกมาเพราะเขาคิดไม่ถึงว่านากาจะมาอยู่ที่นี่จริงๆ

 

แต่ว่าเมื่อคอนแนลคิดได้ว่านากาและโมโกะเองก็รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วอีกทั้งยังพบเจอกับความสูญเสียมาพร้อมๆ กันจนอาจจะมีความเป็นไปได้ที่ทั้งสองคนจะมาช่วยปลอบใจกันและกันในยามค่ำคืนแล้วเขาก็ได้แต่ต้องรีบพูดธุระของเขาออกมาอย่างตะกุกตะกัก

 

“ค—คือพอดีว่าคุณเอริกะมารับตัวแล้วน่ะครับ… ถ้าเป็นไปได้ก็รีบแต่งตัวแล้วไปที่ห้องรับแขกหน่อยก็ดีนะครับ…”

 

“โอ้…เดี๋ยวจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ”

 

“งื้อ…?”

 

ในขณะที่นากากำลังพูดตอบคอนแนลกลับไปอยู่นั้น ทางด้านโมโกะที่นอนหลับอยู่ข้างๆ เขาก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีงัวเงียก่อนที่เธอจะยื่นมือออกมาคว้าแขนเสื้อของนากาเอาไว้อีกครั้งหนึ่งโดยไม่พูดไม่จา

 

“…..”

 

“ฉันทำเธอตื่นหรือเปล่า… ขอโทษทีนะ…”

 

คำถามของนากาได้ทำให้โมโกะส่ายหน้ากลับมาเป็นคำตอบให้กับเขาก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมาขยี้ตาข้างที่ไม่ได้ถูกผ้าพันแผลพันปิดเอาไว้ ซึ่งถึงแม้ว่าท่าทางของโมโกะจะยังไม่กลับเป็นยัยแมวขโมยสาวขี้โวยวายตามปกติ แต่ว่าท่าทางของเธอที่มีการตอบสนองกับสิ่งต่างๆ บ้างแล้วก็ได้ทำให้นากาตัดสินใจที่จะพูดขึ้นมา

 

“วันนี้ฉันมีธุระกับเอริกะน่ะ เห็นว่าบอกมีเรื่องที่จะต้องตรวจสอบที่นอกเมืองนิดหน่อยเพราะงั้นฉันอาจจะต้องออกไปข้างนอกหน่อยนะ…”

 

“ต้องไปจริงๆ หรอ…?”

 

“อื้ม… เห็นเอริกะเขาบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับหมู่บ้านของพวกเราน่ะ”

 

“…อื้อ”

 

โมโกะที่ได้รับคำตอบกลับมาจากนากาได้พูดตอบเขากลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเองเอาไว้อีกครั้งโดยไม่ยอมละสายตาไปจากนากาที่กำลังก้มลงไปหยิบจานข้าวเมื่อคืนขึ้นมาถือเอาไว้อยู่

 

และเมื่อนากาหยิบจานข้าวขึ้นมาแล้วเขาก็ได้หันกลับไปลูบหัวของโมโกะเบาๆ อีกครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“เดี๋ยวเอาไว้เสร็จธุระเมื่อไหร่ฉันจะรีบกลับมาละกันนะ แล้วถ้าเกิดว่าคอนแนลเขาเอาอะไรมาให้กินเธอก็พยายามกินมันหน่อยนะ คอนแนลเขาก็เป็นห่วงเธอเหมือนกันน่ะ…”

 

“……”

 

โมโกะที่ได้ยินคำพูดของนากาไม่ได้พูดตอบอะไรเขากลับไปและดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวของตัวเองเอาไว้จนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นได้แต่มองเธอด้วยสายตาสงสารก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องของโมโกะไปเพื่อกลับไปจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อยที่ห้องนอนของเขาเอง

 

และหลังจากที่นากาจัดการตัวเองจนเสร็จแล้วเขาก็ได้เดินตรงไปยังห้องรับแขกและได้พบเข้ากับเอริกะที่กำลังนั่งกินขนมอบฝีมือคอนแนลอยู่บนโซฟาโดยที่ข้างกายเธอเองก็มีพยาบาลสาวมีอากำลังนั่งกอดกล่องอุปกรณ์ทางการแพทย์กล่องใหญ่อยู่ข้างๆ เธอด้วย

 

ซึ่งเมื่อเอริกะได้เหลือบมาเห็นนากาที่กำลังเดินเข้ามาภายในห้องรับแขกนั้นเธอก็รีบกลืนขนมในปากของเธอลงไปและพูดถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“โอ๋ะ มาแล้วหรอนากา โมโกะจังเขาเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

 

“ก็สภาพดีขึ้นกว่าเมื่อวานนี้แล้วล่ะ… ว่าแต่นี่มีอาก็จะไปที่หมู่บ้านกับพวกเราด้วยหรอครับ?”

 

“ฉันแค่มาตรวจดูอาการของโมโกะจังให้อีกรอบเฉยๆ น่ะจ้ะ แต่ว่าเมื่อกี้นี้เห็นคอนแนลคุงบอกว่าเธออยู่ข้างในห้องกับโมโกะจังฉันก็เลยยังไม่ได้เดินไปตรวจให้น่ะ”

 

“ง่ำง่ำง่ำ— ฉันเป็นคนตามมีอามาเองแหล่ะ เพราะเห็นคาร์เทียร์เขาบอกว่าแผลไฟไหม้ของโมโกะจังมันค่อนข้างจะอันตรายฉันก็เลยอยากให้รีบๆ รักษาเอาไว้ก่อนที่แผลมันจะแย่ไปกว่านี้น่ะ”

 

เอริกะที่นั่งฟังพวกเขาคุยกันอยู่ได้คว้าเอาขนมขึ้นมายัดเข้าปากอีกชิ้นหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดอธิบายออกมาให้นากาได้ฟัง ซึ่งคำพูดของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้นากาได้แต่ต้องหันไปพูดถามมีอาขึ้นมาด้วยความกังวล

 

“นี่แผลไฟไหม้ของโมโกะมันอันตรายขนาดนั้นเลยหรอครับนั่น…?”

 

“มันก็ไม่ถึงขั้นว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิตหรอกจ้ะ… แค่ว่าฉันไม่แน่ใจว่าจะรักษาหูของโมโกะจังเขาให้หายกลับมาเป็นปกติได้หรือเปล่าน่ะ… แล้วถ้าเกิดว่าแผลไฟไหม้มันหนักเกินไปจริงๆ ฉันก็อาจจะต้อง…”

 

เสียงของมีอาที่พูดตอบนากากลับมานั้นค่อยๆ แผ่วเบาลงไปเหมือนกับว่าเธอรู้สึกไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเองมากนักจนทำให้นากาที่แทบจะไม่ได้ยินประโยคในตอนท้ายของเธอต้องพูดถามซ้ำขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“อาจจะต้อง…?”

 

“อ—เอาเป็นว่าเรื่องนั้นนายไม่ต้องห่วงอะไรไปหรอกนะนากา ถึงจะเห็นแบบนี้ก็เถอะแต่ว่าฝีมือการรักษาของมีอาเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอารอนสักเท่าไหร่หรอก”

 

เอริกะที่เห็นว่านากาเริ่มที่จะมีท่าทีเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้งนั้นได้ตัดสินใจที่จะพูดแทรกขึ้นมาเพื่อดึงความสนใจของเขาเอาไว้ก่อนจนทำให้นากาพอที่จะคลายความกังวลลงไปได้บ้าง แต่ว่าในขณะที่เขากำลังจะพูดตอบเอริกะกลับไปนั้นคอนแนลก็ได้แง้มประตูห้องรับแขกเข้ามาเพื่อร้องเรียกพวกเขาเอาไว้ก่อน

 

“อ่ะ ทุกคนยังไม่ได้ออกไปไหนกันสินะครับ”

 

“หืม? เอาจริงๆ ก็กำลังจะออกไปกันแล้วล่ะ นายมีธุระอะไรหรือเปล่าหรอคอนแนล?”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของคอนแนลได้พูดถามเขากลับไปด้วยความสงสัย ซึ่งคอนแนลนั้นก็ได้รีบเดินตรงเข้ามาภายในห้องและยื่นห่อผ้าที่ห่อหุ้มกล่องไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอประมาณมาให้นากาและเอริกะพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“มันก็ไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอกครับ ผมแค่กะจะเอาเจ้านี่มาให้คุณเอริกะกับนากาน่ะครับ”

 

“แล้วเจ้านี่มันคือ…?”

 

นากาที่ได้รับห่อผ้าไปจากคอนแนลได้จับยกมันขึ้นมาส่องดูก่อนที่เขาจะพูดถามอีกฝ่ายกลับไปจนทำให้คอนแนลอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นออกมาเบาๆ

 

“ก็ข้าวกล่องน่ะสิครับ แล้วถ้ายังไงวันหน้าวันหลังถ้ามีแผนจะออกไปข้างนอกกันก็บอกกันก่อนสักหน่อยสิครับ ผมจะได้มีเวลาเตรียมข้าวกล่องดีๆ ไปให้น่ะ”

 

“อ่ะ— จะว่าไปเมื่อคืนนี้ฉันก็ลืมบอกนายไปเลยแฮะ”

 

“เอาล่ะๆ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันฝากนายพามีอาเขาไปตรวจอาการของโมโกะให้หน่อยสิคอนแนลคุง ตอนนี้ฉันกับนากาต้องรีบไปกันแล้วน่ะ แล้วยังไงก็ขอบใจสำหรับขนมกับข้าวกล่องนะจ๊ะ”

 

เอริกะที่เห็นคอนแนลที่สวมใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูกำลังทำหน้าตาขึงขังพูดดุนากาออกมานั้นได้เผยรอยยิ้มแพรวพราวออกมาให้ ก่อนที่เธอจะพาตัวนากาเดินออกไปจากห้องรับแขกเพื่อหนีคำต่อว่าของอัศวินหนุ่มในทันทีจนทำให้คอนแนลได้แต่ต้องรีบพูดไล่หลังเธอไป

 

“อ่ะ ถ้างั้นก็ขอให้เดินทางปลอดภัยกันนะครับ ทางนี้เลยครับคุณมีอา”

 

“รบกวนด้วยนะจ๊ะคอนแนลคุง โชคดีนะคะทั้งสองคน”

 

“จ้าๆ แล้วจะรีบกลับมานะจ๊ะ”

 

เอริกะที่ได้ยินคำอวยพรของทั้งสองคนได้โบกมือไล่หลังพวกเขาไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินนำนากาตรงไปที่สวนด้านหน้าของคฤหาสน์ที่ในขณะนี้ได้มีรถยนต์คันหนึ่งถูกจอดทิ้งเอาไว้

 

“เอ่อ… ไหงมัน… คันเล็กจังล่ะเนี่ย?”

 

นากาที่เดินตามเอริกะมาจนถึงตัวรถยนต์ได้แต่ต้องเอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะว่ารถยนต์ที่เขาคุ้นเคยดีนั้นก็คือรถกระบะของทางเมืองที่มีความสูงท่วมหัวของเขาเกือบเท่าหนึ่งอีกทั้งห้องคนขับเองก็มีขนาดใหญ่แถมยังอยู่สูงจนขนาดผู้ชายอย่างเขาก็ยังปีนขึ้นไปนั่งได้ลำบากซะด้วยซ้ำ

 

แต่ว่าสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นรถยนต์เบื้องหน้าของเขานั้นกลับมีความสูงเพียงแค่ไม่ถึงสองเมตรอีกทั้งยังไม่มีกระบะด้านหลังสำหรับเอาไว้ขนของอีกด้วยเนื่องจากว่าตัวหลังคารถมันได้ครอบคลุมไปจนถึงส่วนท้ายรถจนหมดถึงแม้ว่ามันจะยังมีที่นั่งทางด้านหลังอีกสองที่สำหรับผู้โดยสารอยู่ด้วยก็ตามที

 

“อ๋อ… ก็แบบว่าที่จริงแล้วเจ้านี่มันเป็นรถยนต์คันแรกที่ฉันสร้างขึ้นมาเพื่อเอาไปเสนอให้พวกในวังเขาดูน่ะ แต่เหมือนว่าพวกเขาจะไม่ค่อยถูกใจมันกันสักเท่าไหร่เพราะเห็นบอกว่ามันคันเล็กเกินไปหน่อยเลยแบกของได้น้อยแถมยังนั่งได้ไม่ค่อยจะสบายสักเท่าไหร่จนไปๆ มาๆ สุดท้ายแล้วมันก็เลยออกมาเป็นรถกระบะที่พวกนายเคยนั่งกันส่วนเจ้ารถคันนี้ก็โดนเจ้าพวกนั้นโยนไปเก็บไว้ในวังแล้วนานๆ ทีก็ถึงจะค่อยเอาออกมาให้พวกขุนนางขับเล่นกันซะเฉยๆ เลยน่ะ”

 

“แล้วเธอเอามันออกมาใช้งานแบบนี้จะไม่โดนทางเมืองเขาว่าเอาหรอนั่น…?”

 

“พวกนั้นจะกล้ามาว่าอะไรฉันล่ะ! ของที่ฉันสร้างเองฉันก็ต้องมีสิทธิ์ใช้งานมันอยู่แล้วสิ! เอาเป็นว่านายไม่ต้องกังวลแล้วก็ขึ้นไปนั่งบนรถได้เลย ถ้ามีอะไรเดี๋ยวก็เอาไว้คุยกันระหว่างทางก็แล้วกัน”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปแบบไม่สนใจอะไรสักเท่าไหร่นักก่อนที่เธอจะเปิดประตูรถฝั่งที่มีพวงมาลัยเพื่อเข้าไปนั่งประจำพร้อมกับปิดประตูลงไปในทันทีจนทำให้นากาได้แต่ต้องยอมเปิดประตูเข้าไปนั่งบนที่นั่งอีกฝั่งหนึ่งของตัวรถแต่โดยดี

 

และเมื่อเอริกะเห็นว่านากาเข้ามานั่งประจำที่เรียบร้อยแล้วเธอก็จัดการดึงสายรัดที่อยู่ข้างๆ เก้าอี้ของเธอออกมาคาดตัวเองเอาไว้และยื่นมือไปกดปุ่มอะไรบางอย่างที่อยู่ใกล้ๆ กับพวงมาลัยจนทำให้เครื่องยนต์ของรถยนต์ส่งเสียงดังกระหึ่มออกมา

 

บรื่น!!

 

“อ่ะ—จริงด้วยสินากา นายดึงเข็มขัดที่ติดอยู่ตรงข้างๆ เบาะมารัดเอาไว้สักหน่อยก็ดีนะ จับตรงหัวของมันแล้วก็ดึงให้มันยืดออกมาเสียบเอาไว้ที่อีกฝั่งนึงของที่นั่งน่ะ”

 

“หือ? แบบนี้น่ะหรอ?”

 

“ช่ายๆ แบบนั้นแหล่ะ”

 

เอี๊ยดดดดดดด—-

 

“เหวอออ—!?”

 

ในทันทีที่เอริกะเห็นว่านากาได้ดึงเอาตัวเข็มขัดมารัดตัวเองเอาไว้กับเบาะรถแล้วนั้นเธอก็ได้กระทืบไปที่คันเร่งในทันทีจนทำให้รถยนต์ขนาดเล็กของเธอพุ่งตรงออกจากคฤหาสน์ไปและหักเลี้ยวเข้าทุ่งหญ้าเพื่อมุ่งตรงไปทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วสูงในขณะที่ทางด้านนากานั้นก็ได้แต่ต้องรีบคว้าเอากล่องข้าวที่คอนแนลให้มากอดเอาไว้ในตอนที่มันลอยกระเด็นขึ้นในจังหวะที่รถของพวกเขาพุ่งผ่านเนินเล็กๆ ไปและพูดถามเอริกะขึ้นมาด้วยความหวาดผวา

 

“น—นี่เธอขับเร็วขนาดนี้มันจะไม่เป็นอะไรแน่หรอน่ะ!!?”

 

“แหม่~ ก็แถวนี้มันไม่มีรถคันอื่นขับสวนมากันสักหน่อยนี่เพราะงั้นนายไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก~”

 

“ที่ฉันเป็นห่วงมันใช่เรื่องนั้นซะที่ไหนเล่—-”

 

เอี๊ยดดดดดดดด!!

 

ในขณะที่นากากำลังพูดตอบเอริกะกลับไปอยู่นั้น รถยนต์ของพวกเขาก็ได้แล่นมาจนถึงถนนหลักทางทิศตะวันตกของเมืองรีมินัสจนให้เอริกะหักพวงมาลัยเพื่อตีโค้งเข้าสู่ตัวถนนอย่างรวดเร็ว และนั่นมันก็ทำให้ร่างของนากาที่ใช้เข็มขัดรัดตัวเองเอาไว้กับเบาะรถถึงกับถูกเหวี่ยงจนลอยขึ้นมาจากที่นั่งเล็กน้อย

 

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำให้นากาค่อนข้างจะมั่นใจว่าถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้คาดเข็มขัดเอาไว้ตามที่เอริกะบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ล่ะก็ตัวเขาคงจะไม่พ้นลอยขึ้นจนกระแทกเข้ากับหลังคารถหรือไม่ก็ถูกเหวี่ยงจนปลิวกระเด็นออกไปจากตัวรถอย่างแน่นอน

 

แต่ถึงอย่างนั้นเอริกะก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะสนใจความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นกับผู้โดยสารของเธอเลยแม้แต่น้อยและขับรถตรงไปอีกสักพักหนึ่งแล้วจึงยกมือขึ้นมากดที่ขาตั้งแว่นของเธอจนทำให้บริเวณเลนส์ทั้งสองข้างของแว่นตาของเธอส่องแสงออกมาเล็กน้อยก่อนที่เอริกะจะละสายตาออกมาจากถนนเบื้องหน้าพร้อมกับปล่อยมือออกจากพวงมาลัยรถยนต์เพื่อหันมาพูดถามนากาด้วยท่าทีสบายๆ

 

“จะว่าไปขอฉันถามอะไรนายหน่อยสินากาคุง”

 

“กลับไปมองถนนก่อนสิเอริกะ!!”

 

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า~ เห็นเมื่อวานนี้ไดเอน่ารายงานว่ากลุ่มของพวกเธอที่ออกไปเดินตรวจที่นอกเมืองได้ไปเจอกับผู้ชายคนนี้มาใช่หรือเปล่า?”

 

ถึงแม้ว่าเอริกะจะได้ยินนากาพูดขึ้นมาด้วยความร้อนรน แต่ว่าเธอก็กลับไม่ได้สนใจที่จะหันกลับไปมองถนนเบื้องหน้าเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งยังเอี้ยวตัวไปทางเบาะด้านหลังเพื่อคุ้ยหาอะไรบางอย่างออกมาจากกองเอกสารที่ปลิวกระจายอยู่เต็มเบาะที่นั่งด้านหลังรถเพื่อนำมันมายื่นให้นากาดูอีกด้วย

 

ซึ่งภาพที่ปรากฏอยู่บนภาพถ่ายที่เอริกะไปคุ้ยหามาให้นากาดูนั้นก็คือภาพของชายหนุ่มหูแมวผมสีม่วงคนที่นากา คอนแนล และเนลได้ต่อสู้ด้วยที่หน้าประตูเมืองรีมินัสทางฝั่งตะวันตกเมื่อวานนี้นี่เอง

 

“อ่า… ผู้ชายคนนี้แหล่ะที่พวกฉันไปเจอมาเมื่อวานนี้น่ะ เธอรู้หรือเปล่าว่าเขาคือใครน่ะ?”

 

“จะว่ารู้ก็รู้แหล่ะมั้ง… แต่ฉันขอถามอีกสักครั้งเพื่อความมั่นใจก่อนก็แล้วกันว่าเมื่อวานนี้นายได้เห็นเขาเสียชีวิตไปกับตาแล้วใช่มั้ย?”

 

“ก็น่าจะใช่ล่ะ… ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีใครที่โดนระเบิดเข้าไปในระยะประชิดเป็นสิบลูกแบบนั้นแล้วจะยังรอดได้หรอกมั้งนะ… ถ้าเกิดว่าทางพวกฉันเองไม่ได้คอนแนลช่วยเอาไว้ก็ไม่รู้จะเป็นยังไงเหมือนกัน…”

 

“เฮ้อ… สุดท้ายแล้วก็ไม่มีทางออกอื่นให้เขาเลยจริงๆ งั้นสินะ…”

 

เอริกะที่ได้รับคำตอบไปจากนากาได้ถอนหายใจพร้อมกับพูดบ่นออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะรับรูปภาพกลับมาจากนากาและโยนมันกลับไปที่เบาะหลังแบบส่งๆ แล้วจึงพูดอธิบายออกมาให้นากาฟัง

 

“นายรู้ใช่มั้ยว่าเหตุผลที่ทางเมืองอนุญาตให้โรงเรียนรีมินัสจัดตั้งกองกำลังพิเศษที่ไดเอน่าจังตั้งชื่อว่ากลุ่มดอว์นขึ้นมาเนี่ย สาเหตุหลักๆ เลยมันเป็นเพราะเหตุการณ์การโจมตีที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหนึ่งวันน่ะ… ถ้าจะให้อธิบายเรื่องการโจมตีนั่นง่ายๆ เลยมันก็คือเหตุชิงตัวนักโทษที่อยู่ในระหว่างการส่งตัวมาจากเมืองกราวิทัสน่ะ”

 

“เธอกำลังจะบอกว่าหมอนี่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นด้วยงั้นหรอ?”

 

“อื้ม… เขาเป็นหนึ่งในนักโทษจากเมืองกราวิทัสที่ถูกชิงตัวไปน่ะ เห็นว่ากันว่าเขาเป็นหนึ่งในตัวการหลักที่วางแผนระเบิดห้องเก็บผลงานของฉันไปก็เลยถูกส่งตัวมาที่นี่เพื่อให้ทางเมืองรีมินัสไต่สวนน่ะ”

 

“เอ๋ะ? แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องนั้นมันเป็นฝีมือของเวก้าหรอกหรอ?”

 

“หืม…?”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของนากาได้ชะงักไปเล็กน้อยด้วยความสงสัย แต่เมื่อเอริกะได้คิดดูดีๆ แล้วเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าถึงแม้ว่าพวกนากาจะเป็นคนที่จัดการกับเวก้าไปได้ก็ตาม แต่ว่าจริงๆ แล้วตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังของเหตุระเบิดในห้องเก็บผลงานที่ว่าและตัวเธอเองก็ยังไม่เคยได้อธิบายให้เขาฟังอีกด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะที่คิดว่าพวกเด็กๆ อย่างนากาไม่จำเป็นต้องมารับรู้เรื่องเก่าๆ ของพวกเธอได้ตัดสินใจที่จะทำเป็นเออออตามเขาไปก่อน

 

“จะว่าอย่างงั้นมันก็ใช่นั่นล่ะ… แต่ว่าทางด้านฉันเองก็มั่นใจด้วยว่าตอนนั้นเวก้าเขาก่อเหตุด้วยตัวคนเดียว เพราะงั้นไม่มีทางที่จะมีคนจากเมืองอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรอก…”

 

“เดี๋ยวสิ— ถ้างั้นมันก็หมายความว่าผู้ชายผมสีม่วงคนนั้นถูกส่งตัวมาที่รีมินัสนี่ด้วยความผิดที่เขาไม่ได้ก่องั้นหรอ?”

 

“อ่า… แต่ว่าเรื่องแบบนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสักเท่าไหร่หรอกนะ… สำหรับโลกใบนี้น่ะ…”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของนากาได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาเกาแก้มของตัวเองและพูดตอบนากากลับไปเบาๆ ก่อนที่เธอจะแกะข้าวกล่องของคอนแนลออกมาและตักมันเข้าปากไปแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“เอาจริงๆ แล้วเรื่องนี้มันซับซ้อนกว่าที่ทางเมืองประกาศออกมาน่ะ… เพราะว่าเท่าที่ฉันตรวจสอบดูฉันได้ความมาว่าผู้ชายผมม่วงคนนั้นน่ะเคยเป็นหนึ่งในขุนนางของเมืองกราวิทัสมาก่อนแถมยังมีตำแหน่งค่อนข้างจะสูงด้วย… แต่ว่าอยู่มาวันนึงอยู่ๆ เขากับภรรยาก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนที่เขาจะโผล่กลับมาอีกครั้งในฐานะนักโทษที่ถูกส่งตัวมาเนี่ยล่ะ… ถึงฉันจะไม่แน่ใจว่าเขาทำผิดอะไรมาถึงโดนลงโทษก็เถอะ แต่ฉันมั่นใจว่ามันไม่ใช่ด้วยสาเหตุที่ทางเมืองประกาศออกมาแน่ๆ ล่ะ”

 

“อย่างนั้นเองสินะ… ว่าแต่ถ้าพูดถึงเรื่องลงโทษนี่ตอนนี้ไดเอน่าเขาเป็นยังไงบ้างล่ะเนี่ย?”

 

“ถ้าไดเอน่าจังล่ะก็ก่อนหน้านี้ฉันลองแวะไปดูมาแล้วล่ะ เห็นว่าเธอถูกหมายเรียกตัวไปตั้งแต่เช้ามืดเลยน่ะ แต่ถ้าคิดตามปกติแล้วด้วยตำแหน่งภายในตระกูลของไดเอน่าแล้วเธอไม่น่าจะโดนลงโทษอะไรมากมายนักหรอก อย่างมากก็น่าจะแค่ถูกกักตัวสักวันสองวันล่ะมั้ง”

 

“อื้ม… ถ้ายังไงเดี๋ยวตอนขากลับฉันขอแวะไปดูเขาสักหน่อยก็แล้วกันนะ”

 

“ได้สิ เอาไว้เดี๋ยวตอนกลับไปถึงเมืองฉันจะขับไปส่งนายให้เองก็แล้วกัน”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงแบบที่เธอทำเป็นประจำ แต่ถึงกระนั้นนากาที่ยังคงรู้สึกโศกเศร้ากับความสูญเสียก็ยังไม่สามารถพูดตอบเธอกลับไปด้วยรอยยิ้มแบบเมื่อก่อนได้อยู่ดีจนทำให้ทั้งสองคนได้แต่นั่งกินข้าวกล่องของคอนแนลไปอย่างเงียบๆ อยู่สักพักหนึ่งก่อนที่นากาจะพูดถามเรื่องที่คาใจเขาอยู่สักพักหนึ่งแล้วออกมา

 

“ว่าแต่แล้วนี่สรุปว่าเมื่อวานนี้อารอนเขาก็กลับไปที่หมู่บ้านด้วยเหมือนกันจริงๆ หรือเปล่าน่ะ?”

 

“อื้ม… เห็นนิลิมเขารายงานฉันมาว่าเธอได้อารอนเข้ามาช่วยเอาไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะพานายหนีออกมาจากที่นั่นน่ะ… แต่ว่าเรสเนอร์ที่กลับมาทีหลังก็ดันบอกว่าหลังจากที่เสาแสงนั่นหายไปแล้วเธอก็ไม่เห็นวี่แววของใครที่อาจจะอยู่ด้านในนั้นเลยเนี่ยสิ…”

 

“งั้นหรอ… แม้แต่อารอนก็ยัง…..”

 

นากาที่ได้ยินคำตอบของเอริกะได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความเศร้าหมองพร้อมกับพูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองเอริกะจะชิงพูดดักขึ้นมาเหมือนกับเธอรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

 

“แต่นายไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ ฉันเชื่อว่าอารอนจะต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ อยู่แล้วล่ะ แล้วนายเองก็ควรจะเชื่อแบบนั้นเหมือนกันนะนากาคุง…”

 

“…แต่ไหนเธอบอกว่าเรสเนอร์ไม่เห็นใครเหลืออยู่เลยนี่?”

 

“ก็เพราะเรสเนอร์ไม่เห็นใครเหลืออยู่ที่นั่นเลยมันก็เลยหมายความว่าพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่ยังไงล่ะ”

 

“…….”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้นิ่งเงียบจ้องมองนักประดิษฐ์สาวอยู่สักพักใหญ่ๆ จนเขาได้พบว่าในแววตาของเอริกะไม่มีความลังเลในสิ่งที่เธอพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องละสายตาออกมาและนั่งกินข้าวต่อไปเงียบๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เอริกะจึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“จะว่าไปจากรายงานของไดเอน่าจังนี่ดูเหมือนว่าทหารที่บุกเข้ามาโจมตีประตูเมืองเมื่อวานนี้จะแต่งตัวคล้ายๆ ทหารยามของเมืองรีมินัสแล้วก็พวกคนที่บุกไปที่หมู่บ้านของนายใช่มั้ยใช่มั้ยน่ะ?”

 

“อื้ม… แต่ว่าพวกนั้นทุกคนใส่หมวกแบบคลุมทั้งหัวเอาไว้น่ะไม่เหมือนกับของพวกทหารยามในเมืองที่เป็นแค่หมวกเกราะธรรมดาๆ หรือไม่ก็แทบจะไม่ใส่กันเลย… แถมหมวกของทหารพวกนั้นยังแน่นซะอย่างกับว่าทากาวเอาไว้อีกแหน่ะ ตอนนั้นฉันเห็นคอนแนลใช้โล่ฟาดเข้าไปเต็มๆ หมวกของพวกนั้นก็ยังไม่หลุดออกมาเลย”

 

“งั้นหรอ… แล้วนายพอจะจำตราที่ไหล่ของทหารพวกนั้นได้หรือเปล่าว่ามันเป็นสัญลักษณ์อะไรหรือว่ามีสีอะไรน่ะ?”

 

“ตราที่ไหล่งั้นหรอ…? อืม… ถ้าของพวกที่บุกมาระเบิดประตูเมืองนี่ฉันนึกไม่ออกแฮะ แต่ว่าถ้าเป็นของพวกทหารที่บุกไปที่หมู่บ้านนี่ฉันจำได้ว่ามันเป็นตรากลมๆ สีน้ำเงินๆ ไม่ก็สีออกฟ้าๆ น่ะ”

 

นากาพยายามนั่งนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้อยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะพูดตอบเธอกลับไปจนทำให้เอริกะได้ตัดสินใจที่จะเอี้ยวตัวกลับไปคุ้ยหาอะไรบางอย่างที่เบาะด้านหลังอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงยื่นรูปภาพใบใหม่ไปให้นากาดูอีกครั้งพร้อมกับพูดถามขึ้นมา

 

“แล้วนายเคยเห็นสัญลักษณ์อันนี้บ้างหรือเปล่าล่ะ?”

 

“เจ้านี่มัน—!?”

 

“ใช่อันนี้จริงๆ ด้วยสินะ…”

 

ท่าทีของนากาหลังจากที่เขาได้เห็นรูปของตราสัญลักษณ์ทรงวงกลมที่มีพื้นหลังเป็นผืนฟ้าประดับไปด้วยดวงดาวระยิบระยับในขณะที่ตรงกลางของวงกลมนั้นก็มีประภาคารสีขาวที่กำลังส่องแสงสว่างสีขาวประดับด้วยลวดลายสีทองออกไปทางด้านข้างทั้งซ้ายทั้งขวานั้นสามารถทำให้เอริกะทราบได้ในทันทีว่าเด็กหนุ่มข้างกายของเธอรู้จักตราสัญลักษณ์อันนี้เป็นอย่างแน่นอน

 

ซึ่งนากาที่สามารถจดจำสัญลักษณ์เบื้องหน้าได้เป็นอย่างดีเนื่องจากว่ามันถูกประดับเอาไว้บนไหล่ของเหล่าทหารที่ไม่รู้จักความเจ็บปวดที่บุกไปที่หมู่บ้านโมริโกะก็ได้หันกลับไปหาเอริกะและพูดคาดคั้นเธอขึ้นมาในทันที

 

“เธอรู้ว่าตรานี่มันคือตราของอะไรหรอเอริกะ!?”

 

“เรื่องนั้น… นายเองก็น่าจะพอรู้ใช่มั้ยว่ามันเป็นกฎที่ว่าเครื่องแบบของทหารของแต่ละเมืองจะต้องมีตราสัญลักษณ์ระบุเอาไว้ให้เห็นอย่างชัดเจนน่ะ…”

 

“เรื่องนั้นฉันก็พอจะสังเกตเห็นอยู่บ้างนั่นล่ะ… อย่างตอนที่ไปที่กราวิทัสฉันก็เห็นทหารของที่นั่นติดตราเอาไว้ที่ไหล่อยู่เหมือนกัน”

 

“อื้อ แล้วส่วนมากตราพวกนี้เขาจะออกแบบมันให้เป็นเอกลักษณ์ให้มันแยกแยะได้ง่ายๆ น่ะ อย่างถ้านายเห็นตราสัญลักษณ์รูปหมาป่านายก็จะรู้ได้ทันทีเลยว่าพวกเขามาจากเมืองแพนเทร่าหรือว่าอะไรอย่างงี้ ถึงถ้าเกิดว่านายอยากรู้ว่าพวกเขามาจากหน่วยอะไรกันแน่นายจะต้องไปตรวจดูสัญลักษณ์อย่างละเอียดๆ ดูอีกครั้งนึงก็เถอะนะแต่ว่ายังไงตรารูปหมาป่ามันก็จะช่วยยืนยันว่าพวกเขามาจากเมืองแพนเทร่าแน่ๆ อยู่แล้วน่ะ…”

 

คำตอบของเอริกะได้ทำให้นากาชะงักนิ่งไปสักพักใหญ่ๆ เพราะถ้าเขาจำไม่ผิดสัญลักษณ์ของเมืองต่างๆ จะถูกแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน อย่างเช่นว่าเมืองแพนเทร่าจะใช้สัญลักษณ์เป็นรูปของสัตว์มีหูทั้งหลายแหล่ ส่วนเมืองกราวิทัสนั้นจะใช้สัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับลูกโลก ภูมิประเทศหรือว่าดวงดาวต่างๆ ในขณะที่เมืองซายูกิจะใช้ดอกไม้ต่างๆ เป็นรูปสัญลักษณ์

 

แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้นากานิ่งไปนั้นก็กลับเป็นภาพของสัญลักษณ์รูปประภาคารในมือของเขาที่เขาได้เรียนมาจากในโรงเรียนว่ามันมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งที่มักจะใช้สิ่งของที่ให้ความสว่างต่างๆ นาๆ เป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง

 

“ถ…ถ้างั้นไอ้ตรารูปประภาคารนี่มันก็….”

 

“อื้ม… มันเป็นตราของหนึ่งในหน่วยพิเศษของเมืองรีมินัสน่ะ…”

 

“นี่เธอกำลังจะบอกว่าไอ้พวกในวังหลวงมันเป็นคนส่งกองทหารออกมาถล่มหมู่บ้านของฉันอย่างงั้นหรือไง!?”

 

“…มันก็มีแค่โอกาสเป็นไปได้น่ะ”

 

“—!!”

 

กร๊อบ—

 

นากาที่ได้ยินคำตอบของเอริกะได้เผลอบีบช้อนไม้ในมืออีกข้างของเขาแน่นจนมันหักเป็นสองท่อน ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะที่เห็นนากากำลังจ้องมองตรารูปประภาคารในมือของเขาด้วยสีหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อต้องรีบพูดขึ้นมาให้เขาใจเย็นลงก่อน

 

“นายพยายามทำใจเย็นๆ ก่อนเถอะนะนากาคุง เพราะถึงนายจะเห็นทหารพวกนั้นติดตรานี่เอาไว้บนไหล่ก็เถอะ แต่ว่ามันอาจจะไม่ใช่ฝีมือของพวกคนในวังจริงๆ ก็ได้นะ เพราะงั้นขอเวลาให้ฉันได้ลองตรวจสอบดูสักพักนึงก่อนเถอะ แล้วถ้าเกิดได้เรื่องออกมายังไงฉันจะบอกนายเป็นคนแรกเลยนะตกลงมั้ย?”

 

“แต่ว่าเจ้าพวกนั้นมัน—!!!”

 

“ถ้าเกิดว่ามันเป็นฝีมือของทางเมืองจริงๆ ล่ะก็นายแค่ตัวคนเดียวทำอะไรกับเมืองรีมินัสทั้งเมืองไม่ได้หรอกนะ!! เพราะงั้นขอเวลาให้ฉันตรวจสอบเรื่องนี้สักพักนึงก่อนเถอะ ถ้าเกิดว่ามันเป็นฝีมือของพวกในวังหลวงจริงๆ ล่ะก็ฉันจะเป็นคนออกหน้าช่วยนายจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเลย!!”

 

“—!!”

 

คำพูดของเอริกะได้ทำให้นากานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ที่เธอพุ่งเข้าไปต่อยหน้าของสารวัตรทหารที่กำลังพยายามจับเขาไปยัดเข้าคุกขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาตัดสินใจว่าเขาจะเชื่อใจเอริกะต่อไปจนพยายามทำใจให้เย็นลงได้สำเร็จก่อนที่เขาจะพูดถามเอริกะขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยความหวาดระแวงต่อสิ่งต่างๆ ภายในเมืองที่เขาอาศัยอยู่

 

“แล้วทางโรงเรียนรีมินัสล่ะ มีโอกาสที่พวกเขาจะเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า?”

 

“พวกเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้หรอก เพราะทางโรงเรียนเองก็เหมือนกับฉันที่ต้องเข้าไปยุ่งกับทางวังหลวงเพียงเพราะว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่เฉยๆ น่ะ ถ้าเกิดว่าพวกเขาย้ายโรงเรียนไปตั้งที่อื่นได้พวกเขาก็คงจะทำไปนานแล้วล่ะ”

 

“เธอมั่นใจนะ…?”

 

“อื้ม เรื่องนี้เชื่อใจฉันได้เลย ฉันรู้จักกับผู้อำนวยการของโรงเรียนรีมินัสคนนี้มาตั้งนานแล้ว แล้วฉันก็บอกได้เลยว่าเขาไม่ชอบทางเมืองกับทางวังหลวงพอๆ กับตัวนายในตอนนี้นี่ล่ะ… เดี๋ยวนายรอจนเขาได้รู้ก่อนเถอะว่าทางวังหลวงเพิ่งจะจับตัวไดเอน่าจังที่เป็นเด็กนักเรียนของเขาไปลงโทษน่ะว่ามันจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาในวังมากมายขนาดไหน~”

 

คำตอบของเอริกะได้ทำให้นากาลองนึกย้อนๆ กลับไปดูเกี่ยวกับเรื่องของท่านผู้อำนวยการผู้ที่ไม่ยอมถอดชุดเกราะคนนั้นและนึกขึ้นมาได้ถึงเหตุการณ์เมื่อตอนที่เขาได้พบท่านผู้อำนวยการตอนที่ปู่แม็กซ์เรียกตัวเขาไปพบนั้นท่านผู้อำนวยการดูให้ความเคารพปู่แม็กซ์มากจนไม่ห่วงหน้าตาของตัวเองต่อหน้าเด็กนักเรียนอย่างเขาเลยแม้แต่น้อยแตกต่างกับเหล่าลูกหลานขุนนางที่เขารู้จักที่มักจะห่วงหน้าห่วงตาตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาที่คิดได้แบบนั้นก็เลยพอที่จะวางใจเรื่องของโรงเรียนรีมินัสขึ้นมาได้บ้าง

 

“แต่ก็นะ… เพราะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี่ทางวังหลวงอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยฉันก็เลยต้องรีบมาตรวจสอบก่อนเลยในวันนี้ก่อนที่พวกเขาจะได้มีโอกาสเข้ามาทำลายหลักฐานน่ะ… ถึงฉันจะไม่แน่ใจว่าจะยังมีอะไรเหลืออยู่ตรงจุดที่เคยเป็นหมู่บ้านของนายหรือเปล่าก็เถอะนะ…”

 

“งั้นหรอ… ว่าแต่ทำไมเธอถึงชวนฉันให้มาด้วยกันทั้งๆ ที่เมื่อวานนี้เธอยังดูลังเลที่จะบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องหมู่บ้านอยู่เลยล่ะ?”

 

“เรื่องนั้น… นายเชื่อฉันเถอะว่าต่อให้ฉันจะดูเป็นคนไม่เอาไหนขนาดไหนก็เถอะ แต่ว่าฉันเองก็ไม่อยากจะให้คนที่เพิ่งเจอเรื่องแบบนายมาต้องกลับไปในสถานที่เกิดเหตุในวันรุ่งขึ้นเลยหรอกนะ… จริงๆ แล้วฉันอยากจะให้นายได้พักแล้วก็อยู่ดูแลโมโกจังเขาจะตายไป… แต่เชื่อฉันเถอะว่าตัวนายจะมีประโยชน์ในการสำรวจทุ่งหญ้าที่เปรียบเสมือนทะเลมรกตที่โผล่มาแทนหมู่บ้านของนายมากที่สุดเลยน่ะ…”

 

“อ่า… ถ้าเกิดว่ามันเป็นสถานที่ที่ไม่มีวิซอยู่เลยเหมือนอย่างในทะเลมรกต ตัวฉันที่ไม่มีวิซอยู่เลยเหมือนกันก็น่าจะเข้าไปได้อย่างปลอดภัยที่สุดแล้วงั้นสินะ”

 

คำพูดของนากาได้ทำให้เอริกะพยักหน้ากลับไปให้เขาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาต่ออีกครั้ง

 

“อื้ม… เอาจริงๆ แล้วฉันเองก็ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสเจอสถานที่ที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นทะเลมรกตแบบนี้อีกครั้งเหมือนกัน… อ๋อ แล้วนายก็ไม่ต้องกลัวเรื่องผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นถ้านายเข้าไปข้างในนั้นหรอกนะ ฉันส่งเอริซาเบธไปประจำการที่นั่นตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ… ถึงเมื่อคืนนี้เธอน่าจะยุ่งอยู่กับการจัดการพวกทหารที่ยังเหลืออยู่จนแทบไม่ได้นอนก็เถอะแต่ว่าเรื่องฝีมือการรักษาของเอริซาเบธน่ะนายไว้ใจได้เลย”

 

“ตะกี้นี้เธอบอกว่ายังมีศัตรูเหลืออยู่อีกงั้นหรอ? ไม่ใช่ว่าเจ้าพวกนั้นมันเดินตรงเข้าไปที่หมู่บ้านจนโดนเสาแสงนั่นกลืนหายไปหมดแล้วหรอกหรอ?”

 

“อื้ม… ฉันคิดว่าน่าจะเป็นพวกที่ประจำการอยู่รอบนอกจนเดินกลับเข้าไปรวมกลุ่มในตอนท้ายไม่ทันก็เลยไม่โดนแสงนั่นกลืนเข้าไปด้วยน่ะ เห็นเอริเขารายงานมาว่าเหมือนจะเจอเจ้าพวกนั้นประจำการอยู่ตามจุดต่างๆ กระจายกันไปทั่วพื้นที่น่ะ”

 

“แล้ว… ถ้าเกิดว่าฉันเจอพวกมันฉันขอจัดการเลยได้หรือเปล่า…?”

 

“……..”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของนากาได้ชะงักไปเล็กน้อยและจ้องมองเขาอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะจัดการเก็บข้าวกล่องที่กินเสร็จแล้วและโยนมันไปไว้ที่เบาะด้านหลังแล้วจึงหันไปให้ความสนใจกับพวงมาลัยรถและหนทางเบื้องหน้าที่เธอละความสนใจจากพวกมันมาสักพักหนึ่งแล้วแล้วจึงเอ่ยปากพูดตอบนากากลับไป

 

“ถึงฉันจะคิดว่าเอริซาเบธน่าจะจัดการทหารพวกนั้นไปหมดแล้วก็เถอะนะ แต่ถ้าเกิดว่านายบังเอิญไปเจอทหารพวกนั้นเข้าจะจัดการไปเลยก็ได้ฉันไม่ว่าอะไรหรอก เพราะยังไงซะพื้นที่รอบๆ หมู่บ้านโมริโกะที่กลายเป็นทุ่งหญ้าไปมันก็ไม่ใช่แคบๆ ซะด้วยสิ เพราะงั้นอาจจะยังมีทหารพวกนั้นเหลือรอดอยู่บ้างก็ได้”

 

“นั่นสินะ… ถ้ารวมป่ารอบๆ หมู่บ้านเข้าไปด้วยมันก็ตั้งหลายสิบกิโลอยู่เหมือนกันนี่นะ”

 

นากาพยักหน้าตอบเอริกะกลับไปเบาๆ ก่อนที่เขาจะเบนสายตาออกไปมองวิวรอบข้างที่กำลังพุ่งผ่านไปด้วยความรวดเร็วอยู่แทน ในขณะที่ทางด้านเอริกะนั้นถึงแม้ว่าเธอจะมีท่าทีเศร้าหมองลงไปบ้างเมื่อเธอเห็นว่านากามีความแค้นกับกลุ่มทหารเหล่านั้นมากจนถึงขั้นที่อยากจัดพวกเขาให้หมดสิ้นแต่ว่าเธอก็ไม่ได้พูดห้ามปรามอะไรเขาออกมาและได้แต่หวังว่านากาจะไม่ฝืนทำอะไรเกินตัวและพยายามที่จะพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา

 

“แล้ว… เรื่องพรีมูล่านี่นายจะเอายังไงต่อล่ะนากาคุง…? จากที่ฉันได้ยินมาดูเหมือนว่าพรีมูล่าเขาจะสนิทกับเพื่อนๆ ในห้องอยู่หลายคนเลยนี่นา ถึงมันจะเจ็บปวดแต่ฉันคิดว่าพวกเขาสมควรที่จะได้รับรู้เรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เหมือนกันนะ”

 

“…….”

 

ชื่อของพรีมูล่าที่ดังขึ้นมาอีกครั้งนั้นได้ทำให้นากานิ่งเงียบไปและแผ่บรรยากาศเศร้าโศกออกมาอีกครั้งหนึ่งจนทำให้เอริกะได้แต่ต้องเอื้อมมือไปตบบ่าของนากาเบาๆ และพูดขึ้นมา

 

“ถ้าเกิดว่านายยังไม่ได้คิดเอาไว้ก็ปล่อยเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน…”

 

“อื้ม…”

 

นากาพูดตอบเอริกะกลับไปเบาๆ ก่อนที่การเดินทางของพวกเขาจะตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันไปตลอดการเดินทางที่เหลืออยู่ถึงแม้ว่าเอริกะที่เป็นคนขับรถนั้นจะได้ละความสนใจไปจากถนนหนทางเบื้องหน้าและพวงมาลัยอยู่เป็นพักๆ เพื่อพูดตอบการสื่อสารผ่านเครื่องสื่อสารของเธอที่มีคนติดต่อมากลับไปหรือไม่ก็เพื่อเอื้อมมือไปหยิบเอกสารจากเบาะด้านหลังมาอ่านอยู่เป็นครั้งคราวจนดูราวกับว่ารถยนต์ของพวกเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนขับอย่างเธอเลยแม้แต่น้อยก็ตามที

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Status: Ongoing
เมื่อคำสัญญาจากอดีตได้หวนคืนกลับมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกหยิบยืมไป การเดินทางของคนถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งเพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน