บทที่ 9 มันช่างน่าทึ่ง!
บทที่ 9 มันช่างน่าทึ่ง!
ฟางชิวยังรู้ว่าตัวเองไม่ควรเอ้อระเหยนานไปกว่านี้แล้ว เขามาอยู่บนเวทีนี้เพื่อการแสดง หลังจากที่อุ่นเครื่องด้วยมุขตลกไปแล้ว เขาก็เริ่มตั้งสมาธิโดยการหลับตาลง…
เมื่อเห็นฟางชิวเป็นแบบนี้ เหล่าผู้ชมก็เริ่มสงบลง
สายตานับไม่ถ้วนพากันจับจ้องไปที่ฟางชิว ทุก ๆ คนต่างรอดูการแสดงของฟางชิว
พวกเขาอยากรู้ว่าผู้ชายตลกคนนี้จะทำการแสดงแบบไหน?
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ไฟทั้งหมดบนเวทีก็มืดสนิท มีเพียงแสงหนึ่งเท่านั้นที่ส่องมาทางเขา
แสงที่ส่องมานั้นทำให้ฟางชิวดูเหมือนเทวดาที่เพิ่งลงมาจากสวรรค์ ทั้งศักดิ์สิทธิ์และดูหล่อเหลาเกินมนุษย์
ฟางชิวค่อย ๆ ลืมตาอีกครั้งแล้วยกมือของตัวเองขึ้น จากนั้นก็ประสานมือแล้วจรดที่ปาก
เมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้ชมก็พากันงุนงงเล็กน้อย “การแสดงฟลูตมือนั่น ที่เขาทำคือการหายใจเข้าออกผ่านมือเท่านั้นเองเหรอ?
ในขณะที่ทุกคนกำลังงงงวย ท่วงทำนองที่คุ้นเคยและไพเราะก็ดังออกมาจากมือของฟางชิว ซึ่งเสียงนั้นก็ถูกเผยแพร่ไปทั่วบริเวณงานผ่านไมโครโฟน
หลายคนรู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเองกำลังสั่นไหว ดวงตาของพวกเขาเบิกโพลง ต่างพากันจ้องมองไปที่มือของฟางชิว
นี่มันน่าทึ่งมาก!
น่าทึ่ง!
ความรู้สึกประหลาดใจนี้มันช่างเกินบรรยาย!
สิ่งที่ฟางชิวทำก็มีเพียงแค่การหายใจเข้าออกและใช้มือบรรเลงบทเพลงเท่านั้น
นี่มันล้ำเกินไปแล้ว!
ทันทีที่ท่วงทำนองบรรเลงออกมา ดวงตาคู่งามของเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็มองไปยังฟางชิว
มันยิ่งทำให้หญิงสาวนึกประหลาดใจยิ่งกว่าเมื่อพบว่าเขาใช้มือของตัวเองเป็นเครื่องดนตรี และยังเป่าเพลงให้ไพเราะขนาดนี้ได้
เขาเป่าฟลูตมือได้เหมือนกับเป็นฟลูตปกติ ฟางชิวเล่นได้อย่างราบรื่นและไพเราะไร้ที่ติ ไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ เลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าเธอไม่ได้เห็นมัน เธอจะไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าจะมีคนที่สามารถเล่นเพลงท่วงทำนองที่ไพเราะจับใจได้โดยใช้เพียงสองมือเปล่า
ในตอนนี้ หลี่ชิงสือที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ เธอก็อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฟางชิวจะมีพรสวรรค์ขนาดนี้
ตัวหลี่ชิงสือนั้นได้มีโอกาสเรียนการเล่นเครื่องดนตรีแบบจีนโบราณมาบ้าง ดังนั้นเขาจึงรู้ว่า ถ้าฟางชิวเป่าฟลูตมือได้ จะต้องสามารถเป่าขลุ่ยไม้ไผ่ได้ด้วยแน่นอน…
หรืออาจจะเป่าโอคารินา*[1] ได้ด้วย!
“พรสวรรค์นี้ถือเป็นเครื่องมือทรงพลังมากที่จะใช้เอาชนะใจสาวมหาวิทยาลัย!”
“คิดกันเอานะว่าจะมีผู้หญิงคนไหนที่จะไม่อยากได้แฟนที่ทั้งหล่อและเก่งแบบนี้กัน?”
ในฐานะที่เป็นนักแสดงบนเวที หลี่ชิงสือย่อมรู้ดีว่านักแสดงมีอิทธิพลต่อผู้ชมอย่างไร
ชายหนุ่มหันไปมองเจียงเหมี่ยวอวี๋ที่อยู่ในชุดธรรมดาก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ในขณะเดียวกันก็นึกรู้สึกเสียดายที่ตัวเองอยู่ในตำแหน่งประธานสมาคมนักศึกษาแพทย์แผนจีน เขาจึงไม่ได้ขึ้นไปแสดง
ในตอนนี้ ชายหนุ่มไม่สามารถเอาชนะฟางชิวได้เลย
อย่างไรก็ตาม หลี่ชิงสือก็ไม่ได้อิจฉาฟางชิวแต่อย่างใด ไม่ว่าบรรดาสาว ๆ จะคิดอะไรอยู่นั้น สำหรับชายหนุ่มนั้น เขาสนใจและใส่ใจแต่เจียงเหมี่ยวอวี๋เท่านั้น เขาเห็นเธอครั้งแรก หัวใจก็พลันถูกชิงไป เขาจึงตัดสินใจเสร็จสรรพเอาเองเลยว่าเธอคือผู้หญิงที่ตนจะแต่งงานด้วย!
เมื่อเห็นการแสดงเป่าฟลูตมือบนเวทีมหัศจรรย์ยิ่งกว่าที่แสดงให้เธอดูในห้องสมุดเมื่อวานนี้ หลิวเฟยเฟยก็รู้สึกดีและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ดีที่เขาไม่ได้ทำผิดพลาดในช่วงเวลาสำคัญล่ะนะ”
“แต่มันก็ยังแย่มากที่เขาไม่แสดงความสามารถให้เต็มที่ในห้องสมุดเมื่อวานนี้ ฮึ่ม! ถ้าเขาแสดงบนเวทีเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะต้องให้บทเรียนเขา!”
รูมเมตของฟางชิวทั้งสามคนมองสาว ๆ ที่อยู่รอบตัว ก่อนพบว่าใบหน้าของพวกเธอทั้งตกใจปนชื่นชม ทำให้ทั้งสามได้แต่มองหน้ากันแล้วยิ้มแหย ๆ
ดูเหมือนสิ่งที่พวกเขาคาดเดากันไว้ถูกจริง ๆ ด้วย!
เจ้าน้องเล็กมันเป็นผู้ชายเจ้าเสน่ห์ เขามีทุกอย่างที่ทำให้ผู้หญิงทุกคนหลงใหล… เป็นศัตรูของผู้ชายทุกคน!
แต่การแสดงและความสามารถของเจ้าน้องเล็กก็ดีมากจริง ๆ! ในฐานะที่เป็นรูมเมตกัน พวกเขาเองก็ภูมิใจในตัวฟางชิวแม้จะอิจฉาก็ตาม
มีเสียงปรบมือดังมากให้กับเจ้าน้องเล็กของพวกเขา!
การแสดงยังคงดำเนินต่อไป
ฟางชิวก็ยังคงเป่าฟลูตมือต่อไป
เขาแทบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองยืนอยู่บนเวที ลืมการมีอยู่ของผู้ชมด้วย
แม้แต่กับทำนองดนตรี!
ดูราวกับว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้…
“ใครเล่นเพลงนี้กันน่ะ? ไม่รู้!”
“เล่นเพลงอะไร? ไม่รู้!”
“เล่นให้กับใครงั้นเหรอ? ไม่รู้!”
ฟางชิวลืมตัวเอง ในขณะที่ผู้ชมที่อยู่หน้าเวทีเริ่มรู้สึกเหมือนหลุดจากโลกสมัยใหม่ ย้อนกลับไปสู่ยุคโบราณที่มีวิวทิวทัศน์เหมือนภาพวาด
พวกเขามองเห็นพื้นที่แถบเจียงหนานที่มีสายฝนโปรยปราย สาวงามในชุดสีขาวกำลังรอพวกเขาอยู่
เสียงของสายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านเนินเขาสีเขียวลงไปตามลำธารอันคดเคี้ยว…
‘…ช่างฝีมือวาดเค้าร่างด้วยมือที่บริสุทธิ์และดินสอสีดำบาง ความรักและความเกลียดชังทั้งหมดถูกใส่ไว้ในเครื่องเคลือบดินเผาสีฟ้าและสีขาว…’
‘…ข้ารอเจ้าอยู่ แต่เจ้านั้นอยู่หนใด?’
‘…ข้ารอเจ้าอยู่ท่ามกลางสายฝนในเจียงหนาน…’
‘…เจ้าอยู่หนใดกันนะ?’
เหล่าผู้ชมไม่ว่าจะชายและหญิงต่างดูเหมือนจะเห็นตัวเองถือร่มรอรักแท้ของตนเองหวนคืนมา
ช่างเป็นท่วงทำนองที่งดงาม
เป็นเรื่องราวความรักที่แสนสะเทือนใจ
ทุกคนต่างพากันตกอยู่ในภวังค์
ลุ่มหลงอยู่ในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่าเพลงจะจบลงแล้ว แต่ทุกคนก็ดูเหมือนจะยังไม่ตื่นจากภวังค์เสียงเพลงนี้
แต่ละคนล้วนอยู่ในภวังค์ของความปรารถนาที่จะอยู่นานนับพันปี
หนึ่งนาทีหลังจากที่การแสดงจบลง เหล่าผู้ชมต่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่ขยับตัวไปไหนราวกับรูปปั้น
หลังจากบทเพลงถูกบรรเลงจบลง เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็ลอบถอนหายใจก่อนจะตื่นจากสถานการณ์ที่เหมือนกับฝันอันงดงามกลับมาสู่โลกความเป็นจริง ดวงตาของเธอยังคงขับความว่างเปล่าออกมา
หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองรอชายคนรับมานานนับพันปีให้กลับมาครองรักกับเธออีกครั้ง
“แต่… เขาคนนั้นจะอยู่ที่ไหนกันนะ?”
“เมื่อเขามาถึง พวกเราจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหมดและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตไหมนะ?”
เธอไม่มีทางรู้ได้เลย
หลี่ชิงสือเหลือบมองไปที่เจียงเหมี่ยวอวี๋ด้วยความหลงใหลเป็นอย่างมาก ดวงตาของชายหนุ่มในยามนี้เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
บทเพลง ‘Blue and White Porcelain’ ที่ฟางชิวเพิ่งจะเป่าไปดูเหมือนจะทำให้เขาเข้าใจว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋กำลังรอเขาอยู่นับพันปีแล้ว
แล้วในตอนนี้หญิงสาวก็ได้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว จะปล่อยเธอไปได้อย่างไร?
สำหรับเรื่องของฟางชิวนั้น หลี่ชิงสือลืมไปแล้ว
นาทีต่อมา เหล่าผู้ชมต่างพากันปรบมือดังลั่นให้กับฟางชิวสำหรับทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้
พวกเขาปรบมือกันจนมือแดง แต่ก็ไม่มีใครรู้สึกเจ็บแต่อย่างใด
มันน่าทึ่งมาก!
สายตาของเหล่าผู้ชมต่างพากันจับจ้องไปที่ร่างสูงบนเวทีด้วยความชื่นชมและนับถือ
พวกเขาไม่สามารถหาคำอธิบายจากเหตุการณ์ทั้งหมดได้จริง ๆ
ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ก็มีเพียงปรบมือ
เสียงปรบมือดังสนั่นยังคงดำเนินต่อไป
โดยเฉพาะกับสาว ๆ พวกเธอต่างปรบมือราวกับคนเสียสติ ใบหน้าต่างแดงแจ๋เป็นแถบ ๆ
ฟางชิวถูกดึงตัวกลับมายังโลกแห่งความจริงอีกครั้งด้วยเสียงปรบมืออันกึกก้อง ตอนแรกชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ยอมเผยยิ้มออกมา
เขากลับมาอยู่ในภาวะลืมทุกอย่างอีกครั้ง
ในช่วงปีที่สองของเขาในโรงเรียนมัธยม เขาตกอยู่ในภาวะเดียวกันนี้ เป็นจังหวะตอนนี้บรรลุเข้าถึงระดับปรมาจารย์ได้อย่างรวดเร็วพอดิบพอดี
ชายหนุ่มไม่เคยคาดหวังว่าวันนี้เขาจะบรรลุอีกครั้ง
อาจารย์เคยบอกกับเขาไว้ว่า เมื่อเขาเข้าสู่ภาวะนี้ ชายหนุ่มควรพยายามสัมผัสมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขาจะสามารถกลับมาได้เมื่อไร
แต่เนื่องจากสถานการณ์ในตอนนี้ เขาจึงยังไม่สามารถใช้เวลาในการสำรวจตัวเองมากนัก อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มก็หวังว่า หลังจากนี้จะมีภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง… ที่สาม… และที่สี่ต่อ ๆ มา!
หลังจากโค้งคำนับให้กับเสียงปรบมือของผู้ชมแล้ว ฟางชิวก็เดินลงจากเวที
เมื่อเขากลับเข้าไปในที่นั่งของกลุ่มห้องเรียนตัวเอง รูมเมตทั้งสามก็มองเขาด้วยแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย พวกเขาพากันยกนิ้วโป้งให้แล้วพูด “เจ้าน้องเล็ก ในเมื่อนายประกาศกับทุกคนว่าพวกเรายังโสด ทำไมนายไม่สนใจจะช่วยแก้ปัญหาโสดให้พวกเราล่ะ?”
“ฉันจะช่วยแก้ปัญหาให้ได้ยังไง?”
ฟางชิวก็ยังคงรู้สึกไม่ดีอยู่ดี
“อื้ม… มันง่ายจะตาย” ซุนฮ่าวพูดทันทีด้วยความตื่นเต้น “จากการแสดงของนายในวันนี้ นายทำให้สาว ๆ มาจอยกับพวกเราได้ไหม?”
“อะไรนะ?!” ฟางชิวอุทาน
“ความสามารถของนายมันมีเสน่ห์ดึงดูดใจสาว ๆ อยู่แล้ว ไหนจะความดูดีของนายด้วย แล้วยังบรรเลงดนตรีได้ไพเราะอีก!” จูเปิ่นเจิ้งพูดขึ้นทันที
ซุนฮ่าวกับโจวเสี่ยวเทียนก็พูดยืนยันพร้อมกัน “แน่นอน!”
ฟางชิวรู้สึกอายนิด ๆ เขาเลือกที่จะไม่เถียงกับรูมเมตทั้งสามเกี่ยวกับประเด็นนี้อีก ไม่อย่างนั้นเถียงทั้งวันคงไม่มีทางจบแน่ เขาเลยเปลี่ยนเรื่อง “การแสดงของเจียงเหมี่ยวอวี๋กำลังจะเริ่ม ฉันเห็นเธออยู่ที่หลังเวลาเมื่อกี้นี้เอง”
เมื่อฟางชิวพูดถึงเจียงเหมี่ยวอวี๋ รูมเมตทั้งสามก็หันมาสนใจเรื่องนี้ทันที
โจวเสี่ยวเทียนถาม “โกหกน่า…! นี่มันงานเลี้ยงรับน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยเรานะ แม่เทพธิดาจะมางานแบบนี้ได้ยังไง?”
“ไปให้พ้นเลยไอ้เวร! โอ้ว! แม่เทพธิดาเจียงของฉันมาทำอะไรที่นี่กันน่ะเหรอ? เธอมาสนับสนุนงานปาร์ตี้ของมหาวิทยาลัยไงล่ะ!” ซุนฮ่าวอธิบาย
โจวเสี่ยวเทียนหันมาทางฟางชิวแล้วถาม “เจ้าน้องเล็ก! แล้วเธอจะแสดงอะไรกันน่ะ?”
“โอ๊ย! เจ็บไหล่กับขาหมดแล้ว!” ฟางชิวร้องออกมาด้วยความเหนื่อยล้า ร่างกายของเขาแทบจะแข็งตัวจนเหมือนเป็นอัมพาต
รูมเมตทั้งสามเมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบพยุงฟางชิวขึ้นแล้วนวดให้เขา! แต่ก่อนที่พวกเขาจะนวดให้ฟางชิวเสร็จ พิธีกรก็ประกาศขึ้น “ต่อไป โปรดต้อนรับ เจียงเหมี่ยวอวี๋ ตัวแทนนักศึกษาจากสาขาวิชาฝังเข็มและการนวด เธอจะมาร้องเพลง ‘Hélène’ กัน!”
เมื่อได้ยินเสียงประกาศ รูมเมตทั้งสามก็สั่นสะท้าน และไม่ได้สนใจฟางชิวอีกต่อไป พวกเขาพากันมองขึ้นไปบนเวที
ไม่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้น เหล่าหนุ่ม ๆ หลายคนต่างพากันเงยหน้าขึ้นมองไปยังเวทีเพื่อรอเทพธิดาเจียงเหมี่ยวอวี๋ขึ้นมาบนเวที
ไม่มีใครใจเย็นได้เลย เพราะการแสดงถัดไปนั้นเป็นการแสดงของเทพธิดาเจียงคนงามขวัญใจใครหลายคน ตอนนี้พวกเขาจะได้เจอเธอตัวเป็น ๆ แล้ว จะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?!
เมื่อเจียงเหมี่ยวอวี๋เดินขึ้นมาบนเวทีอย่างสง่างามพร้อมกับจับไมโครโฟน เพียงเท่านี้เธอก็สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมทั้งหมด
ทันใดนั้น ทั้งเสียงเชียร์ เสียงโห่ร้องดีใจก็ดังไม่หยุด
“เจียงเหมี่ยวอวี๋!
“เจียงเหมี่ยวอวี๋!”
หลายคนต่างพากันลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนเชียร์อย่างสุดเสียงพลางยกมือของตัวเองขึ้นตามไปด้วย
เมื่อมีคนลุกขึ้นยืนปิดกั้นสายตาของคนที่อยู่ข้างหลัง คนข้างหลังก็พากันร้องตะโกนด่า
“ข้างหน้าอะนั่งลงสิวะ! นั่งลง!”
“มารยาทของพวกนายอยู่ไหนกัน? พวกนายกำลังบังคนที่อยู่ข้างหลังอยู่นะ นั่งที่ของตัวเองเดี๋ยวนี้!”
…
คนข้างหน้าที่หน้าบางและเขินอายก็รีบนั่งลง ขณะที่บางคนยังคงหน้าด้านและหูหนวก ไม่สนใจคำด่าเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดก็เกิดความโกรธทั่วที่สาธารณะ
“นั่งลงเซ่!”
“นั่งลงสิวะ!”
เสียงโวยวายอย่างโกรธจัดดังขึ้นมา
เมื่อสังเกตเห็นความโกลาหลโดยรอบ อาจารย์แต่ละคนจึงเริ่มดึงตัวนักศึกษานั่งลงและไม่ให้ลุกยืนอีก
เจียงเหมี่ยวอวี๋ก้าวมาข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม แสงไฟสาดส่องมาที่เธอ
เธอดูเหมือนกับดอกบัวที่กำลังเบ่งบานอย่างงดงาม!
“สวยมาก!”
“เธอสวยเกินไปแล้ว!!”
นี่คือสิ่งที่หนุ่ม ๆ ต่างพากันคิด รวมทั้งฟางชิวด้วย
เมื่อเขาบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ หัวใจของฟางชิวแทบจะไร้ความรู้สึกราวกับก้อนหิน แต่ในเวลานี้ ชายหนุ่มต้องยอมรับเลยว่าหัวใจของตัวเองกำลังสั่นไหว
บทเพลงที่ไพเราะค่อย ๆ เริ่มขึ้น
มันกล่อมเกลาหัวใจคนทุกคนเหมือนกับสายลม
เจียงเหมี่ยวอวี๋ยกไมโครโฟนด้วยแขนที่ดูอ่อนนุ่มและงดงามของตัวเองเพื่อร้องเพลงท่อนแรก แต่จู่ ๆ ไฟทุกดวงก็ดับในพริบตา เสียงเพลงหยุดลง พื้นที่โดยรอบพลันตกอยู่ท่ามกลางความมืด…
[1] เป็นขลุ่ยชนิดหนึ่ง มีรูปร่างหน้าตาคล้าย ๆ ไข่