บทที่ 20 ห้องเรียนต้นแบบดีเด่น
บทที่ 20 ห้องเรียนต้นแบบดีเด่น
ฟางชิวหันไปเห็นอาจารย์เสิ่นชุนวิ่งมาหาเขาอย่างรีบร้อน
“เจ้าหนู ฉันสงสัยว่าเธอไปเรียนเทคนิคการจัดกระดูกนั่นมาจากที่ไหน?”
อาจารย์เสิ่นชุนดูสนใจฟางชิวเป็นอย่างมาก
“อ๋อ… ผมเรียนจากผู้เฒ่าคนหนึ่งจากบ้านเกิดผมน่ะครับ”
ฟางชิวไม่บอกความจริงแต่อย่างใด เพราะมันเป็นความลับใหญ่ของเขา
เสิ่นชุนเชื่อคำตอบของฟางชิว จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “บนโลกนี้มีคนเฒ่าคนแก่ที่มีพรสวรรค์มากมายจริง ๆ!”
หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วถามต่อ “ฉันอยากรู้ว่าเธอสนใจจะไปฝึกงานศัลยกรรมกระดูกที่โรงพยาบาลกับฉันไหม?”
“ฝึกงานเหรอ?”
ฟางชิวพึมพำกับตัวเองสักครู่ แล้วถามต่อว่า “มีเงินเดือนให้ไหมครับ?”
อาจารย์เสิ่นชุนนิ่งไป
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่านักศึกษาคนนี้จะถามเรื่องนี้ตรง ๆ เขาคิดว่าฟางชิวจะร้องขออย่างอื่นซะอีก
“อย่างแรกนะครับ คลาสเรียนผมก็หนักมาก”
“อย่างที่สอง ความกดดันในเรื่องเรียนก็มีมากเช่นกัน”
“อย่างที่สาม ผมไม่มีเวลา”
“…แต่คุณมาทาบทามผมแบบนี้ แล้วไหนล่ะเงินเดือนของผม?”
เสิ่นชุนพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ปกติแล้ว โรงพยาบาลจะมีเงินเดือนให้สำหรับนักศึกษาฝึกงานแปดร้อยหยวนต่อเดือน”
หลังจากที่เสิ่นชุนพูดแบบนั้น เขาก็เห็นฟางชิวยังคงขมวดคิ้วอยู่ ดังนั้นจึงรีบพูดต่อว่า “แต่สำหรับเธอนั้นถือเป็นกรณีพิเศษ เธอมาที่โรงพยาบาลของเราได้เลย แต่ฉันจะต้องประเมินความสามารถของเธอดูก่อนว่ามีความสามารถมากพอหรือเปล่า?”
“โอเคครับ!”
การฝึกงานในโรงพยาบาลนั้นดึงดูดใจเขามาก เพราะนี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้พัฒนาทักษะการจัดกระดูกของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องการเงินเป็นอย่างมาก!
เรื่องของการประเมินนั้นชายหนุ่มไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะความสามารถของตัวเองนั้นดีอยู่แล้ว
“ดีเลย! เธอว่างวันไหนล่ะ?” เสิ่นชุนถามพร้อมรอยยิ้ม เขากำลังคิดอยู่ว่าจะประเมินความสามารถอีกฝ่ายอย่างไรดี
ฟางชิวนิ่งคิดสักพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า “ตามตารางเรียนของผม ผมว่างตอนบ่ายวันพุธ”
“ได้เลย เจอกันวันพุธตอนบ่ายสามโมงครึ่งนะ ที่โรงพยาบาลศัลยกรรมกระดูกชั้นเจ็ด”
“ได้ครับ!”
ทั้งสองจับมือกันเป็นการทำข้อตกลง จากนั้นก็แลกเบอร์ติดต่อกันและแยกทางกันไป
ฟางชิวกลับไปที่ห้องเรียนของตัวเอง และเห็นเจียงเหมี่ยวอวี๋ถูกหามด้วยเปลโรงพยาบาลผ่านไป
เขาหวังว่ามันจะไม่มีผลกับเธอตอนกล่าวสุนทรพจน์พรุ่งนี้นะ
การซ้อมรอบแรกจบลง การซ้อมรอบที่สองก็เริ่มขึ้น
ตอนกลางคืน ในหอพักนักศึกษาหญิง
เจียงเหมี่ยวอวี๋เอนหลังนอนบนเตียง เธอยังคงรู้สึกปวดที่ข้อเท้าของตัวเอง แถมยังนอนไม่หลับอีกด้วย
ดังนั้นหญิงสาวจึงยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาด้วยความลังเลใจ จากนั้นเธอก็พิมพ์ข้อความ…
[ฉันมีคำถามอยากจะถาม… ตอนที่ฉันเงียบไป ฉันเห็นแววตานายดูโดดเดี่ยวปนเสียใจ นายแค่แกล้งทำหรือว่ารู้สึกจริง ๆ?]
นิ้วของเธอวางบนปุ่ม ‘ส่ง’ อยู่พักหนึ่ง
แต่สุดท้ายหญิงสาวก็ถอนหายใจ ก่อนจะกดปุ่ม ‘ลบ’
…
วันต่อมาในช่วงเช้าตรู่ นักศึกษาใหม่ทั้งหมดยืนอยู่บนสนามด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นและเข้มแข็ง รอที่จะเดินขบวนพาเหรด
เมื่อถึงเวลาแปดโมงเช้า การเดินขบวนพาเหรดก็เริ่มขึ้น!
ฟางชิวยืนตำแหน่งนำขบวนอยู่แถวหน้าของชั้นเรียนตัวเอง และก็เห็นเจียงเหมี่ยวอวี๋เดินไปที่เวทีอย่างช้า ๆ
ย่างก้าวของเธอนั้นดูช้าอย่างเห็นได้ชัด
แต่ฟางชิวรู้ว่าหญิงสาวกำลังฝืนสู้กับอาการเจ็บปวดของตัวเองและพยายามเดินให้ปกติที่สุด
“เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งจริง ๆ…”
ฟางชิวคิดพลางถอนหายใจ
“…ท่านข้าราชการดีเด่น ครูฝึก อาจารย์ และนักศึกษาทุกท่าน อรุณสวัสดิ์ค่ะทุก ๆ คน!”
เจียงเหมี่ยวอวี๋เดินอย่างมั่นคงไปยังเวทีโดยไม่ได้ถือโพยสุนทรพจน์ไปด้วย เสียงหวาน ๆ ของเธอดังไปทั่วสนามผ่านเครื่องเสียง
ไม่มีเสียงใครพูดแทรกออกมา
“ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นตัวแทนนักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง…”
ในระหว่างที่เธอกล่าวเปิดงานนั้น เสียงปรบมือก็ดังขึ้น
พวกเขาทั้งหมดปรบมือต้อนรับเจียงเหมี่ยวอวี๋ด้วยความอบอุ่น
สามนาทีต่อมา สุนทรพจน์ของเธอก็จบลง และการเดินขบวนพาเหรดก็เริ่มขึ้น
ขบวนทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสเคลื่อนผ่านเวทีไปทีละขบวน และเมื่อผ่านเวทีไปแล้ว ทุกคนก็ทำท่าทำความเคารพตาม
“มาเลยทุกคน!”
จะถึงคิวขบวนของห้องสามแล้ว ครูฝึกเดินมาข้าง ๆ ขบวนพาเหรดของพวกเขาพร้อมกับแก้ไขท่ายืนของนักศึกษาแล้วกระซิบด้วยเสียงเบา
“เอาเลย!”
ทุกคนดูจริงจังเป็นอย่างมาก
พวกเขาดูตื่นเต้นและเป็นกังวล
ในเวลานี้ ทุก ๆ คนดูเหมือนกองทัพทหารที่กำลังเดินทัพด้วยความขึงขัง
“มาแล้ว! พวกห้องสามวิชาแพทย์แผนจีน!”
ภายใต้การแนะนำของพิธีกร นักศึกษาห้องสามเดินอย่างพร้อมเพรียงไปที่เวทีภายใต้การนำของฟางชิวและนักศึกษาหญิงอีกคนหนึ่ง
ฝีเท้าที่พร้อมเพรียงและสม่ำเสมอของพวกเขาทำให้พื้นที่โดยรอบถึงกับสั่นสะเทือน
เหล่าผู้นำที่อยู่บนเวทีต่างดูประหลาดใจเมื่อถึงคราวขบวนของห้องสาม
เมื่อมองดูผู้นำขบวนซึ่งมีท่วงท่าที่ทรงพลัง แข็งแกร่ง และไร้ที่ติแล้ว มันช่างส่งออร่าแผ่จนพวกเขาบนเวทีต้องหรี่ตาลงอย่างช่วยไม่ได้
“ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่กล้าหาญและน่าเกรงขามอะไรอย่างนี้!”
“เป็นท่าที่ตรงตามมาตรฐานจริง ๆ!”
นายทหารที่ยืนอยู่ตรงหัวมุมของเวทีที่ถูกเชิญโดยเหล่าครูฝึกมองไปที่ฟางชิว ผู้กำลังทำหน้าที่เป็นหัวหน้านำขบวนด้วยความตกใจ ก่อนจะเริ่มชื่นชมเขา
แต่ความสนใจของเขาเพ่งมองไปยังเฉินชงที่กำลังยืนอยู่แถวแรกมากกว่า
นี่คือน้องใหม่ที่ดีที่สุดและมีความสามารถที่สุดที่เขาเคยพบในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงเลย!
ส่วนตัวตนของฟางชิวนั้นลึกลับเกินไป เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
เมื่อมองผ่านฟางชิวไป เหล่าบรรดาผู้นำก็อดไม่ได้ที่จะให้คะแนนนักศึกษาห้องสามที่สามารถทำการเดินขบวนพาเหรดได้อย่างไร้ที่ติ
ขณะที่พวกเขาเดินเข้าใกล้เวที ฟางชิวก็สูดลมหายใจลงท้องแล้วตะโกนอย่างขึงขัง “ตบเท้า…!!! ไป!!!”
พรึ่บ!
คนในขบวนพาเหรดห้องสามเปลี่ยนสเต็ปการเดินเท้าเข้าสู่การเดินตบเท้าแบบทหาร
ตึก! ตึก!
เสียงตบเท้าดังอย่างพร้อมเพรียงกัน
การเดินตบเท้าที่ดังสม่ำเสมอของพวกเขาดูดีกว่ากองทัพซะอีก!
“ดี!”
บรรดาผู้นำที่เฉลียวฉลาดทุกคนบนเวทีต่างชื่นชมภาพที่เห็นตรงหน้านี้
แม้กระทั่งนักศึกษาห้องอื่น ๆ ก็ถึงกับอึ้งทึ่งเมื่อเห็นการเดินขบวนที่สม่ำเสมอไร้ที่ติของห้องสาม
โดยปกติพวกเขาไม่ใช่พวกชอบโชว์ออฟหรือโอ้อวดอะไร แต่พวกเขาในตอนนี้กำลังจริงจังกับการเดินพาเหรดสวนสนาม
“วันทยหัตถ์!”
ฟางชิวออกคำสั่งด้วยเสียงอันดังก้อง
ชึบ!
ทุกคนในพาเหรดของฟางชิวหันศีรษะไปทางขวาและยกมือขวาขึ้นข้างปลายคิ้วของตัวเอง เป็นการทำความเคารพตามมาตรฐานแบบทหาร หรือที่เรียกว่าการ ‘ตะเบ๊ะ’ นั่นเอง
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว บรรดาผู้นำและพิธีกรบนเวทีก็อดไม่ได้ที่จะปรบมือ
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาปรบมือให้
แล้วมันก็เกิดขึ้นเองโดยไม่ได้นัดหมายด้วย
พวกเขาคิดว่าในการเดินพาเหรดวันนี้ ไม่มีพาเหรดห้องไหนสามารถทำได้ดีกว่าห้องสามแน่ ๆ!
เหล่าผู้นำในมหาวิทยาลัยจดจำผู้นำขบวนห้องสามอย่างฟางชิว รวมถึงตัวครูฝึกประจำห้องพวกเขาด้วยที่สามารถสอนเด็ก ๆ ได้ดีขนาดนี้…
“เสร็จพิธีแล้ว!”
ในขณะที่พวกเขาเดินผ่านเวที ฟางชิวก็ตะโกนสั่งด้วยเสียงที่ทรงพลังและน่าเกรงขาม
เหล่านักศึกษาห้องสามเอามือขวาลงแล้วเปลี่ยนสเต็ปการเดินตบเท้าสู่การเดินขบวนอย่างรวดเร็วทันที
ในขณะที่พวกเขากำลังเดินช้า ๆ จากเวที ขบวนพาเหรดของพวกเขาก็เสร็จสิ้น การฝึกทหารภาคสนามตลอดสิบวันที่ผ่านมาได้จบลงอย่างเป็นทางการแล้ว ชีวิตมหาวิทยาลัยของพวกเขากำลังจะเริ่มขึ้น
ขบวนพาเหรดของห้องเรียนอื่นยังคงดำเนินต่อไป ชั้นเรียนทั้งหมดที่เสร็จสิ้นการเดินขบวนแล้วกำลังยืนอยู่บนเวทีดูพิธีการต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ
สิบโมงเช้า ขบวนพาเหรดก็จบลง
รางวัล ‘ห้องเรียนต้นแบบดีเด่น’ ได้กลายมาเป็นประเด็นร้อน แน่นอนว่าห้องสามที่นำโดยฟางชิวเป็นเพียงห้องเดียวที่ถูกประกาศรางวัลนี้ และทุกคนต่างก็ไม่ค้าน และคิดว่าพวกเขาสมควรได้รับมัน
ตลอดพิธีการเดินขบวนพาเหรดนั้น ห้องสามได้รับเสียงปรบมือจากเหล่าผู้นำทหารทั้งหมดเพียงห้องเดียว
ครูฝึกของห้องสามไปรับรางวัลอย่างตื่นเต้นบนเวที เหล่านักศึกษาห้อง สามที่อยู่ข้างล่างเวทีก็ปรบมืออย่างคึกคักแล้วตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจ “เจ๋งโคตร!!!”
เหล่านักศึกษาห้องอื่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับมัน เพราะเทียบกันแล้ว ห้องของตนเองคงสู้ห้องสามไม่ได้แน่ ๆ!
ความแตกต่างมันชัดเกินไป
พวกเขามั่นใจ… มั่นใจจริง ๆ!
หลังจากประกาศรางวัลแล้ว ผู้อำนวยการของมหาวิทยาลัยกำลังจะประกาศเสร็จพิธีการเดินขบวนพาเหรด ทันใดนั้นก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งวิ่งมาอย่างเร่งรีบไปทางเวที ก่อนที่เขาจะรายงานอะไรบางอย่างกับผู้อำนวยการ
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าไมโครโฟนกำลังเปิดอยู่
“ท่านผู้อำนวยการครับ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!” เจ้าหน้าที่เซียวเฉินพูดด้วยความกังวล “…มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งกำลังจะกระโดดจากอาคารเรียนฆ่าตัวตาย ได้โปรดรีบไปหยุดเธอทีเถอะครับ!”
เขาชี้ไปที่อาคารเรียนใกล้สนาม
เขาทำพลาดแล้ว…
ทุกคนที่ได้ยินเริ่มพากันโหวกเหวกและเกิดความโกลาหล
“มีคนจะฆ่าตัวตายเหรอ?!”
ทุกคนพากันหันไปมองอาคารเรียนข้างนอกที่อยู่ไม่ไกลจากสนามมากนัก พวกเขามองเห็นร่างหนึ่งยืนอยู่บนยอดของอาคารเรียน โดยมีนักศึกษาคนอื่น ๆ รวมตัวกันอยู่เพื่อดูเหตุการณ์ไปจนถึงพยายามห้ามเธอ
“อะไรกัน?!” ผู้อำนวยการตกตะลึงจนแทบจะลุกขึ้นยืนตัวตรง เขาปิดไมโครโฟนทันทีแล้วถาม “มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”
“ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่เธอดูเหมือนจะฆ่าตัวตายเพราะอกหักอะไรสักอย่าง ได้โปรดรีบไปดูเถอะครับ!”
เจ้าหน้าที่ที่มารายงานพูดด้วยความรีบร้อน คนอื่น ๆ ไม่ได้ยินสิ่งที่ผู้อำนวยการพูดกับเจ้าหน้าที่ แต่ฟางชิวได้ยินชัดเจน
“โธ่เอ๊ย…!”
“ฆ่าตัวตายเพื่อความรักงั้นเหรอ?”
“ทำไมกันล่ะ?!”
ผู้อำนวยการไม่มีเวลาที่จะกล่าวปิดการเดินพาเหรด เขารีบวิ่งตรงดิ่งไปยังอาคารเรียนทันที
“เพิ่งจะเปิดเทอมใหม่แท้ ๆ แต่มีนักศึกษาจะกระโดดตึกฆ่าตัวตายแล้วเหรอเนี่ย?!”
“เด็กสมัยนี้เป็นอะไรกันหมด… ไม่คิดถึงพ่อแม่ตัวเองกันแล้วหรือไง?!”
เหล่าผู้บริหารคนอื่นก็ตามไปดูใกล้ ๆ เช่นกัน
แม้แต่เจ้าหน้าที่ทหารคนอื่น ๆ และครูฝึกทุกคนต่างก็วิ่งไปที่อาคารเรียนด้วยความรีบร้อนเพื่อให้ความช่วยเหลือเช่นกัน
เหล่านักศึกษาน้องใหม่ที่ยังคงยืนเข้าแถวอยู่ตรงสนามต่างมองกันและกัน ก่อนจะวิ่งตามไปยังอาคารเรียนข้างนอกสนาม
ฟางชิวเองก็ไม่ยอมเสียเวลาแต่อย่างใด เขารีบวิ่งไปยังอาคารเรียนเช่นกัน
เมื่อเขามาถึง ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงกลุ่มคนโดยรอบพูดคุยกัน
“มีเรื่องอะไรกันอะ? มีคนจะฆ่าตัวตายได้ยังไงกัน?”
“ฉันได้ยินว่าเป็นคู่รักกันนะ ไอ้ผู้ชายน่ะมันเป็นรุ่นน้อง ผู้หญิงเป็นรุ่นพี่ปีสอง แต่ไอ้รุ่นน้องชายมันนอกใจเธอตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มคบกันเลย ฝ่ายรุ่นพี่ทนไม่ไหวกับความสัมพันธ์ที่กลายเป็นแบบนี้เลยจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย…”
“ไอ้รุ่นน้องคนนั้นมันเลวจริง ๆ! แต่เธอก็ไม่น่าจะคิดสั้นแบบนั้นนะ ยังไงในชีวิตนี้ ไม่มีใครหลีกเลี่ยงคนที่แย่ยิ่งกว่าขยะแบบนั้นได้หรอกถ้าสักวันมันจะเจอน่ะ!”
“ไม่รู้สิ แต่ฉันคิดว่าบางทีอาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรที่พวกเราไม่รู้ก็ได้”
ฟางชิวขมวดคิ้วแล้วมองขึ้นไปข้างบนอาคารเรียน
บนหลังคาของอาคาร มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกำแพงทั้งสอง เธอกำลังกุมศีรษะของตัวเองแล้วร้องห่มร้องไห้
เขามองอาคารเรียนขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างสงบ
อาคารเรียนแห่งนี้มีเพียงแค่ห้าชั้นเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะไม่สูงมาก แต่ถ้าหากผู้หญิงคนนี้กระโดดลงมาก็อาจจะตายได้เช่นกัน
“ทุกคนหลีกทางไปให้หมด!”
ผู้อำนวยการที่เพิ่งวิ่งมาถึงอย่างรีบร้อนตะโกนสั่งคนรอบ ๆ แต่ไม่ได้มีท่าทีพยายามที่จะเบียดเสียดฝูงชนเข้ามาแต่อย่างใด
เหล่านักศึกษาทั้งหมดพากันหลีกทางให้ผู้อำนวยการทันทีที่เห็นเขามาถึง
ก่อนจะตามมาด้วยเจ้าหน้าที่ทหารหนุ่มคนอื่น ๆ และครูฝึกทั้งหมด พวกเขาเริ่มสังเกตสถานการณ์รอบตัวแล้วเริ่มวางแผนกันว่าจะช่วยนักศึกษาหญิงที่กำลังจะฆ่าตัวตายอย่างไรดี?
ต่อมา เจ้าหน้าที่ทหารหนุ่มก็เดินไปหาผู้อำนวยการที่กำลังวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าแล้วพูดด้วยเสียงเบาหวิว “ท่านครับ ผมว่าโทร 119 และ 120 ไว้ก่อนเลยดีกว่า แม้พวกเขาอาจจะมาช่วยไม่ทัน แต่พวกเราก็สามารถช่วยเหลือและป้องกันเหตุร้ายเบื้องต้นไว้ก่อนได้…”
“เอาเลย! ไม่มีปัญหา!”
เมื่อทราบความเร่งด่วนของเรื่องนี้แล้ว ผู้อำนวยการก็รีบจัดการเตรียมการป้องกันทันที
เจ้าหน้าที่ทหารหนุ่มมองขึ้นไปบนอาคารเรียนตรงจุดที่นักศึกษาหญิงอยู่แล้วพูดขึ้น “นอกจากนี้ เราต้องพยายามทำให้เธอใจเย็นลงก่อน อย่าทำให้เธอโกรธเด็ดขาด อาจจะลองพูดคุยกับเธอเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ดีกว่าเกลี้ยกล่อมเธอไม่ให้ฆ่าตัวตาย…”
“ตอนนี้ผมกับลูกน้องจะไปเตรียมเชือกและของจำเป็น แล้วพวกเราจะค่อย ๆ ขึ้นไปให้เงียบที่สุดเพื่อเข้าถึงตัวเธอจากข้างหลัง จากนั้นพาเธอลงมา คุณต้องพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อดึงความสนใจจากเธอ”
“แต่แน่นอนว่าถ้าเธอเจอพวกเรา ผมจะพยายามรั้งเธอไว้และเกลี้ยกล่อมเธอ พวกเราควรจะรอจนกว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยจะมาถึง หรือจนกว่าจะมีผ้านวมมากพอสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุด”
ผู้อำนวยการถามอีกครั้ง “คุณมั่นใจใช่ไหมว่าจะทำสำเร็จ?”
เจ้าหน้าที่ทหารหนุ่มพยักหน้าและกล่าวอย่างหนักแน่น “ตราบใดที่คุณคอยเบี่ยงเบนความสนใจจากเธอ พวกเรามั่นใจว่าทำได้อย่างแน่นอน ผมคุ้นเคยดาดฟ้าอาคารเรียนจากรูปภาพที่เคยเห็น ผมรู้ว่าต้องทำยังไง?”
“เด็กคนนี้ต้องได้รับการช่วยเหลือ โปรดช่วยเธอด้วย!” ผู้อำนวยการพูดกับนายทหารหนุ่มอย่างจริงใจ
เจ้าหน้าที่ทหารหนุ่มพยักหน้าอย่างจริงจัง เขาถอดชุดเครื่องแบบพร้อมกับปลดกระดุมออกคลายคอเสื้อเพื่อเตรียมตัวไปช่วยเธอ