บทที่ 24 ค้นหาแบบทีละคน ๆ
บทที่ 24 ค้นหาแบบทีละคน ๆ
[หลังจากก้าวข้ามความยากลำบากทุกประเภท ในที่สุดฉันก็ได้รายชื่อผู้ต้องสงสัยราว ๆ ร้อยคน เดี๋ยวฉันจะโพสต์ทิ้งไว้ หวังว่าทุกคนจะสามารถตามหาชายลึกลับในรายชื่อนี้ได้นะ]
[ตอนนี้พวกเราคัดกรองคนตามเงื่อนไขสองข้อนี้ ข้อแรกคือ คนที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้อยู่ที่สนามกีฬาในตอนกลางคืนเมื่อวันก่อน ๆ โน้น…]
[ข้อที่สอง คือ คนที่ถูกพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่ชายลึกลับปรากฏตัวเมื่อตอนเช้านี้…]
[ใครก็ตามที่อยู่ในรายชื่อนี้ ตรวจสอบให้ดีว่าตัวเองตรงตามเงื่อนไขทั้งสองข้อนี้ไหม ถ้าเธอตรงตามเงื่อนไขเพียงข้อเดียวละก็… ก็ออกไปได้เลย ทุกคนทิ้งคอมเมนต์ช่วยพวกเราค้นหาคนต้องสงสัยด้วยนะ]
[ป.ล. โพสต์นี้จะถูกอัปเดตปรับปรุงข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ฉันสาบานว่าจะไม่มีวันยอมแพ้จนกว่าจะพบตัวชายลึกลับคนนั้น! ฉันขอให้ทุกคนตรวจสอบรายชื่อของคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุทันที ถ้าชายลึกลับปรากฏตัวอีกอะนะ!]
ด้านล่างโพสต์ก็คือรายชื่อของคนต้องสงสัยทั้งหมดร้อยกว่าคน
[กงผาน ห้องหนึ่ง สาขาปรัชญาแพทย์แผนจีน คณะการจัดการสารสนเทศ]
[ซุนหลง ห้องหนึ่ง สาขาการจัดการสารสนเทศและระบบสารสนเทศ คณะการจัดการสารสนเทศ]
เมื่อโพสต์รายชื่อแล้ว ทุกคนก็เริ่มค้นหารายชื่อจากชั้นเรียน
[ถ้าชายลึกลับมาจากห้องของฉัน มันจะโคตรเจ๋งขนาดไหนกันนะ?!]
[ถ้าใช่ หลังจากนี้ฉันก็กล้าชมแบบสนิทใจเลย!]
[ถึงจะไม่ได้มาจากชั้นเรียนเดียวกัน แต่ก็คงน่าทึ่งถ้าเขาเรียนสาขาเดียวกับฉัน!]
[แต่ถ้าเขาไม่ได้เรียนสาขาเดียวกับฉัน แค่มาจากโรงเรียนเดียวกันก็ยังดี!]
[ค้นหาเลย!]
ทุกคนที่อ่านโพสต์เริ่มพากันออกค้นหาอย่างบ้าคลั่ง!
บางคนที่พบรายชื่อเพื่อนร่วมชั้นของตัวเองในลิสต์รายชื่อก็พากันตื่นเต้น บางคนที่ไม่พบรายชื่อเพื่อนจากห้องของตัวเองก็ตื่นเต้นที่พบว่าเป็นเพื่อนในสาขาและคณะเรียนเดียวกัน
เมื่อความตื่นเต้นลดลง บางคนก็เริ่มคอมเมนต์ทันที
[เมื่อคืนก่อน ๆ โน้น ซุนหลงกำลังทบทวนบทเรียนในห้องศึกษาด้วยตัวเอง เขาไม่ได้อยู่ในสนามกีฬาหรอก ฉัน… หลี่เซียง ห้องหนึ่ง จากสาขาปรัชญาแพทย์แผนจีน ฉันเป็นพยานได้!]
เมื่อเห็นคอมเมนต์ตอบกลับ หลาย ๆ คนก็เริ่มพากันตอบกลับให้วุ่นวายไปหมด
[ถ้าเรากรองคนกันแบบนี้ ไม่นานตัวตนของชายลึกลับต้องโผล่ออกมาแน่]
[แล้วคนที่เมนต์ตอบกลับต้องเปิดเผยตัวตนของตัวเอง จะได้รู้ว่าสามารถติดต่อไว้พิสูจน์ได้ ชายลึกลับน่ะจะได้เมนต์ตอบโดยไม่ระบุตัวตนไม่ได้]
ถ้าคอมเมนต์ถูกเมนต์โดยไม่แสดงตัวตน หรือใช้ชื่อปลอมที่ไม่เปิดเผยตัวตนของผู้เขียน จากการกระทำนี้จะสามารถบอกได้เลยว่าใครคือชายลึกลับ
ต่อมา คอมเมนต์ตอบกลับอันที่สองก็ตามมา
[กงผานอยู่กับฉันเมื่อเช้านี้ เขาอยู่ข้าง ๆ ฉันตอนที่ชายลึกลับปรากฏตัว ดังนั้นตัดเขาออกจากรายชื่อได้เลย ส่วนฉันชื่อ อู่เทียนเซี่ยว จากห้องหนึ่ง สาขาการจัดการสารสนเทศและระบบสารสนเทศ คณะการจัดการสารสนเทศ]
จากนั้นก็มีคอมเมนต์ที่สาม… สี่… ตามมาอย่างต่อเนื่อง
คอมเมนต์ตอบกลับมากมายเข้ามาอย่างต่อเนื่องราวกับน้ำท่วม ทุกครั้งที่คอมเมนต์ตอบกลับเด้งขึ้นมา เจ้าของโพสต์ที่ใช้นามแฝงว่า ‘ปลาน้อยในทะเล’ จะแก้โพสต์ของตัวเองเพื่ออัปเดตข้อมูล และเปลี่ยนสีของชื่อของผู้ต้องสงสัยจากสีแดงให้กลายเป็นสีดำ
จนถึงสี่ทุ่มครึ่งในคืนวันนั้น มียี่สิบเจ็ดรายชื่อที่ถูกตัดออก จึงเหลือผู้ต้องสงสัยทั้งหมดเจ็ดสิบสามคน
สักพักหนึ่ง ก็ไม่มีตอบกลับเพิ่มเติมเกี่ยวกับชื่อผู้ต้องสงสัยเพื่อการคัดออกอีก
ผลลัพธ์นั้นทำให้ผู้ที่รอคอยคำตอบต่างผิดหวังไปตาม ๆ กัน
[จนป่านนี้ก็ยังไม่เจอว่าใครกันที่เป็นชายลึกลับคนนั้น!]
อย่างไรเสีย ขอบเขตในการหาตัวชายลึกลับก็แคบลงไปอีก ทุกคนต่างคิดว่าเขาจะต้องเป็นหนึ่งในคนทั้งเจ็ดสิบสามคนแน่ ๆ!
ในอนาคต เมื่อชายลึกลับปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง ชื่อต่าง ๆ ก็จะถูกลบออกไปเรื่อย ๆ ขอบเขตก็จะเล็กลง สุดท้ายชายลึกลับก็จะถูกพบ…
ยังไม่ต้องรีบร้อนอะไรนัก พวกเขายังมีเวลาอีกเยอะสำหรับเรื่องนี้ ของแค่นี้รอได้…
หลาย ๆ คนจึงเริ่มเปลี่ยนไปดูหัวข้อจัดอันดับคนดังน้องใหม่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
พวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าผู้ต้องสงสัยทั้งหมดหนึ่งร้อยคนอยู่ในรายชื่อคนดังน้องใหม่!
แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจมองข้ามชื่อคนดังที่อยู่ห้าอันดับต้น ๆ ได้ โดยเรียงลำดับได้ดังนี้คือ ‘ชายลึกลับ’ ‘เจียงเหมี่ยวอวี๋’ ‘ฟางชิว’ ‘เฉินชง’ และ ‘ชายผู้รักความยุติธรรม’ โดยจัดอันดับไว้อย่างแม่นยำ
เมื่อดูรายชื่อจัดอันดับ หลายคนก็พากันนิ่งอึ้ง
รายชื่อนี้มีทั้งนักศึกษาชั้นปีสอง ปีสาม ปีสี่ และปีห้า อีกทั้งยังมีคนที่ระดับสูงกว่าปริญญาตรี แต่พวกน้องใหม่กลับอยู่บนสุด ตอนนี้พวกเขาเลยรู้กันว่าน้องใหม่ปีนี้เจ๋งแค่ไหน!
ในขณะเดียวกัน…
เมื่อเห็นผลลัพธ์การโพสต์ตามหาชายลึกลับในเว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัย นายทหารที่ชื่อ หลี่จี ที่เรียกนักศึกษาออกไปเมื่อตอนเช้าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลังจากได้ยินว่าเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยสั่งห้ามไม่ให้สอบสวนนักศึกษาต้องสงสัยทั้งหมดหนึ่งร้อยคน เขาก็รู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง
เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงย่อมเข้าข้างนักศึกษา พอได้ยินว่าเจ้าหน้าที่ทหารจะทำการสอบสวนนักศึกษาต้องสงสัยทั้งหมดหนึ่งร้อยคนนั่น พวกเขาก็ขัดขวางสุดชีวิต!
“จะตามหาชายลึกลับนั่นก็เป็นเรื่องดีอยู่หรอก แต่ผมไม่อนุญาตให้พวกคุณมาสอบสวนนักศึกษาของพวกเรา!”
“ลูกศิษย์ของพวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมจะต้องสอบสวนพวกเขาด้วยล่ะ!”
“คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?! ถึงได้กล้าคิดจะมาสอบสวนนักศึกษาของพวกเราเหมือนเป็นนักโทษแบบนี้!”
เขาจึงต้องยอมแพ้อย่างช่วยไม่ได้…
ทว่า จากแต่เดิมที่เขากำลังท้อถอยและมองไม่เห็นทางที่จะได้คำตอบ เขาก็เกิดความหวังใหม่อีกครั้ง เพราะมีนักศึกษาคนหนึ่งที่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตัวจริงของชายลึกลับนั่นมากกว่าเขา นักศึกษาคนนั้นเองก็เรียกร้องให้ทางมหาวิทยาลัยคัดกรองผู้ต้องสงสัยเช่นกัน
ดังนั้นในตอนนี้ สิ่งที่หลี่จีต้องทำก็มีเพียงแค่รอผลลัพธ์เท่านั้นเอง…
ถึงแม้มันจะใช้เวลาไปสักหน่อย แต่หลี่จีก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เมื่อไรที่พบตัวชายลึกลับคนนั้น มันก็นับว่าคุ้มค่าต่อการรอคอย
เขาตัดสินใจแล้ว! เขาจะต้องหาทางโน้มน้าวให้ชายลึกลับคนนั้นเข้ามาประจำการในกองทัพให้ได้!
ไม่ใช่นักศึกษาทุกคนในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงจะสามารถนั่งเฉย ๆ แล้วรอให้ชายลึกลับถูกเจอตัวได้ พวกเขาเลยวางแผนทำบางอย่างให้เจอตัวชายลึกลับได้ไวขึ้น
ดังนั้นในวันต่อมา เมื่อฟางชิวถือหนังสือไปเรียนคาบแรกที่มหาวิทยาลัย เขาก็สังเกตเห็นป้ายมากมายแปะอยู่
‘ชายลึกลับ หกโมงเย็นวันนี้ที่เวทีในสนามกีฬา มาสู้กับฉัน! ถ้านายไม่โผล่มา แสดงว่านายเป็นพวกขี้ขลาด!’
เห็นป้ายท้าประลองจากทั้งสองข้างทางของถนนแล้วฟางชิวก็พลันแปลกใจ
“อะไรวะเนี่ย?!”
เขาหมกตัวอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดแค่ครึ่งวันแท้ ๆ แต่ไหงพอออกมาสถานการณ์ดันกลายเป็นแบบนี้ซะได้ โลกมันเปลี่ยนไปแล้วหรือไง?
ฟางชิวหันไปมองซุนฮ่าวแล้วถามขึ้น “พี่สาม นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ซุนฮ่าวกระซิบกับเขาด้วยความตื่นเต้น “เขาท้าทายชายลึกลับกันเว้ยไอ้น้อง เมื่อวานนี้ตอนบ่าย มีโพสต์ในบอร์ดเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยแปะรายชื่อของผู้ต้องสงสัยทั้งหนึ่งร้อยคนที่ถูกครูฝึกนำตัวไป แล้วก็ให้ชาวเน็ตช่วยกันคัดชื่อว่าใครคือชายลึกลับคนนั้น…”
หลังจากอธิบายจุดเริ่มต้นแล้ว ซุนฮ่าวก็ลดเสียงของตัวเองลงแล้วบ่นว่า “ฉันว่าการท้าทายครั้งนี้เป็นแผนล่อให้ชายลึกลับโผล่ออกมา ทำให้สามารถตรวจสอบได้ว่าใครที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นชายลึกลับมากกว่า…”
“เฮ้… แล้วฉันเดานะว่าชายลึกลับจะรับคำท้าแล้วปรากฏตัวออกมา จากนั้นก็จะเปิดเผยตัวตนตัวเองด้วย”
ฟางชิวไม่พูดอะไร เขาได้แต่จ้องซุนฮ่าวที่ดูเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“นายคิดว่ามันดีแล้วเหรอที่จะเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับของชายลึกลับคนนั้น?”
“แล้วถ้าหากชายลึกลับคนนั้นไม่มาล่ะ?”
ฟางชิวถาม
ซุนฮ่าวบุ้ยริมฝีปากของตัวเองไปทางป้ายแบนเนอร์ท้าประลอง “ก็แปลว่าขี้ขลาดไง” จากนั้นก็พูดต่อ “ถ้าเขาไม่มาตามคำท้า เขามันก็แค่ไอ้คนขี้ขลาด ฉันเชื่อว่าคนที่ตรงไปตรงมาและรักความยุติธรรมอย่างเขาจะต้องมาแน่นอน!”
ซุนฮ่าวกระตือรือร้นมาก เขาอยากรู้ให้ได้ว่าชายลึกลับคนนั้นคือใคร?!
ส่วนฟางชิว เมื่อได้ยินคำพูดของรูมเมตแล้วก็ตัดสินใจได้ทันที…
“ฉันไม่ไป!”
“เฮ้ย ไรวะ?! นายไม่ไปเหรอ?!”
“คิดว่าฉันโง่เหรอ?”
“ถ้าฉันมีเวลาว่าง ฉันจะเอาเวลาไปอ่านหนังสือมากกว่าจะมาเล่นอะไรแบบนี้!”
ขณะที่ชายหนุ่มมองดูป้ายทั้งสองข้างของถนน เขาก็ได้ยินเสียงคนถกเถียงกันอยู่รอบตัว บางคนคิดว่าชายลึกลับจะปรากฏตัว บางคนก็คิดว่าไม่มีทาง สุดท้ายฟางชิวกับรูมเมตของเขาก็เดินไปถึงห้องเรียน
เมื่อมาถึงห้องเรียน ฟางชิวก็ต้องตกตะลึง
ฟางชิวคิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนแรกที่เข้าไปในห้องเรียน แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าที่นั่งในห้องเรียนเต็มหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงสามแถวแรกหน้าสุด ไม่มีที่ว่างใดเหลืออยู่เลย
“ช่วงเริ่มเรียนแรก ๆ ทุกคนก็กระหายความรู้กันงี้แหละ ไม่เหมือนกับพวกปีสอง ได้ยินว่าชอบแห่กันไปจองที่นั่งหลังห้องแล้วปล่อยให้สามแถวแรกว่าง”
ในเมื่อไม่มีทางเลือกนัก ฟางชิวก็ตัดสินใจไปนั่งที่ว่างแถวสี่กับรูมเมตตัวเอง
เมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น คาบเรียนแรกของฟางชิวก็ได้เริ่มขึ้น คาบนี้เป็นวิชาเกี่ยวกับทฤษฎีพื้นฐานการแพทย์แผนจีน ไม่นานชายอายุประมาณ สามสิบปีสวมแว่นตา ท่าทางสง่าและสุภาพก็เดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับหนังสือสองเล่ม
“สวัสดีนักเรียนทุก ๆ คน ฉันชื่อเฉียวมู่ จะมาเป็นอาจารย์สอนวิชาพื้นฐานทฤษฎีแพทย์แผนจีนของพวกเธอ…”
อาจารย์หนุ่มแนะนตัวเองพลางจัดอุปกรณ์การสอน จากนั้นเปิดโพรเจกเตอร์อย่างใจเย็น
หลังจากที่อาจารย์หนุ่มแนะนำตัว เสียงปรบมือก็ดังขึ้น
เฉียวมู่ยกมือบอกให้ทุกคนเงียบลง จากนั้นเขาก็พูดไปยิ้มไป
“โอเค ๆ ขอบคุณทุกคนมาก ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาสอนบทเรียนแรกให้พวกเธอในมหาวิทยาลัย พวกเธอเป็นนักศึกษาแพทย์แผนจีน ต้องรักษาผู้ป่วย ช่วยชีวิตพวกเขาจากอาการบาดเจ็บได้แน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม ตึกระฟ้าจะสูงตระหง่านได้ก็ต้องมีฐานที่มั่นคง ความรู้พื้นฐานจึงสิ่งสำคัญที่สุด…”
“และในวิชาพื้นฐานทฤษฎีแพทย์แผนจีนนี้ได้ถูกออกแบบเป็นอย่างดีเพื่อปูพื้นฐานที่ดีให้กับพวกเธอ แต่การที่พวกเธอจะมีพื้นฐานที่ดีได้นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเธอตั้งใจเรียนกันมากแค่ไหน?”
“เดี๋ยว… ฉันจะถามคำถามพวกเธอ พวกเธอมีหนังสือกันหมดแล้ว มีใครในห้องนี้เตรียมตัวอ่านมาล่วงหน้าแล้วบ้าง?”
เฉียวมู่กวาดตามองนักศึกษาทั้งหมดสามสิบกว่าคนในห้องด้วยดวงตาเป็นประกาย
ทุก ๆ ปีเขาจะถามคำถามแบบเดียวกันทุกครั้งที่เริ่มการเรียนการสอน แล้วมันก็เป็นอย่างนี้มาหกปีแล้ว
ไม่มีนักศึกษาคนไหนเคยยกมือขึ้นเลย!
เหตุผลมันก็เป็นเรื่องปกติมาก ทั้งการฝึกทหารภาคสนาม ความบันเทิง กิจกรรมรับน้องใหม่ต่าง ๆ และความสนุกสนานในชีวิตมหาวิทยาลัยได้ดึงดูดความสนใจจากน้องใหม่หลายคนที่เพิ่งผ่านการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปเสียหมด
ฉะนั้นพวกเขาคงไม่มีเวลามากพอจะทวนบทเรียนล่วงหน้ามาแน่ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้ต้องการรีบทวนขนาดนั้นด้วย
ในความคิดของเหล่านักศึกษา มหาวิทยาลัยมีไว้เพื่อใช้ชีวิตให้สนุกสนาน สำหรับการเรียนแล้ว สามารถสนุกไปพร้อมกับการใช้ชีวิตก็ได้นี่นา!
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้เลยก็คือ วิชาแพทย์แผนจีนนั้นยากที่สุด ไม่อย่างนั้น พวกเขาก็คงไม่ต้องใช้เวลาเรียนถึงห้าปีแทนที่จะเรียนเพียงสี่ปีเหมือนคณะอื่น ๆ หรอก
หากพวกเขาไม่ใช้เวลาทุกนาทีในช่วงห้าปีให้เป็นประโยชน์ ชีวิตหลังจากเรียนจบของพวกเขาจะต้องตามหลังคนอื่นแน่ ๆ
ดังนั้น เฉียวมู่จึงถามคำถามนี้กับพวกเขา เขาต้องการที่จะเตือนความจำนักศึกษาให้กลับมาตั้งใจและจดจ่อกับการเรียนให้มากกว่านี้
อาจารย์หนุ่มต้องการจะให้นักศึกษารู้ว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นเหนื่อยกว่าตอนมัธยมมาก!
แน่นอนว่าทุกคนในชั้นเรียนต่างพากันส่ายหัว
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉียวมู่จางหายไปเหลือเพียงแต่ความจริงจัง ในขณะที่กำลังจะแสดงความโกรธออกมานั้น เขาก็เห็นนักศึกษาคนหนึ่งจากแถวที่สี่ยกมือขึ้น
เมื่อเห็นดังนั้น เฉียวมู่ก็รู้สึกประหลาดใจ
“เขา… เขาไม่ได้เล่นตามกติกานี่!”
ด้วยสายตาประหลาดใจของอาจารย์หน้าห้อง ทุกคนในห้องเรียนก็สอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ แล้วเห็นนักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้น
เป็นฟางชิวนั่นเอง…
ในห้องเรียนนี้ มีแค่เขาเท่านั้นที่เตรียมอ่านบทเรียนมาล่วงหน้า
มือข้างเดียวที่ยกสูงนั้นทำให้เขาดูไม่ค่อยดีนัก
หลายคนรู้สึกรำคาญนิดหน่อย “ก็แค่เตรียมตัวอ่านบทเรียนมาก่อน ต้องอวดดีด้วยหรือไง?”
แต่ฟางชิวไม่สนใจแต่อย่างใด เขายังคงยกมือขึ้นเพื่อรอตอบคำถามของอาจารย์
เขาเตรียมตัวอ่านบทเรียนมาก่อนแล้ว…
“หืม…?”
เฉียวมู่ดูบูดบึ้งเล็กน้อย เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะมีนักศึกษาใหม่ทวนแบบเรียนมาก่อน ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่สามารถเล่นละครฉากเดิมได้
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอาจารย์ การจะเปลี่ยนบทก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
“ดี!!”
“ฉันสอนที่นี่มาหกปีแล้ว แต่นักศึกษาคนนี้เป็นคนแรกที่ทวนแบบเรียนมาก่อน เพราะแบบนี้… ฉันพูดได้เลยว่าเขาคนนี้ได้ตระหนักรู้ถึงจุดประสงค์ของมหาวิทยาลัยและปฏิบัติตามอย่างดี ทุกคนควรเรียนรู้จากเขา! ปรบมือให้เขาหน่อย!”
เสียงปรบมือเปาะแปะดังขึ้น
มีเพียงแค่รูมเมตสามคนของฟางชิวและสาว ๆ เท่านั้นที่ปรบมืออย่างกระตือรือร้น นอกนั้นผู้ชายคนอื่น ๆ ก็ปรบมือไม่กี่ครั้งแบบส่ง ๆ
“นักศึกษาครับ… ฉันอยากรู้ว่าเธออ่านทวนบทเรียนมาเท่าไหร่?”
เฉียวมู่ถามฟางชิว เขาตั้งใจจะดึงสถานการณ์ให้กลับสู่บทแบบเดิมที่ตัวเขาเคยเล่น อาจารย์หนุ่มคิดว่าแม้จะมีคนที่ทวนบทเรียนมาก่อน แต่ก็คงทวนเพียงแค่ไม่กี่บทเท่านั้น พอได้คำตอบที่คาดไว้ เขาก็คงนำสถานการณ์กลับมาสู่บทเดิมของตัวเองได้…
เขาอยากปลูกฝังอุดมการณ์ในการศึกษาที่ดีแก่นักศึกษา เพื่อบอกว่าพวกเขาไม่สามารถเรียนได้รอดถ้าหากไม่ได้ทวนบทเรียน แม้จะเตรียมอ่านมาเพียงไม่กี่บทมันก็ยังดีกว่าไม่เตรียมอะไรเลย
แต่อาจารย์ยังหนุ่มก็ต้องชะงัก
“ผมอ่านจบหมดทั้งเล่มแล้วครับ…”
นั่นคือสิ่งที่ฟางชิวตอบเขา