บทที่ 29 นี่เป็นการซ้อมการแสดงครั้งแรกของพวกนายจริง ๆ เหรอ?
บทที่ 29 นี่เป็นการซ้อมการแสดงครั้งแรกของพวกนายจริง ๆ เหรอ?
เจียงเหมี่ยวอวี๋หยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาเพื่อเปิดเพลงประกอบ ‘ของขวัญพิธีเปิดเทอม’
เสียงเพลงอันไพเราะดังออกมา
ผู้ชมทั้งหกคนดูราวกับว่ากำลังเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลง
เมื่อเห็นการแสดงออกของทุกคนแล้ว ฟางชิวก็หมดคำพูด ‘นี่แค่ซ้อมเท่านั้น พวกเรายังไม่ได้เริ่มร้องกันจริง ๆ เลย คนพวกนี้จะช่วยตัดสินแล้วให้คำแนะนำการแสดงได้ไหม?’
เมื่อมาถึงท่อนร้องเพลง
เจียงเหมี่ยวอวี๋เริ่มร้องเวอร์ชันภาษาจีนกลางออกมา
“นักศึกษาทุก ๆ คน…”
“หาที่นั่งของตัวเอง…”
“นี่คือพิธีเปิดเทอมของพวกคุณ…”
‘เสียงหวานกว่าเก่าอีก’
ฟางชิวนึกในใจทันทีที่ได้ยินท่อนแรก
ว่ากันว่าเวลาคนเราเอาจริงเอาจังย่อมน่ากลัว โดยเฉพาะพวกผู้หญิง
ทั้งหกคนถูกดึงดูดทันทีด้วยเสียงร้องของเจียงเหมี่ยวอวี๋ ต่างคนต่างเผยสีหน้าจริงใจไม่เหมือนก่อนหน้านี้
พวกเขาดูมีความสุขไปกับเพลงจริง ๆ
“เสียงเพราะเกินไปแล้ว!”
โดยเฉพาะสามหนุ่ม เพียงเห็นใบหน้าของเจียงเหมี่ยวอวี๋ พวกเขาก็มีความสุขแล้ว
“มองไปข้างหน้า…”
“ลองนึกภาพว่าการสวมหมวกทรงสี่เหลี่ยมนั้นสวยงามเพียงใด…”
“จ่ายค่าเล่าเรียนที่ลืมไม่ลง…”
“ปีถัดไปที่ไร้ซึ่งความหยาบคาย…”
“พรุ่งนี้มักเป็นเทอมใหม่ของเราเสมอ…”
“ชั่วชีวิตคนเรา…”
ในที่สุดก็ถึงท่อนของฟางชิว
เจียงเหมี่ยวอวี๋หันไปมองฟางชิวหลังจากที่ร้องเพลงท่อนของเธอเสร็จ
ฟางชิวรู้ว่าถึงตาของตนแล้วจากที่ตกลงกันเมื่อวันก่อน
เขาจำเนื้อเพลงได้แล้ว ที่เหลือก็แค่ร้องออกไปเท่านั้น
ฟางชิวเริ่มร้องเพลง
ฉากที่เขาเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยผุดขึ้นมาในใจเขาหลายครั้งหลายครา
เขาคิดถึงโรงเรียนมัธยมปลายที่เขาเพิ่งเรียนจบมา
เขายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องการจะพูดกับรุ่นน้องตัวเองที่โรงเรียน
อย่างที่ในเนื้อเพลงบอกไว้ พวกเขาจะต้องเรียนรู้ในทุก ๆ อย่าง
“…หมั่นเรียนรู้…”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…”
“สิ่งที่เราเรียนรู้…”
“สามารถสร้างความมั่นใจให้เราเสมอ…”
“ทวนหนังสือ…”
“…มีประโยชน์ทุกครั้งที่มีสอบ…”
“อย่างน้อยก็รู้ว่าไม่เข้าใจอะไร…”
ฟางชิวร้องเพลงได้แตกต่างจากเจียงเหมี่ยวอวี๋ เนื้อเพลงเวอร์ชันกวางตุ้งของเขาทำให้ทั้งหกคนทำตาโตกันไปเป็นแถบ
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเนื้อเพลงหมายถึงอะไร
แต่ก็ไม่สามารถหยุดความคิดและความรู้สึกว่ามันไพเราะได้
พวกเขาเกือบจะจินตนาการได้ว่าเนื้อเพลงนั่นมีความหมายว่าอย่างไรโดยที่ไม่รู้ความหาย
ทำนองดำเนินไปอย่างช้า ๆ
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจ แต่ก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงแรงบันดาลใจในเพลงที่ฟางชิวร้อง
ยิ่งฟางชิวนั้นดันร้องได้ไพเราะซะขนาดนี้
ความไม่เข้าใจนี่แหละ ทำให้เกิดความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม
เจียงเหมี่ยวอวี๋ฟังฟางชิวร้องเพลงพลางตามทำนองเช่นกัน
“…คงจะมีแต่ความรัก…”
“ที่หนังสือเรียนไม่ได้สอนไว้…”
“เราคงต้องลองไปเรื่อย ๆ”
“…ที่จะถ่ายทอดความรู้สึกนี้ได้…”
เนื้อร้องท่อนนี้เป็นภาษาจีนกลาง คนที่ฟังอยู่จึงเข้าใจ
พวกเขามองฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋อย่างมุ่งร้าย
“…ความรักต้องพยายามต่อไป!”
“ความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งสองดูไม่ธรรมดาเลย เฮ้ ๆ!”
ในเวลาเดียวกัน เนื้อเพลงก็โดนใจพวกเขาด้วยเช่นกัน
หลายคืนนับไม่ถ้วนในโรงเรียนมัธยม พวกเขาได้แต่บอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่า ตัวเองจะต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยให้ได้
พวกเขามักชอบจินตนาการถึงชีวิตที่สวยงามในมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยอิสรภาพและความรักเสมอมา…
ทั้งคนร้องทั้งคนฟังต่างเฝ้ารอความรักที่แสนมหัศจรรย์ให้เข้ามาในหัวใจ
รวมทั้งฟางชิวด้วย
ฟางชิวร้องเพลงท่อนที่สองต่อ
“นักศึกษาทุกคน…”
“หาที่นั่งของตัวเอง…”
“นี่คือพิธีเปิดเทอมของพวกคุณ…”
“…ถ้าเธอ”
“รู้สึกว่ามันยาก ก็อย่าโกงนะ”
“ฝ่าฟันขวากหนามเพื่อจบปริญญา…”
“ความประพฤติของเธอยังคงเป็นเรื่องสูงส่ง”
“เมื่อเธอเรียนจบไป สิ่งที่เธอเรียนรู้จะ…”
“บังเกิดผลเอง…”
ตรงท่อนนี้มีท่วงทำนองที่มีชีวิตชีวามาก
มันให้ความรู้สึกมหัศจรรย์กับผู้ฟัง
พวกเขาไม่รู้ว่าเดิมทีเพลงนี้เป็นภาษากวางตุ้ง
แต่พวกเขารู้สึกว่าเวอร์ชันภาษากวางตุ้งนั้นไพเราะและเข้ากับเนื้อร้องมากกว่า
เพลงสามนาทีแม้จะดูยาวมาก แต่ทั้งหกคนกลับรู้สึกว่ามันยังไม่เพียงพอเลย
ท่อนจบของเพลงฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋ต่างร้องเป็นภาษาจีนกลาง
“จ่ายค่าเล่าเรียนที่ลืมไม่ลง…”
“ปีถัดไปที่ไร้ซึ่งความหยาบคาย…”
“พรุ่งนี้มักเป็นเทอมใหม่ของเราเสมอ…”
“ชั่วชีวิตคนเรา…”
เพลงจบลงแล้ว…
จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ
ฟางชิวมองคนอีกหกคนตรงหน้าที่ยังดูอินกับเสียงเพลง
“ระดับความซาบซึ้งของหกคนนี้ต่ำไปหน่อย…”
ฟางชิวจับคางของเขาแล้วพูดขึ้นว่า “ฟังแค่นี้ก็อินแล้วเหรอ…”
เจียงเหมี่ยวอวี๋อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน เธอมองฟางชิวแล้วพูด “รูมเมตของนายอินน้อยไปหน่อย รูมเมตฉันไม่นะ”
“ใช่! ใช่!” ฟางชิวพูดพร้อมรอยยิ้ม
ทั้งหกคนตื่นจากภวังค์เพราะเสียงหัวเราะ
หลังจากที่ตื่นจากภวังค์กันแล้ว พวกเขาก็มองไปที่ฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋ด้วยตาที่เบิกโพลงและเป็นประกาย จากนั้นก็ปรบมือ
“เพราะ… เสียงเพราะมาก! จริง ๆ!” ซุนฮ่าวเอ่ยชมจากใจจริง
อีกห้าคนที่เหลือก็พยักหน้าเห็นด้วย
พวกเขาปรบมือรัว ๆ ปรบดังมากซะจนมือแดงไปหมด
ฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำชม ทั้งสองโล่งใจขึ้นบ้างแล้ว
“ฉันมีคำถาม!”
โจวเสี่ยวเทียนยกมือขึ้นทันทีแล้วถามออกมา “นี่เป็นการซ้อมการแสดงครั้งแรกของพวกนายจริง ๆ เหรอ? ไม่ได้หลอกพวกเราใช่ไหม?”
คนอื่นก็มองทั้งคู่ด้วยความสงสัยเช่นกัน
พวกเขาคิดว่าเพราะทั้งคู่ฝึกฝนการร้องเพลงอย่างหนัก การขับร้องของเลยออกมาไพเราะ เป็นธรรมชาติและนุ่มนวล
“ใช่ ครั้งแรก” ฟางชิวตอบอย่างจริงใจ
เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็พยักหน้า
เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งหกคนก็ถึงกับตกตะลึง ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายด้วยความยินดี
“ครั้งแรกจริงเหรอ?!”
“แสดงได้ดีในครั้งแรกเลย”
ทั้งหกอดนึกถึงการแสดงในงานปาร์ตี้รับน้องใหม่ในคืนนั้นไม่ได้จริง ๆ นั่นนับเป็นครั้งแรกของคนทั้งคู่เช่นกัน แต่ทั้งสองก็สามารถแสดงร่วมกันออกมาได้อย่างไร้ที่ติ
“สองคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นนักดนตรีชัด ๆ!” จูเปิ่นเจิ้งชม
จากนั้นซุนฮ่าวก็กำหมัดแล้วพูดว่า
“การแสดงเมื่อกี้นี้ ใคร ๆ ก็คิดว่าพวกนายเป็นแฟนกัน!”
คนที่เหลืออีกห้าคนพยักหน้า
ทันใดนั้น บรรยากาศน่าอึดอัดและกระอักกระอ่วนก็ปกคลุมรอบ ๆ ตัวเจียงเหมี่ยวอวี๋และฟางชิว
โทรศัพท์ของเจียงเหมี่ยวอวี๋ดังขึ้นทำลายความเงียบนั้น
หลังจากเจียงเหมี่ยวอวี๋รับสายโทรศัพท์ เธอก็พูดกับฟางชิวว่า “คนจากสมาคมนักศึกษาที่รับผิดชอบพิธีเปิดเทอมเรียกให้ฉันไปเดี๋ยวนี้ เธอบอกว่าพวกเรามีเรื่องควรตกลงกัน อาจจะเพื่อ… จัดคิวแสดงล่ะมั้ง”
หลังจากนั้นเธอเอ่ยอย่างเสียอกเสียใจ “แย่จัง! เมื่อกี้ฉันน่าจะบันทึกเสียงให้พวกเขาฟัง”
“ง่ายนิดเดียว ทำไมเราไม่ร้องกันอีกรอบล่ะ?” ฟางชิวถาม
“ดี ๆ!!”
ทั้งหกคนชูโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาพร้อมกัน
กลายเป็นว่าบรรดาเพื่อน ๆ บันทึกเสียงไว้หมดแล้ว
นั่นทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นไปอีก เจียงเหมี่ยวอวี๋รับบันทึกเสียงที่เพื่อนของเธออัดเอาไว้ เสร็จแล้วก็นัดหมายฟางชิวให้มาซ้อมที่เดิมเวลาเดิมในวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็จากไปด้วยความเร่งรีบ
“ตื่นได้แล้ว!”
ฟางชิวตะโกนพลางสะกิดสามรูมเมตของตนที่ยังคงยืนเหม่อมองตามเจ้าของร่างงามของเจียงเหมี่ยวอวี๋ที่จากไป
“เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเราจะมาอีก!!” โจวเสี่ยวเทียนตอบกลับทันทีด้วยความตื่นเต้น
“อื้ม! อื้ม!” จูเปิ่นเจิ้งและซุนฮ่าวพยักหน้าพร้อมกัน
“นายชอบคนไหน ฉันชอบหยวนเป้ย ทั้งสูงทั้งเพรียว อย่าแย่งฉันนะโว้ย!” โจวเสี่ยวเทียนพูด
“ฉันชอบหวงหมานหม่าน ดูเป็นกุลสตรี สเปกฉันเลย!” ซุนฮ่าวพูดพลางเพ้ออยู่ในจินตนาการ
“พี่ใหญ่ แล้วพี่ล่ะชอบคนไหน?” โจวเสี่ยวเทียนถามจูเปิ่นเจิ้งอย่างกังวลใจ
เขาไม่อยากจะมีปัญหาบาดหมางกับรูมเมตตัวเองเรื่องผู้หญิง
“หวังอวี๋ น่ารัก ไร้เดียงสา สเปกฉันเลย” จูเปิ่นเจิ้งกล่าวทันที
หลังจากนั้น ทั้งสามคนก็มองกันและกันและยิ้มเจ้าเล่ห์
พวกเขาดูเหมือนจะสร้างพันธมิตรได้แล้วในเรื่องจีบสาว!
“เฮ้ย ๆ!” ฟางชิวเรียกให้ทั้งสามตื่นจากมโน “ยังมีฉันยืนอยู่นี่นะ พวกนายคงไม่ทิ้งฉันไว้ที่นี่คนเดียวใช่ไหม?!”
ซุนฟ่าวมองฟางชิวพลางเบ้หน้า “เฮอะ พวกฉันไม่แย่งเทพธิดาเจียงจากนายหรอก ไปไหนก็ไปเลย!”
“ไป๊ ๆ!”
จูเปิ่นเจิ้งและโจวเสี่ยวเทียนโบกมือไล่ฟางชิวด้วยสีหน้ารังเกียจ
ฟางชิวกลับหอพักไปด้วยความเจ็บปวดแล้วอ่านหนังสือต่อไป
ผ่านไปแล้วหนึ่งคืน…
ฟางชิวยังคงตื่นนอนตอนตีห้าทุกวัน เพราะเขาต้องไปเกาะใจกลางทะเลสาบเพื่อบ่มเพาะตนเอง ส่วนเฉินชงก็ยังคงออกกำลังกายอยู่ที่ภูเขาเหยาหวัง ซึ่งแน่นอนว่าฟางชิวก็เห็นอีกฝ่ายทุกวัน
การฝึกสนามภาคสนามนั้นจบแล้ว ครูฝึกก็พากันกลับออกไปหมด แต่เจ้าหน้าที่ทหารกลับไม่…
เป็นเวลาสามวันแล้วที่นายทหารคนนี้ยังปรากฏตัวอยู่ในที่ที่เฉินชงฝึกฝนตัวเองทุกวัน
แต่ฟางชิวไม่ออกไปแสดงตัว
เขาไม่ต้องการให้อะไรมารบกวนชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยของเขาทั้งนั้น
หลังจากคาบเรียนเช้าและมื้อเที่ยงผ่านไป ฟางชิวก็ไปที่แผนกศัลยกรรมกระดูก ณ โรงพยาบาลในเครือของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง
ตอนนี้เป็นเวลาที่ได้นัดหมายไว้กับหมอเสิ่นชุน
เมื่อไม่มีชั่วโมงเรียนช่วงบ่าย ชายหนุ่มก็มีเวลาเหลือเฟือ
ในตอนนี้เงินของฟางชิวจะหมดแล้ว เขาต้องการงานพิเศษเพื่อหาเงินเพิ่มอย่างเร่งด่วน
“สวัสดีครับ ผมมาหาคุณหมอเสิ่น เขาอยู่ที่ไหนพอจะบอกได้ไหมครับ?
ฟางชิวไปที่แผนกศัลยกรรมกระดูกที่อยู่ชั้นเจ็ดแล้วถามแพทย์หนุ่มในชุดเสื้อกาวน์
“มาหาหมอเสิ่นเพื่อรักษาเหรอ? มีใบนัดหรือเอกสารอะไรมาไหม?” แพทย์หนุ่มขมวดคิ้ว เขามองฟางชิวด้วยสายตาดูถูกและถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ผมไม่ได้มารักษา ผมมาหาเขาด้วยเหตุผลอื่น” ฟางชิวอธิบาย
“หมอเสิ่นรักษาคนไข้อยู่ ถ้าคุณไม่ได้มารักษาอาการป่วยก็อย่าไปกวน ไปนัดพบส่วนตัวแทน!”
หลังจากนั้นแพทย์หนุ่มก็ตั้งท่าจะจากไป
เขารู้สึกว่าฟางชิวดูเป็นแค่นักศึกษาที่ไม่ได้มีธุระสลักสำคัญอะไรที่นี่
“ที่นี่คือโรงพยาบาล ไม่มีเวลาเหลือเฟือให้ธุระส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาคนไข้หรอก!”
ทัศนคติของแพทย์หนุ่มทำให้ฟางชิวขมวดคิ้ว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ฟางชิวรอสักพักก็เจอกับหมอคนที่สอง ในที่สุดก็ได้รู้ว่าหมอเสิ่นชุนอยู่ที่ไหน
ชายหนุ่มเดินไปที่ห้องที่ปรึกษา
“ต่อคิวก่อนพบแพทย์ ให้มาอีกทีตอนถูกเรียก!”
ขณะที่ฟางชิวกำลังจะเข้าไปที่ห้อง แพทย์ที่ประตูก็เอื้อมมือออกไปมาขวาง จากนั้นเมื่อเห็นฟางชิวชัด ๆ เขาก็ชะงัก ก่อนจะถามออกมาด้วยความเหลืออด “เธออีกแล้วเหรอ? ถ้าไม่ได้มารักษาตัวก็อย่าเร่งให้มันมากนัก พวกเราต้องไปพบคนไข้เดี๋ยวนี้แล้ว!”
“ผมมาหาหมอเสิ่น ผมมีนัดกับเขา!” ฟางชิวอดทนอธิบายด้วยท่าทางสุภาพ
เพราะว่าที่นี่คือโรงพยาบาล เป็นสถานที่ที่ไว้รักษาผู้ป่วยและช่วยชีวิตผู้คน เป็นการดีกว่าที่จะไม่มีการทะเลาะกันเกิดขึ้น
“มีนัดงั้นเหรอ?”
แพทย์หนุ่มมองฟางชิวตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเสียดสีออกมา “ที่นี่การนัดพบแพทย์จะต้องมีใบนัดหรือเอกสารอื่นมายืนยัน ในเมื่อเธอไม่มี เธอจะมีนัดได้ยังไง? จะโกหกก็ให้มันเนียนหน่อย!”
สีหน้าของฟางชิวมืดครึ้มลงทันที
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ชายหนุ่มพบกับคนที่ไม่เข้าใจอะไรง่าย ๆ แบบชายคนนี้
ที่นี่คือโรงพยาบาล คนไข้จะมีสุขภาพจิตดีได้อย่างไรถ้ามีหมอแบบนี้?!
ทว่าก่อนที่ฟางชิวจะทำอะไรสักอย่าง เสิ่นชุนที่เพิ่งรักษาคนไข้ข้างในเสร็จและกำลังจะเรียกผู้ป่วยคนต่อไปก็ชะเง้อหน้ามาเห็นฟางชิวพอดี เสิ่นชุนจึงเรียกเขาด้วยความประหลาดใจ “เธอมาแล้ว!”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเสิ่นชุน แพทย์หนุ่มก็ต้องตกใจยิ่งกว่า เขาไม่คิดเลยว่าหมอเสิ่นกับเจ้าเด็กขี้โม้นี่จะรู้จักกันจริง ๆ
แย่แล้วไง! แล้วเด็กนี่จะฟ้องหมอเสิ่นไหมเนี่ย?!
การกระทำต่อมาของเสิ่นชุนยิ่งทำให้รู้สึกสลด
เพราะเสิ่นชุนยืนขึ้นแล้วเดินไปต้อนรับฟางชิวที่ประตู
ฟางชิวเดินอ้อมแพทย์หนุ่มแล้วไปทักทายเสิ่นชุน
“ผมมาศึกษาน่ะครับ” ฟางชิวว่าอย่างนอบน้อม
“ช่างเป็นคนถ่อมตน!”
เสิ่นชุนพูดกับเขาพร้อมด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็กวักมือเรียกให้ฟางชิวนั่งลง
“ที่นี่อาจจะคับแคบสักหน่อย คงไม่มีอะไรมาทำให้เธอสนุกได้มากนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ด้วยความยินดี” ฟางชิวตอบ
ในเวลานี้ก็มีคนไข้วัยกลางคนเดินถือซีทีสแกนออกมา
“หมอครับ ได้ผลซีทีสแกนแล้วครับ”
“ให้ผมดูซิ”
เสิ่นชุนมองฟางชิวอย่างประดักประเดิด ฟางชิวจึงโบกมือเชิงขอให้เสิ่นชุนจัดการงานตัวเองก่อน
หลังจากที่ดูผลซีทีสแกน เสิ่นชุนก็ขอให้คนไข้วางเท้าของตัวเองบนเก้าอี้ที่คลุมด้วยผ้าฝ้ายแล้วสัมผัสข้อเท้าที่บาดเจ็บของคนไข้
ในขณะที่เสิ่นชุนกำลังจะเริ่มรักษา เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ เขาเงยหน้ามองฟางชิวแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เธออยากจะลองไหม?”
น้ำเสียงของเสิ่นชุนดูมีความหวังมาก
เสิ่นชุนเคยเห็นความสามารถในการจัดกระดูกของฟางชิวด้วยตาตัวเองมาก่อน เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าระดับความสามารถของฟางชิวคือมืออาชีพ
แม้ที่ฟางชิวได้รักษาไปนั้นคืออาการข้อเท้าแพลงก็ตาม
ทว่าแพทย์หนุ่มและคนไข้ต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่เสิ่นชุนพูด
แพทย์หนุ่มมองฟางชิวอย่างร้อนรน
หมอเสิ่นกำลังปล่อยให้ไอ้หนุ่มนี่รักษาคนไข้เหรอ?
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”