คุรุการแพทย์ – บทที่ 29 นี่เป็นการซ้อมการแสดงครั้งแรกของพวกนายจริง ๆ เหรอ

คุรุการแพทย์

บทที่ 29 นี่เป็นการซ้อมการแสดงครั้งแรกของพวกนายจริง ๆ เหรอ?

บทที่ 29 นี่เป็นการซ้อมการแสดงครั้งแรกของพวกนายจริง ๆ เหรอ?

เจียงเหมี่ยวอวี๋หยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาเพื่อเปิดเพลงประกอบ ‘ของขวัญพิธีเปิดเทอม’

เสียงเพลงอันไพเราะดังออกมา

ผู้ชมทั้งหกคนดูราวกับว่ากำลังเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลง

เมื่อเห็นการแสดงออกของทุกคนแล้ว ฟางชิวก็หมดคำพูด ‘นี่แค่ซ้อมเท่านั้น พวกเรายังไม่ได้เริ่มร้องกันจริง ๆ เลย คนพวกนี้จะช่วยตัดสินแล้วให้คำแนะนำการแสดงได้ไหม?’

เมื่อมาถึงท่อนร้องเพลง

เจียงเหมี่ยวอวี๋เริ่มร้องเวอร์ชันภาษาจีนกลางออกมา

“นักศึกษาทุก ๆ คน…”

“หาที่นั่งของตัวเอง…”

“นี่คือพิธีเปิดเทอมของพวกคุณ…”

‘เสียงหวานกว่าเก่าอีก’

ฟางชิวนึกในใจทันทีที่ได้ยินท่อนแรก

ว่ากันว่าเวลาคนเราเอาจริงเอาจังย่อมน่ากลัว โดยเฉพาะพวกผู้หญิง

ทั้งหกคนถูกดึงดูดทันทีด้วยเสียงร้องของเจียงเหมี่ยวอวี๋ ต่างคนต่างเผยสีหน้าจริงใจไม่เหมือนก่อนหน้านี้

พวกเขาดูมีความสุขไปกับเพลงจริง ๆ

“เสียงเพราะเกินไปแล้ว!”

โดยเฉพาะสามหนุ่ม เพียงเห็นใบหน้าของเจียงเหมี่ยวอวี๋ พวกเขาก็มีความสุขแล้ว

“มองไปข้างหน้า…”

“ลองนึกภาพว่าการสวมหมวกทรงสี่เหลี่ยมนั้นสวยงามเพียงใด…”

“จ่ายค่าเล่าเรียนที่ลืมไม่ลง…”

“ปีถัดไปที่ไร้ซึ่งความหยาบคาย…”

“พรุ่งนี้มักเป็นเทอมใหม่ของเราเสมอ…”

“ชั่วชีวิตคนเรา…”

ในที่สุดก็ถึงท่อนของฟางชิว

เจียงเหมี่ยวอวี๋หันไปมองฟางชิวหลังจากที่ร้องเพลงท่อนของเธอเสร็จ

ฟางชิวรู้ว่าถึงตาของตนแล้วจากที่ตกลงกันเมื่อวันก่อน

เขาจำเนื้อเพลงได้แล้ว ที่เหลือก็แค่ร้องออกไปเท่านั้น

ฟางชิวเริ่มร้องเพลง

ฉากที่เขาเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยผุดขึ้นมาในใจเขาหลายครั้งหลายครา

เขาคิดถึงโรงเรียนมัธยมปลายที่เขาเพิ่งเรียนจบมา

เขายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องการจะพูดกับรุ่นน้องตัวเองที่โรงเรียน

อย่างที่ในเนื้อเพลงบอกไว้ พวกเขาจะต้องเรียนรู้ในทุก ๆ อย่าง

“…หมั่นเรียนรู้…”

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…”

“สิ่งที่เราเรียนรู้…”

“สามารถสร้างความมั่นใจให้เราเสมอ…”

“ทวนหนังสือ…”

“…มีประโยชน์ทุกครั้งที่มีสอบ…”

“อย่างน้อยก็รู้ว่าไม่เข้าใจอะไร…”

ฟางชิวร้องเพลงได้แตกต่างจากเจียงเหมี่ยวอวี๋ เนื้อเพลงเวอร์ชันกวางตุ้งของเขาทำให้ทั้งหกคนทำตาโตกันไปเป็นแถบ

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเนื้อเพลงหมายถึงอะไร

แต่ก็ไม่สามารถหยุดความคิดและความรู้สึกว่ามันไพเราะได้

พวกเขาเกือบจะจินตนาการได้ว่าเนื้อเพลงนั่นมีความหมายว่าอย่างไรโดยที่ไม่รู้ความหาย

ทำนองดำเนินไปอย่างช้า ๆ

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจ แต่ก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงแรงบันดาลใจในเพลงที่ฟางชิวร้อง

ยิ่งฟางชิวนั้นดันร้องได้ไพเราะซะขนาดนี้

ความไม่เข้าใจนี่แหละ ทำให้เกิดความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม

เจียงเหมี่ยวอวี๋ฟังฟางชิวร้องเพลงพลางตามทำนองเช่นกัน

“…คงจะมีแต่ความรัก…”

“ที่หนังสือเรียนไม่ได้สอนไว้…”

“เราคงต้องลองไปเรื่อย ๆ”

“…ที่จะถ่ายทอดความรู้สึกนี้ได้…”

เนื้อร้องท่อนนี้เป็นภาษาจีนกลาง คนที่ฟังอยู่จึงเข้าใจ

พวกเขามองฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋อย่างมุ่งร้าย

“…ความรักต้องพยายามต่อไป!”

“ความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งสองดูไม่ธรรมดาเลย เฮ้ ๆ!”

ในเวลาเดียวกัน เนื้อเพลงก็โดนใจพวกเขาด้วยเช่นกัน

หลายคืนนับไม่ถ้วนในโรงเรียนมัธยม พวกเขาได้แต่บอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่า ตัวเองจะต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยให้ได้

พวกเขามักชอบจินตนาการถึงชีวิตที่สวยงามในมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยอิสรภาพและความรักเสมอมา…

ทั้งคนร้องทั้งคนฟังต่างเฝ้ารอความรักที่แสนมหัศจรรย์ให้เข้ามาในหัวใจ

รวมทั้งฟางชิวด้วย

ฟางชิวร้องเพลงท่อนที่สองต่อ

“นักศึกษาทุกคน…”

“หาที่นั่งของตัวเอง…”

“นี่คือพิธีเปิดเทอมของพวกคุณ…”

“…ถ้าเธอ”

“รู้สึกว่ามันยาก ก็อย่าโกงนะ”

“ฝ่าฟันขวากหนามเพื่อจบปริญญา…”

“ความประพฤติของเธอยังคงเป็นเรื่องสูงส่ง”

“เมื่อเธอเรียนจบไป สิ่งที่เธอเรียนรู้จะ…”

“บังเกิดผลเอง…”

ตรงท่อนนี้มีท่วงทำนองที่มีชีวิตชีวามาก

มันให้ความรู้สึกมหัศจรรย์กับผู้ฟัง

พวกเขาไม่รู้ว่าเดิมทีเพลงนี้เป็นภาษากวางตุ้ง

แต่พวกเขารู้สึกว่าเวอร์ชันภาษากวางตุ้งนั้นไพเราะและเข้ากับเนื้อร้องมากกว่า

เพลงสามนาทีแม้จะดูยาวมาก แต่ทั้งหกคนกลับรู้สึกว่ามันยังไม่เพียงพอเลย

ท่อนจบของเพลงฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋ต่างร้องเป็นภาษาจีนกลาง

“จ่ายค่าเล่าเรียนที่ลืมไม่ลง…”

“ปีถัดไปที่ไร้ซึ่งความหยาบคาย…”

“พรุ่งนี้มักเป็นเทอมใหม่ของเราเสมอ…”

“ชั่วชีวิตคนเรา…”

เพลงจบลงแล้ว…

จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ

ฟางชิวมองคนอีกหกคนตรงหน้าที่ยังดูอินกับเสียงเพลง

“ระดับความซาบซึ้งของหกคนนี้ต่ำไปหน่อย…”

ฟางชิวจับคางของเขาแล้วพูดขึ้นว่า “ฟังแค่นี้ก็อินแล้วเหรอ…”

เจียงเหมี่ยวอวี๋อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน เธอมองฟางชิวแล้วพูด “รูมเมตของนายอินน้อยไปหน่อย รูมเมตฉันไม่นะ”

“ใช่! ใช่!” ฟางชิวพูดพร้อมรอยยิ้ม

ทั้งหกคนตื่นจากภวังค์เพราะเสียงหัวเราะ

หลังจากที่ตื่นจากภวังค์กันแล้ว พวกเขาก็มองไปที่ฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋ด้วยตาที่เบิกโพลงและเป็นประกาย จากนั้นก็ปรบมือ

“เพราะ… เสียงเพราะมาก! จริง ๆ!” ซุนฮ่าวเอ่ยชมจากใจจริง

อีกห้าคนที่เหลือก็พยักหน้าเห็นด้วย

พวกเขาปรบมือรัว ๆ ปรบดังมากซะจนมือแดงไปหมด

ฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำชม ทั้งสองโล่งใจขึ้นบ้างแล้ว

“ฉันมีคำถาม!”

โจวเสี่ยวเทียนยกมือขึ้นทันทีแล้วถามออกมา “นี่เป็นการซ้อมการแสดงครั้งแรกของพวกนายจริง ๆ เหรอ? ไม่ได้หลอกพวกเราใช่ไหม?”

คนอื่นก็มองทั้งคู่ด้วยความสงสัยเช่นกัน

พวกเขาคิดว่าเพราะทั้งคู่ฝึกฝนการร้องเพลงอย่างหนัก การขับร้องของเลยออกมาไพเราะ เป็นธรรมชาติและนุ่มนวล

“ใช่ ครั้งแรก” ฟางชิวตอบอย่างจริงใจ

เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็พยักหน้า

เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งหกคนก็ถึงกับตกตะลึง ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายด้วยความยินดี

“ครั้งแรกจริงเหรอ?!”

“แสดงได้ดีในครั้งแรกเลย”

ทั้งหกอดนึกถึงการแสดงในงานปาร์ตี้รับน้องใหม่ในคืนนั้นไม่ได้จริง ๆ นั่นนับเป็นครั้งแรกของคนทั้งคู่เช่นกัน แต่ทั้งสองก็สามารถแสดงร่วมกันออกมาได้อย่างไร้ที่ติ

“สองคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นนักดนตรีชัด ๆ!” จูเปิ่นเจิ้งชม

จากนั้นซุนฮ่าวก็กำหมัดแล้วพูดว่า

“การแสดงเมื่อกี้นี้ ใคร ๆ ก็คิดว่าพวกนายเป็นแฟนกัน!”

คนที่เหลืออีกห้าคนพยักหน้า

ทันใดนั้น บรรยากาศน่าอึดอัดและกระอักกระอ่วนก็ปกคลุมรอบ ๆ ตัวเจียงเหมี่ยวอวี๋และฟางชิว

โทรศัพท์ของเจียงเหมี่ยวอวี๋ดังขึ้นทำลายความเงียบนั้น

หลังจากเจียงเหมี่ยวอวี๋รับสายโทรศัพท์ เธอก็พูดกับฟางชิวว่า “คนจากสมาคมนักศึกษาที่รับผิดชอบพิธีเปิดเทอมเรียกให้ฉันไปเดี๋ยวนี้ เธอบอกว่าพวกเรามีเรื่องควรตกลงกัน อาจจะเพื่อ… จัดคิวแสดงล่ะมั้ง”

หลังจากนั้นเธอเอ่ยอย่างเสียอกเสียใจ “แย่จัง! เมื่อกี้ฉันน่าจะบันทึกเสียงให้พวกเขาฟัง”

“ง่ายนิดเดียว ทำไมเราไม่ร้องกันอีกรอบล่ะ?” ฟางชิวถาม

“ดี ๆ!!”

ทั้งหกคนชูโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาพร้อมกัน

กลายเป็นว่าบรรดาเพื่อน ๆ บันทึกเสียงไว้หมดแล้ว

นั่นทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นไปอีก เจียงเหมี่ยวอวี๋รับบันทึกเสียงที่เพื่อนของเธออัดเอาไว้ เสร็จแล้วก็นัดหมายฟางชิวให้มาซ้อมที่เดิมเวลาเดิมในวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็จากไปด้วยความเร่งรีบ

“ตื่นได้แล้ว!”

ฟางชิวตะโกนพลางสะกิดสามรูมเมตของตนที่ยังคงยืนเหม่อมองตามเจ้าของร่างงามของเจียงเหมี่ยวอวี๋ที่จากไป

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเราจะมาอีก!!” โจวเสี่ยวเทียนตอบกลับทันทีด้วยความตื่นเต้น

“อื้ม! อื้ม!” จูเปิ่นเจิ้งและซุนฮ่าวพยักหน้าพร้อมกัน

“นายชอบคนไหน ฉันชอบหยวนเป้ย ทั้งสูงทั้งเพรียว อย่าแย่งฉันนะโว้ย!” โจวเสี่ยวเทียนพูด

“ฉันชอบหวงหมานหม่าน ดูเป็นกุลสตรี สเปกฉันเลย!” ซุนฮ่าวพูดพลางเพ้ออยู่ในจินตนาการ

“พี่ใหญ่ แล้วพี่ล่ะชอบคนไหน?” โจวเสี่ยวเทียนถามจูเปิ่นเจิ้งอย่างกังวลใจ

เขาไม่อยากจะมีปัญหาบาดหมางกับรูมเมตตัวเองเรื่องผู้หญิง

“หวังอวี๋ น่ารัก ไร้เดียงสา สเปกฉันเลย” จูเปิ่นเจิ้งกล่าวทันที

หลังจากนั้น ทั้งสามคนก็มองกันและกันและยิ้มเจ้าเล่ห์

พวกเขาดูเหมือนจะสร้างพันธมิตรได้แล้วในเรื่องจีบสาว!

“เฮ้ย ๆ!” ฟางชิวเรียกให้ทั้งสามตื่นจากมโน “ยังมีฉันยืนอยู่นี่นะ พวกนายคงไม่ทิ้งฉันไว้ที่นี่คนเดียวใช่ไหม?!”

ซุนฟ่าวมองฟางชิวพลางเบ้หน้า “เฮอะ พวกฉันไม่แย่งเทพธิดาเจียงจากนายหรอก ไปไหนก็ไปเลย!”

“ไป๊ ๆ!”

จูเปิ่นเจิ้งและโจวเสี่ยวเทียนโบกมือไล่ฟางชิวด้วยสีหน้ารังเกียจ

ฟางชิวกลับหอพักไปด้วยความเจ็บปวดแล้วอ่านหนังสือต่อไป

ผ่านไปแล้วหนึ่งคืน…

ฟางชิวยังคงตื่นนอนตอนตีห้าทุกวัน เพราะเขาต้องไปเกาะใจกลางทะเลสาบเพื่อบ่มเพาะตนเอง ส่วนเฉินชงก็ยังคงออกกำลังกายอยู่ที่ภูเขาเหยาหวัง ซึ่งแน่นอนว่าฟางชิวก็เห็นอีกฝ่ายทุกวัน

การฝึกสนามภาคสนามนั้นจบแล้ว ครูฝึกก็พากันกลับออกไปหมด แต่เจ้าหน้าที่ทหารกลับไม่…

เป็นเวลาสามวันแล้วที่นายทหารคนนี้ยังปรากฏตัวอยู่ในที่ที่เฉินชงฝึกฝนตัวเองทุกวัน

แต่ฟางชิวไม่ออกไปแสดงตัว

เขาไม่ต้องการให้อะไรมารบกวนชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยของเขาทั้งนั้น

หลังจากคาบเรียนเช้าและมื้อเที่ยงผ่านไป ฟางชิวก็ไปที่แผนกศัลยกรรมกระดูก ณ โรงพยาบาลในเครือของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง

ตอนนี้เป็นเวลาที่ได้นัดหมายไว้กับหมอเสิ่นชุน

เมื่อไม่มีชั่วโมงเรียนช่วงบ่าย ชายหนุ่มก็มีเวลาเหลือเฟือ

ในตอนนี้เงินของฟางชิวจะหมดแล้ว เขาต้องการงานพิเศษเพื่อหาเงินเพิ่มอย่างเร่งด่วน

“สวัสดีครับ ผมมาหาคุณหมอเสิ่น เขาอยู่ที่ไหนพอจะบอกได้ไหมครับ?

ฟางชิวไปที่แผนกศัลยกรรมกระดูกที่อยู่ชั้นเจ็ดแล้วถามแพทย์หนุ่มในชุดเสื้อกาวน์

“มาหาหมอเสิ่นเพื่อรักษาเหรอ? มีใบนัดหรือเอกสารอะไรมาไหม?” แพทย์หนุ่มขมวดคิ้ว เขามองฟางชิวด้วยสายตาดูถูกและถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ผมไม่ได้มารักษา ผมมาหาเขาด้วยเหตุผลอื่น” ฟางชิวอธิบาย

“หมอเสิ่นรักษาคนไข้อยู่ ถ้าคุณไม่ได้มารักษาอาการป่วยก็อย่าไปกวน ไปนัดพบส่วนตัวแทน!”

หลังจากนั้นแพทย์หนุ่มก็ตั้งท่าจะจากไป

เขารู้สึกว่าฟางชิวดูเป็นแค่นักศึกษาที่ไม่ได้มีธุระสลักสำคัญอะไรที่นี่

“ที่นี่คือโรงพยาบาล ไม่มีเวลาเหลือเฟือให้ธุระส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาคนไข้หรอก!”

ทัศนคติของแพทย์หนุ่มทำให้ฟางชิวขมวดคิ้ว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ฟางชิวรอสักพักก็เจอกับหมอคนที่สอง ในที่สุดก็ได้รู้ว่าหมอเสิ่นชุนอยู่ที่ไหน

ชายหนุ่มเดินไปที่ห้องที่ปรึกษา

“ต่อคิวก่อนพบแพทย์ ให้มาอีกทีตอนถูกเรียก!”

ขณะที่ฟางชิวกำลังจะเข้าไปที่ห้อง แพทย์ที่ประตูก็เอื้อมมือออกไปมาขวาง จากนั้นเมื่อเห็นฟางชิวชัด ๆ เขาก็ชะงัก ก่อนจะถามออกมาด้วยความเหลืออด “เธออีกแล้วเหรอ? ถ้าไม่ได้มารักษาตัวก็อย่าเร่งให้มันมากนัก พวกเราต้องไปพบคนไข้เดี๋ยวนี้แล้ว!”

“ผมมาหาหมอเสิ่น ผมมีนัดกับเขา!” ฟางชิวอดทนอธิบายด้วยท่าทางสุภาพ

เพราะว่าที่นี่คือโรงพยาบาล เป็นสถานที่ที่ไว้รักษาผู้ป่วยและช่วยชีวิตผู้คน เป็นการดีกว่าที่จะไม่มีการทะเลาะกันเกิดขึ้น

“มีนัดงั้นเหรอ?”

แพทย์หนุ่มมองฟางชิวตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเสียดสีออกมา “ที่นี่การนัดพบแพทย์จะต้องมีใบนัดหรือเอกสารอื่นมายืนยัน ในเมื่อเธอไม่มี เธอจะมีนัดได้ยังไง? จะโกหกก็ให้มันเนียนหน่อย!”

สีหน้าของฟางชิวมืดครึ้มลงทันที

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ชายหนุ่มพบกับคนที่ไม่เข้าใจอะไรง่าย ๆ แบบชายคนนี้

ที่นี่คือโรงพยาบาล คนไข้จะมีสุขภาพจิตดีได้อย่างไรถ้ามีหมอแบบนี้?!

ทว่าก่อนที่ฟางชิวจะทำอะไรสักอย่าง เสิ่นชุนที่เพิ่งรักษาคนไข้ข้างในเสร็จและกำลังจะเรียกผู้ป่วยคนต่อไปก็ชะเง้อหน้ามาเห็นฟางชิวพอดี เสิ่นชุนจึงเรียกเขาด้วยความประหลาดใจ “เธอมาแล้ว!”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเสิ่นชุน แพทย์หนุ่มก็ต้องตกใจยิ่งกว่า เขาไม่คิดเลยว่าหมอเสิ่นกับเจ้าเด็กขี้โม้นี่จะรู้จักกันจริง ๆ

แย่แล้วไง! แล้วเด็กนี่จะฟ้องหมอเสิ่นไหมเนี่ย?!

การกระทำต่อมาของเสิ่นชุนยิ่งทำให้รู้สึกสลด

เพราะเสิ่นชุนยืนขึ้นแล้วเดินไปต้อนรับฟางชิวที่ประตู

ฟางชิวเดินอ้อมแพทย์หนุ่มแล้วไปทักทายเสิ่นชุน

“ผมมาศึกษาน่ะครับ” ฟางชิวว่าอย่างนอบน้อม

“ช่างเป็นคนถ่อมตน!”

เสิ่นชุนพูดกับเขาพร้อมด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็กวักมือเรียกให้ฟางชิวนั่งลง

“ที่นี่อาจจะคับแคบสักหน่อย คงไม่มีอะไรมาทำให้เธอสนุกได้มากนะ”

“ไม่เป็นไรครับ ด้วยความยินดี” ฟางชิวตอบ

ในเวลานี้ก็มีคนไข้วัยกลางคนเดินถือซีทีสแกนออกมา

“หมอครับ ได้ผลซีทีสแกนแล้วครับ”

“ให้ผมดูซิ”

เสิ่นชุนมองฟางชิวอย่างประดักประเดิด ฟางชิวจึงโบกมือเชิงขอให้เสิ่นชุนจัดการงานตัวเองก่อน

หลังจากที่ดูผลซีทีสแกน เสิ่นชุนก็ขอให้คนไข้วางเท้าของตัวเองบนเก้าอี้ที่คลุมด้วยผ้าฝ้ายแล้วสัมผัสข้อเท้าที่บาดเจ็บของคนไข้

ในขณะที่เสิ่นชุนกำลังจะเริ่มรักษา เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ เขาเงยหน้ามองฟางชิวแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เธออยากจะลองไหม?”

น้ำเสียงของเสิ่นชุนดูมีความหวังมาก

เสิ่นชุนเคยเห็นความสามารถในการจัดกระดูกของฟางชิวด้วยตาตัวเองมาก่อน เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าระดับความสามารถของฟางชิวคือมืออาชีพ

แม้ที่ฟางชิวได้รักษาไปนั้นคืออาการข้อเท้าแพลงก็ตาม

ทว่าแพทย์หนุ่มและคนไข้ต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่เสิ่นชุนพูด

แพทย์หนุ่มมองฟางชิวอย่างร้อนรน

หมอเสิ่นกำลังปล่อยให้ไอ้หนุ่มนี่รักษาคนไข้เหรอ?

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน