บทที่ 45 จริงใจมันได้ผล!
บทที่ 45 จริงใจมันได้ผล!
[หลี่ชิงสือบริจาคเงินหนึ่งพันหยวน!]
[ฟางชิวกล่าวบางอย่างต่อหน้าทุกคน เขาบอกว่า ถ้าเห็นเพื่อนร่วมชั้นป่วยหนัก พวกเราไม่ควรบริจาคเงินเพียงอย่างเดียว ที่สำคัญกว่าการบริจาคคือความมุ่งมั่นที่จะเป็นหมอที่ดีเพื่อช่วยเพื่อนร่วมชั้นคนนี้ต่างหาก พวกเราช่วยชีวิตผู้ป่วยคนอื่นได้ เพราะว่าพวกเราเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน ฉันเข้าใจมางี้นะ สิ่งที่ฟางชิวพูดเร่าร้อนจริง ๆ ฉันละอายใจที่จะพูดแล้ว!]
[หลี่ชิงสือล้อเลียนฟางชิวที่เอาแต่พูดปากเปล่า หาว่าฟางชิวไม่มีเงินบริจาค]
[ฟางชิวเลยสแกนเงินบริจาคซะเลย บริจาคเท่าไหร่น่ะเหรอ?]
[เจ้าหน้าที่ประกาศว่าสองหมื่นเก้าพันหยวน!!!]
[โครตอึ้ง พี่ฟางชิว สำหรับนักศึกษาแล้วเงินนี่ไม่น้อย ๆ เลยนะ! ในอนาคต ใครก็ตามที่กล้าพูดว่าฟางชิวดีแต่พูดหรือเสแสร้งใจดี ฉันจะดวลกับเขา! ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันจะไปอ่านหนังสือ ขอบอกทุกคนไว้ก่อนเลยนะว่าอย่ามารบกวนเวลาอ่านหนังสือของฉัน!!!]
…
ข้อความไลฟ์สดจบลงไปแล้ว แต่อารมณ์ของคนที่อ่านยังคงพลุ่งพล่านอยู่
เรื่องจริงหรือเนี่ย?
ฟางชิวบริจาคสองหมื่นเก้าพันหยวนเลยหรือ?
คอมเมนต์คำถามและความคิดเห็นมากมายถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย
[จริงหรือเปล่าที่ฟางชิวเล่นเครื่องดนตรีทั้งหมดได้จริง ๆ แล้วที่ว่าบริจาคสองหมื่นเก้าพันหยวนอะใช่เรื่องจริงรึเปล่า?]
[สองหมื่นเก้าพันหยวน ใช้จ่ายได้ตั้งสี่เทอม บอกจะบริจาคก็บริจาคเลยเหรอ คงมีเงินเลยได้ใช้ตามอำเภอใจตัวเองสินะ…]
[ใครรู้ภูมิหลังของครอบครัวฟางชิวบ้าง ถามเป็นเกร็ดความรู้หน่อย ฟางชิวเป็นทายาทลูกเศรษฐีรุ่นที่สองหรือเปล่า]
[ตามความเห็นข้างบน ฟางชิวเล่นเครื่องดนตรีเป็นหลายชนิดแถมยังรวยมากแบบนี้ เขาต้องเป็นลูกเศรษฐีรุ่นที่สองที่รวยมากแน่ ๆ]
[ฝากถึงทุกความคิดเห็นด้านบนทุกคน ไม่ต้องไปสนใจเกี่ยวกับฐานะทางบ้านของฟางชิวขนาดนั้นก็ได้ ประเด็นที่สำคัญก็คือสิ่งที่ฟางชิวพูดนั้นถูกต้อง พวกเราทุกคนเรียนแพทย์ แต่พอเพื่อนร่วมชั้นของพวกเราป่วย พวกเรากลับช่วยอะไรไม่ได้ ละอายใจกันไหม? อย่างน้อยฉันก็รู้สึกละอายใจแล้วคนหนึ่ง!]
[ใช่เลย! ฟางชิวหล่อกว่า เก่งกว่า รวยกว่าแล้วยังไง ประเด็นคือเขามีอุดมคติที่ยิ่งใหญ่กว่าต่างหาก ไม่เหลือทางให้คนอื่นเดินแล้ว!]
[สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ฟางชิวมีทั้งคุณสมบัติ ทั้งความขยันหมั่นเพียร ไม่พูดแล้ว ไปเรียนดีกว่า!]
[ใช่ ไปเรียน เตรียมตัวไม่เข้าเว็บบอร์ดสามเดือน ห้ามอ่านข่าวซุบซิบ! ขอตั้งกระทู้เอาไว้เป็นหลักฐาน!]
[ขอให้โชคดีนะ ความเห็นด้านบน!]
[ตอนนี้ฟางชิวเป็นอันดับสองรองจากชายลึกลับที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในมหาวิทยาลัย ความนิยมเหนือกว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋ที่เป็นดอกไม้ของมหาวิทยาลัยด้วย ตอนนี้ อันดับหนึ่งเป็นชายลึกลับ ปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ ความนิยมอยู่ที่ 41,879 คะแนน อันดับสองคือฟางชิว ความนิยมคือ 40,230 คะแนน และอันดับที่สามเป็นเจียงเหมี่ยวอวี๋ ความนิยมอยู่ที่ 37,920 คะแนน นี่เป็นรายชื่อผู้เข้าแข่งขันที่ดีที่สุดแห่งปี ฉันหาคนที่มีพรสวรรค์เทียบเคียงกับฟางชิวไม่ได้เลย]
[ฉันสนใจแค่เรื่องความขัดแย้งระหว่างฟางชิวกับหลี่ชิงสือเท่านั้น ขอข้อมูลละเอียด ๆ ด้วย!]
…
ทุกความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป
นอกจากชายลึกลับแล้ว ฟางชิวก็กลายเป็นบุคคลที่มาแรงที่สุดในบรรดาน้องใหม่ทั้งหมดในมหาวิทยาลัย
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ฟางชิวได้กลายเป็นคนที่เจิดจรัสที่สุดในหมู่น้องใหม่
ไม่มีใครไม่เคยอิจฉาคนอื่น แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อฟางชิวนั้นเก่งเกินไป เพราะเก่งเกินไปอย่างนี้แหละ คนอื่นถึงทนอิจฉาไม่ไหว พวกเขาจึงทำได้เพียงแหงนหน้าขึ้นมองเท่านั้น
ฟางชิวกลับไปถึงหอพักแล้วก็อ่านหนังสือต่อ แต่รูมเมตสามคนในหอพักยังคงอ่านประวัติของชมรมต่าง ๆ ต่อไป และยังกระซิบคุยกันไม่เลิก
พวกเขาสามคนยังไม่อยากชวนฟางชิวคุยด้วยตอนนี้
ฟางชิวเป็นเด็กเรียน ถ้าเข้ากลุ่มติวหนังสือเขาก็อาจจะมีส่วนร่วม แต่การนินทาไร้สาระไม่อยู่ในสายตาของชายหนุ่มหรอก
ยิ่งกว่านั้นพวกเขาสามคนกลัวฟางชิวจะโมโห
ตอนนี้หมาบ้าเลิกคลั่งแล้ว ยังอยากให้มันกลับมาอีกเหรอ?
หัวใจดวงน้อยของพวกเขาสามคนรับไม่ไหวหรอกนะ!
ฉะนั้นให้ฟางชิวอ่านหนังสือต่อไปเถอะ!
เรื่องจีบสาวคงต้องมีกันแค่สามคนนี่แหละ!
หลังจากคุยกันนานกว่าสิบนาที ทั้งสามคนก็วิ่งออกจากหอพักแล้วตรงไปที่สนามกีฬาอีกครั้ง
ยี่สิบนาทีต่อมา ทั้งสามคนก็รีบกลับมาอย่างตื่นเต้น
จูเปิ่นเจิ้งและซุนฮ่าวรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ แต่ใบหน้าของโจวเสี่ยวเทียนมีแต่ความขุ่นเคืองเมื่อเห็นฟางชิว
โจวเสี่ยวเทียนนั่งลงข้าง ๆ ฟางชิวอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าห้า ทำไมนายไม่ไปจัดการหลี่ชิงสืออีกครั้งล่ะ?”
“แนะนำอะไรของนาย?”
ฟางชิวแปลกใจกับคำแนะนำของโจวเสี่ยวเทียน แต่เมื่อเห็นว่าใบหน้าของโจวเสี่ยวเทียนเคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าของเขาเรื่อย ๆ ฟางชิวก็รีบถอยห่าง “หลี่ชิงสือทำอะไรให้นายโกรธอีก”
“ฮ่า ๆๆ”
จูเปิ่นเจิ้งกับซุนฮ่าวที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่สามารถกลั้นขำได้อีกต่อไป ทั้งสองคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ฟางชิวได้แต่มึนงงกับเสียงหัวเราะนั้น
หน้าของโจวเสี่ยวเทียนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเขาก็พูดพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา “ฉันไม่สน! นายต้องจัดการคนในที่สาธารณะอีก ถ้าไม่ใช่หลี่ชิงสือก็เป็นหวังชิงสือก็ได้ หรือจะเป็นใครก็ได้ เล่นงานให้หนัก ๆ เหมือนวันนี้ไปเลย! ”
ฟางชิวมองดูโจวเสี่ยวเทียนที่กำลังพูดเรื่องไร้สาระแล้วก็เบือนสายตาไปยังจูเปิ่นเจิ้งและซุนฮ่าวที่หัวเราะอย่างสนุกสนาน ฟางชิวเลยถามด้วยความสงสัยว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ฮ่า ๆ เรื่องมันเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่านายเพิ่งเล่นงานหลี่ชิงสือไป แล้วพวกเราสามคนก็ยืนหยัดเคียงข้างนายเหรอ” ซุนฮ่าวหยุดหัวเราะแล้วอธิบาย
“ใช่ แล้วยังไงต่อ?” ฟางชิวถาม
“ภาพลักษณ์ของพวกเราสามคนที่ไม่เกรงกลัวอำนาจแล้วกล้าเปิดโปงแผนการของหลี่ชิงสือในที่สาธารณะ ทำให้พวกเราสามคนมีภาพลักษณ์ที่ดูยิ่งใหญ่ขึ้น บวกกับความจริงใจของพวกเรา พวกเราสามคนก็เลยได้รับความนิยมในหมู่ผู้หญิงหลายคน ตอนเดินกลับหอเมื่อกี้ มีสาว ๆ ขอพวกเราเป็นเพื่อนในวีแชตด้วย!”
ซุนฮ่าวชี้นิ้วไปที่โจวเสี่ยวเทียนที่กำลังทำหน้าเศร้า ๆ แล้วพูดอย่างมีชัยว่า “พี่ใหญ่กับฉันมีสาวมาขอเพิ่มเป็นเพื่อนค่อนข้างเยอะ ส่วนเสี่ยวเทียนได้น้อยกว่าเพื่อน”
“หลังจากที่พวกเราคิดดูแล้ว เป็นว่าเพราะพี่ใหญ่กับฉันกล้าด่าหลี่ชิงสือ แต่โจวเสี่ยวเทียนไม่ได้พูดอะไร ทำแค่เดินมายืนข้าง ๆ แล้วชี้นิ้วไปที่หลี่ชิงสือเฉย ๆ ภาพลักษณ์และความกล้าหาญของพวกเราจึงลึกซึ้งและหยั่งรากลงในหัวใจของผู้คนมากกว่าเสี่ยวเทียน เขาเกือบจะเป็นแค่ตัวประกอบของเราสองคนแล้ว วะฮะฮ่า” สิ้นคำ ซุนฮ่าวก็หัวเราะอีกครั้ง
โจวเสี่ยวเทียนเหลือบมองซุนฮ่าวอย่างโกรธจัด จากนั้นจึงหันไปหาฟางชิวแล้วเริ่มขอร้อง “เจ้าห้า ไม่สิ พี่ชิว ไปจัดการคนอื่นอีกได้ไหม”
“ไม่ไป!” ฟางชิวตอบหน้ากระตุก
มันเป็นเพราะเหตุผลนี้เองหรอกเหรอ
เจ้าพวกนี้บ้าบอจริง ๆ!
“ถ้าอย่างนั้น นายต้องเรียกหาฉันนะ ตอนที่นายจะไปเล่นงานคนอื่นน่ะ!” โจวเสี่ยวเทียนกล่าวเสียงเศร้าสร้อย
ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของจูเปิ่นเจิ้งก็ได้รับข้อความแจ้งเตือน
จูเปิ่นเจิ้งเปิดดู แล้วก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ทันที
“แม่ง!”
ก่อนที่ทุกคนจะได้ถาม ข้อความแจ้งเตือนวีแชตของซุนฮ่าวก็ดังขึ้นมาพอดี พอเปิดดู รอยยิ้มของพวกเขาก็หยุดชะงัก
“ไอ้xxx!” พวกเขาสบถคำหยาบออกมา
“เกิดอะไรขึ้น?” โจวเสี่ยวเทียนถามด้วยความสงสัย จากนั้นข้อความแจ้งบนโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
หลังจากที่โจวเสี่ยวเทียนกดอ่านแล้ว เขาก็ระเบิดอารมณ์ออกมาเหมือนจูเปิ่นเจิ้งและซุนฮ่าว
“xxx!”
“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” ฟางชิวเริ่มสงสัยจริง ๆ แล้ว
ทั้งสามคนต่างจ้องไปที่ฟางชิวด้วยสายตาชั่วร้าย โจวเสี่ยวเทียนยื่นโทรศัพท์ไปให้แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ดูเองสิ!”
ฟางชิวรู้สึกอับอายหลังอ่านจบ รูมเมตทั้งสามคนอ่านให้ฟังพร้อมกันอีกรอบว่า
[สวัสดีจ้ะ เพื่อนร่วมชั้น มีข้อมูลติดต่อของเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อฟางชิวไหม]
“นี่… เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ?” ฟางชิวถามอย่างไม่แน่ใจ
“ฮึ!” ทั้งสามคนประสานเสียงพร้อมกัน จากนั้นก็ไปนั่งเวทนาตัวเอง
พวกเขาไม่เชื่อว่าสาว ๆ ที่มาขอเพิ่มเพื่อนจะอยากได้แค่ข้อมูลส่วนตัวของฟางชิว ต้องมีสักคนที่สนใจภาพลักษณ์ที่สูงส่งและทรงพลังของพวกเขาบ้างสิ!
ฟางชิวไม่ได้สนใจเหล่ารูมเมต จากนั้นเขาก็หันไปอ่านหนังสือต่อ
บ่ายสองโมง
ฟางชิวออกเดินทางไปโรงพยาบาลในเครือ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่ได้เริ่มทำงานในฐานะผู้ช่วยแพทย์
หลังจากมาถึงโรงพยาบาลแล้ว เสิ่นชุนก็ให้เฉาเจ๋อพาฟางชิวไปทำความคุ้นเคยกับขั้นตอนในการรักษา
ที่ต้องเน้นย้ำคือข้อควรระวังต่าง ๆ ในการวินิจฉัยโรค
พยาบาลและแพทย์ฝึกหัดจะกำหนดคิวคนไข้ให้มาวินิฉัยโรค โดยทั่วไป คนไข้จะต้องกรอกเลขประจำตัวของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนถึงจะสามารถพบแพทย์ได้ มีหมายเลขผู้เชี่ยวชาญเพียงหมายเลขเดียวสำหรับแผนกกระดูกและข้อ เสิ่นชุนเลยไม่ว่างเลยตลอดวัน
แพทย์ท่านอื่นในแผนกก็เลยได้มาตรวจโรคแทนเป็นประจำ แต่ถ้าไม่มีใครว่าง เสิ่นชุนจะโอนผู้ป่วยไปให้ฟางชิว
“อย่าโอนผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุนให้ผม ผมทำได้แค่จัดกระดูกเท่านั้น” ฟางชิวอ่านใบวินิจฉัยโรคของแพทย์แล้วกล่าวกับเฉาเจ๋อ
‘นายนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย!’ เฉาเจ๋อคิดในใจ
เบื้องหน้าเขาสุภาพต่อฟางชิวมาก แต่ภายในใจของเขาก็ยังคงสงสัยเกี่ยวกับความเก่งกาจของฟางชิว
สุดท้ายแล้วฟางชิวก็เป็นเพียงน้องใหม่ ไม่ได้ศึกษาหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคกระดูกเลย
หลังฟางชิวบอกว่าทำได้แค่จัดกระดูก ส่วนอย่างอื่นนั้นไม่เข้าใจเลย เฉาเจ๋อก็ทำความเข้าใจกับประโยคนี้อีกครั้ง
เฉาเจ๋อยังรู้สึกอิจฉาฟางชิวอยู่นิดหน่อย คนอะไรไม่มีความรู้แต่กลับจัดกระดูกเป็น!
มาคิด ๆ เขาศึกษาชั้นประถมศึกษาหกปี มัธยมศึกษาตอนต้นสามปี มัธยมศึกษาตอนปลายสามปี ปริญญาตรีสี่ปี และปริญญาโทอีกสองปี รวมกันเป็นสิบแปดปีกว่าจะได้เป็นนักศึกษาฝึกงาน!
เปรียบเทียบกับฟางชิวแล้ว เขาสงสัยว่าตนเลือกเส้นทางผิดในตอนนั้นหรือไม่!
บ่ายสองสี่สิบ ฟางชิวต้อนรับผู้ป่วยรายแรกในขณะที่นั่งอยู่ในห้องตรวจที่กั้นด้วยแผ่นไม้
หมอเป็นบุคลากรที่ขาดแคลน!
ฟางชิวถอนหายใจ ในที่สุดก็เข้าใจสิ่งที่เสิ่นชุนบอกว่าขาดแคลนแพทย์ในแผนกแล้ว ผ่านไปเพียงสิบนาที แพทย์ในแผนกคนอื่นก็รักษาคนไข้จนหัวหมุน
ชายชราในชุดค่อนข้างโทรมเดินเข้ามาในห้องตรวจ เขาตกตะลึงเมื่อเห็นฟางชิว
“นั่งลงก่อนก็ได้ครับ” ฟางชิวชี้ไปที่เก้าอี้ข้าง ๆ เขา
“เธอเป็นหมอหรือเปล่า?” ชายชราไม่ได้นั่ง แต่ยืนมองฟางชิว ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
มีแพทย์อายุน้อยขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
“ใช่ครับ ผมเป็นแพทย์คนใหม่ คุณนั่งลงก่อนเถอะ” ฟางชิวแสดงท่าทางสุภาพอีกครั้ง
ชายชรามองฟางชิวขึ้นลงแล้วนั่งลงช้า ๆ อย่างระแวดระวัง
“เล่าอาการให้ผมฟังหน่อยครับ” ฟางชิวไม่สนใจความสงสัยบนใบหน้าของชายชราแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
“ฉันเพิ่งจัดเฟอร์นิเจอร์ในบ้านเมื่อวันก่อนนู้น ได้ยินเสียงคลิกดังที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ตอนแรกฉันไม่สนใจ แต่ฉันปวดจนเดินและนั่งไม่ได้เลยตลอดสองวันที่ผ่านมา” ชายชราตอบแบบไม่ใส่ใจนัก และเห็นได้ชัดว่าเขายังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีหมอหนุ่มเช่นนี้ได้
“ทำอะไรมาบ้างครับ?” ฟางชิวถามอย่างระมัดระวัง
เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับศัลยกรรมกระดูกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเก่าหรือสมัยใหม่ ตอนนี้เขาเข้าใจอาการของกระดูกเคลื่อนได้เป็นอย่างดี
เวลานี้ ฟางชิวเพียงแค่ต้องทดสอบความรู้พวกนั้นร่วมกับเทคนิคการจัดกระดูกของเขา เพื่อควมคุมอาการของโรค
“ฉันทำท่านี้!” ชายชราลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วชี้ไปที่พื้นที่โล่ง
ฟางชิวมองชายชราเหยียดขาซ้ายไปข้างหลัง ย่อขาขวาแล้วหมอบลง ท่าทางชายชราเหมือนท่าวิ่งแข่ง ขาซ้ายไม่ตรงดีนัก
“ฉันใช้ท่านี้ดันเฟอร์นิเจอร์ พอฉันลุกขึ้น ฉันก็ก้าวถอยหลัง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงคลิก”
ฟางชิวเห็นการเคลื่อนไหวของชายชราแล้วอ่านคำอธิบายในหัวทันที “นี่เป็นอาการกระดูกเชิงกรานด้านหน้าส่วนล่างเคลื่อน”
หากชายชราผลักของหนักด้วยไหล่ตัวเอง เอ็นของกระดูกต้นขาด้านหน้าจะหดตัวอย่างรุนแรง ทำให้ต้องดึงแรงจากเอ็นข้อต่อที่กระดูกเชิงกรานหลังไปข้างหน้า พอข้อต่อหลังกระดูกเชิงกรานหลังเคลื่อนไปข้างหน้า ข้อต่อหลังกระดูกเชิงกรานหน้าส่วนล่างเลยเคลื่อนผิดที่
“รู้ผลแล้ว? ไม่ต้องเอกซเรย์เหรอ” ชายชราถาม
“ไม่ต้องเอกซเรย์หรอก เดี๋ยวผมใช้มือเช็กให้อีกรอบหนึ่งก็จะรู้ผลที่แน่ชัดแล้ว”
ฟางชิวกำลังจะตรวจสอบอีกครั้งด้วยพลังสัมผัสสัมบูรณ์
ท้ายที่สุดแล้ว ความรู้จะต้องรวมกับการลองทำจริง
หลังจากได้ยินคำพูดของฟางชิวว่า ไม่จำเป็นต้องเอกซเรย์ ชายชราก็โกรธทันที
“ทำไมเธอถึงทำแบบนี้ ฉันอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว ทำไมเธอไม่ทำตามหน้าที่ตัวเองล่ะ”