บทที่ 46 ไม่จ่ายยา?
บทที่ 46 ไม่จ่ายยา?
ไม่ทำตามหน้าที่?
ประโยคนี้ทำให้ฟางชิวตกตะลึง
เขาไม่ทำตามหน้าที่ตรงไหน?
เฉาเจ๋อก็ได้ยินเสียงเอะอะเลยเดินมาดูที่ประตู
ชายชรารู้สึกโกรธมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเขาพูดก็ยิ่งโกรธมากกว่าเดิม “เด็กน้อยอย่างเธอคงเรียนแพทย์มาแค่สองสามปีใช่ไหม? ทำไมไม่ตั้งใจเรียนก่อน มาที่โรงพยาบาลทำไม นี่ไม่ถือว่าทำร้ายคนไข้รึไง ฉันไม่ให้เธอตรวจโรคให้หรอก!” กล่าวจบ ชายชราก็ลุกขึ้นแล้วทำท่าจะจากไป
ฟางชิวรับรู้ได้ทันทีว่าชายชราไม่ไว้ใจเขา อาจไม่ไว้ใจเขาตั้งแต่แรก และนี่เป็นข้ออ้างที่จะไม่ยอมรักษามากกว่าด้วยซ้ำ
เขาเชื่อว่าถ้าเสิ่นชุนเป็นคนบอกชายชราว่าไม่ต้องเอกซเรย์ แล้วให้มาเข้าพบเลย ชายชราคงจะมีความสุขมากที่ได้ประหยัดเงินเลยยอมเข้ามา
ฟางชิวรีบหยุดชายชราด้วยรอยยิ้มอันบิดเบี้ยว “คุณลุงครับ อายุน้อยไม่ได้หมายความว่าทักษะทางการแพทย์จะไม่ดี ถ้าคุณลุงยอมให้ผมรักษา คุณลุงคงเสียแค่ร้อยหยวนสำหรับการวินิจฉัยและการรักษา แต่ถ้าเอกซเรย์คุณลุงจะเสียราว ๆ สองสามพันหยวนเลยนะครับ”
จากบันทึกการเสียชีวิตส่วนใหญ่ ตามที่กล่าวไว้ในหนังสือแพทย์แผนจีนโบราณ กว่าหกในสิบของผู้เสียชีวิต มักมาจากการปฎิเสธการรักษา หรือการไม่เชื่อมั่นในแนวทางการรักษาและใช้วิธีการอื่นร่วม
แต่ฟางชิวไม่สามารถทนมองชายชราเดินออกไปแล้วใช้จ่ายเงินไปอย่างไร้ประโยชน์ได้ เขาจึงทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมอย่างจริงจังเท่านั้น
เฉาเจ๋อเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแอบส่ายหัวเบา ๆ
ฟางชิวยังเป็นเพียงวัยรุ่นเลือดร้อน ไม่ใช่แพทย์เลยแม้แต่น้อย
ลองเปลี่ยนเป็นแพทย์ผู้มีประสบการณ์ลงมือสิ พวกเขาคงบอกให้ไปเอกซเรย์ในทันที เพราะยิ่งแพง มันก็ยิ่งทำให้คนไข้มั่นใจ รวมถึงได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำไม่ใช่รึไง!
นอกจากนั้นยังป้องกันการฟ้องร้องในอนาคต การเอกซเรย์จะช่วยให้จ่ายยาถูกโรค คนไข้กินไปแล้วจะได้ไม่ตายเพราะยา!
จะรักษาหายหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ไม่ใช่เพราะว่าจริยธรรมทางการแพทย์มีปัญหา แต่เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับคนไข้นั้นซับซ้อนเกินไป
แพทย์รับผิดชอบคนไข้จำนวนมากในหนึ่งวัน มีโอกาสสูงที่จะพบกับคนไข้ที่ไม่มีเหตุผล ความตั้งใจที่ดีของฟางชิวจะทำให้เกิดปัญหาเอาเสียเปล่า ๆ
แม้ว่าเฉาเจ๋อจะเป็นแค่แพทย์ฝึกหัด แต่เขาก็เข้าใจกฎเกณฑ์ในโรงพยาบาลและเข้าใจความซับซ้อนของมนุษย์บนโลก
ในความเห็นของเขา พฤติกรรมของฟางชิวจะต้องสร้างปัญหาให้กับตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อชายชราได้ยินคำพูดของฟางชิว เขาก็หยุดชะงักแล้วถามอย่างลังเลว่า “เธอสามารถตรวจโรคของฉันได้จริง ๆ หรือ?”
ชายชรารู้ว่าการไปพบแพทย์ที่อื่นต้องใช้เงินหลายพันหยวน และก็ไม่แน่ว่าจะได้รับการรักษาที่ดีเสมอไป
พอได้ยินว่าเงินตรวจโรคจะเหลือแค่หนึ่งร้อยหยวน หัวใจของชายชราก็เต้นแรง
ท้ายที่สุดแล้วเงินของทุกคนก็ไม่ได้ถูกลมพัดมาเสียหน่อย!!
“ผมต้องตรวจโรคคุณลุงอย่างละเอียด ถ้ารักษาไม่หาย ผมก็จะไม่เก็บค่ารักษากับคุณลุง” ฟางชิวกล่าว
ในที่สุดชายชราก็พ่ายแพ้ให้กับค่ารักษาอันแสนถูก เขาจึงยอมขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล
ฟางชิววางมือลงบนหน้าท้องของชายชรา ภาพด้านในปรากฏขึ้นในหัวของเขาทันที
เขาเดาเอาไว้ว่ากระดูกเชิงกรานนั้นเคลื่อนไปข้างหน้า แต่เผื่อวินิจฉัยผิด ฟางชิวจึงให้ชายชราพลิกตัวไปนอนอีกด้าน
ฟางชิวจงใจตรวจสอบเอวของชายชราแล้วพิจารณาว่ากระดูกสันหลังส่วนเอวนั้นปกติดีหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อทำให้การตัดสินใจของเขาชัดเจนขึ้น
“พลิกตัวกลับอีกด้านแล้วนอนลงใหม่นะครับ” ฟางชิวพูดกับชายชรา
จากนั้นเขาจึงพบว่าข้อต่อของกระดูกเชิงกรานไม่อยู่ในแนวเดียวกัน
ข้อต่อแต่ละข้อนั้นจะถูกยึดด้วยเอ็นที่แข็งแรงจึงเชื่อมต่อกันได้สนิท ข้อต่อพวกนี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาความมั่นคงของกระดูกอุ้งเชิงกราน
บางคนคิดว่านี่เป็น ‘ข้อต่อที่ไม่เคลื่อนไหว’ แต่จริง ๆ แล้วยังคงเป็น ‘ข้อต่อที่ต้องเคลื่อนไหว’ อยู่
อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปกระดูกข้อต่อในบริเวณนี้จะเคลื่อนผิดตำแหน่งได้ยาก แต่เมื่อข้อต่อเคลื่อนแล้ว ความเป็นไปได้ของข้อต่อที่จะเคลื่อนกลับเข้ามาอยู่ที่เดิมเองนั้นเป็นไปได้น้อยมาก ดังนั้นอาการเจ็บปวดมักจะถูกปล่อยไว้ ทำให้เกิดความสับสนและความยากลำบากในการวินิจฉัยว่าหลังช่วงล่างมีปัญหาหรือว่าขามีปัญหากันแน่
ด้วยเหตุนี้ การหายได้เองจึงมีข้อควรระมัดระวังสำคัญเป็นพิเศษ แต่สำหรับฟางชิวแล้ว ทุกอย่างง่ายมากสำหรับเขา
กระดูกชายชราเคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง
ฟางชิวจึงขอให้ชายชรานอนราบ ยืดขาซ้าย งอขาขวา วางมือบนหน้าท้องทั้งสองข้าง จุดประสงค์คือเพื่อป้องกันไม่ให้ซี่โครงหัก
ฟางชิวจับเข่าขาขวาของชายชราด้วยมือข้างหนึ่งและจับข้อเท้าด้วยมืออีกข้างหนึ่ง จากนั้นก็พูดกับชายชราว่า “ผ่อนคลายเข้าไว้ครับ”
ร่างกายที่ประหม่าของชายชราผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เมื่อเห็นอย่างนั้น ฟางชิวก็ถอนหายใจ
อย่างไรก็ยังไม่ยอมเชื่อใจเขาอยู่ดีสินะ!
แต่ไม่เป็นไร ไว้ให้ความจริงปรากฏก่อนก็แล้วกัน
“หายใจเข้าลึก ๆ แล้วกลั้นหายใจเอาไว้ครู่หนึ่งนะครับ” ฟางชิวกล่าว
ชายชราคนนั้นทำตามอย่างว่าง่าย
เฉาเจ๋อเฝ้าดูอย่างใคร่รู้อยู่ที่หน้าประตู เขาสงสัยว่าฟางชิวจะใช้เวทมนตร์อะไร
หลังจากที่ชายชรากลั้นหายใจ ฟางชิวก็เพ่งสายตา กดเข่าของชายชราไปที่ซี่โครงสามครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็ว
แต่ละครั้งที่กด ฟางชิวต้องออกแรงพอสมควร
ยิ่งกดก็ยิ่งทำเวลาได้ไวขึ้น
ในครั้งที่สาม เสียง ‘คลิก’ ที่นุ่มนวลและคมชัดก็ดังออกมาอย่างกะทันหัน
เมื่อได้ยินเสียงนั้น เฉาเจ๋อและชายชราบนเตียงก็ตกตะลึง
เฉาเจ๋ออาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย แต่ชายชราที่อยุ่บนเตียงกลับเบิกตาโพลง คล้ายกับว่าไม่อยากจะเชื่ออะไรทั้งนั้น
เสียงกระดูกเคลื่อนกลับที่เดิมไม่ได้แค่ดังผ่านอากาศเท่านั้น แต่ยังดังผ่านร่างกายของเขาด้วย ชายชราจึงสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
ที่สำคัญกว่านั้น หลังจากสิ้นเสียงคลิกแล้ว ชายชรารู้สึกว่าความเจ็บปวดบริเวณเอวของเขาหายไปอย่างรวดเร็วจริง ๆ!
“เอาล่ะ ลุกขึ้นได้แล้วครับ” ฟางชิวพูดกับชายชราด้วยรอยยิ้ม
ชายชรากลิ้งตัวลงจากเตียงแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นขยับเอวอย่างรวดเร็ว
ไม่น่าเชื่อ!
ไม่ปวดแล้วจริง ๆ ด้วย!
คราแรกเขาคิดว่าโรคนี้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการรักษา
กดสามครั้งก็หายแล้วเรอะ?
“ดีจริง ๆ!” ชายชราจับมือฟางชิวอย่างตื่นเต้นและกล่าวขอบคุณ
“หมอ นี่มันน่าทึ่งมาก! ขอบคุณ! ขอบคุณจริง ๆ!”
เมื่อกี้ฟางชิวยังถูกเรียกว่าเด็กน้อยอยู่เลย แต่ตอนนี้เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ นี่เป็นหน้าที่ของผมในฐานะหมอ” ฟางชิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม การบรรเทาความเจ็บปวดของผู้อื่นเป็นเรื่องที่น่ายินดีและมีความสุขจริง ๆ เขาเอ่ยต่อว่า “ห้ามทำงานหนักเป็นเวลาครึ่งเดือน รักษาสุขภาพให้มาก ๆ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเองครับ”
“อืม อืม!” ชายชราพยักหน้าหงึก ๆ แล้วถามอย่างไม่อย่างลังเลว่า “ไม่ต้องจ่ายยาหรือ?”
“ไม่ครับ ไม่จำเป็นต้องกินยา” ฟางชิวส่ายหัว
“ว่าไงนะ!” ชายชราไม่ได้พอใจนัก เขาเลยแย้งไปว่า “ถ้าเธอไม่จ่ายยา เธอจะรับค่าตอบแทนจากที่ไหน? เธอจะทำเงินได้อย่างไรถ้าไม่มีค่าตอบแทน เธอยังเด็กอยู่ ต้องรีบหาเงินแต่งเมียนะ เกรงใจเกินไปแล้ว ให้ตายสิ!”
ฟางชิวอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น
เฉาเจ๋อที่ยืนอยู่หน้าประตู จ้องมองไปที่เวทมนตร์ตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า
ยากที่จะเข้าใจจริง ๆ
เพิ่งเคยเห็นคนไข้ขอให้หมอจ่ายยาให้ เพราะกลัวว่าหมอจะทำเงินไม่ได้
เฉาเจ๋อเข้าใจในทันทีว่าทำไมหมอเสิ่นชุนถึงเข้ากันได้ดีกับคนไข้
ต้นตอของปัญหาคือแพทย์ไม่สามารถรักษาคนไข้ได้
คนไข้ก็มีเหตุผลของเขาเช่นกัน ถ้าหมอสามารถรักษาความเจ็บป่วยได้ ไม่ว่าค่ารักษาจะเท่าไรก็ยินดีจ่าย
ถ้าหมอรักษาให้ไม่ได้ แสดงว่าหมอเป็นคนใจดำที่รักษาคนไข้เพื่อเงิน!
“คุณลุง ผมไม่จำเป็นต้องจ่ายยาจริง ๆ ตอนนี้คุณลุงสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว หากมีปัญหาอะไรก็กลับมาหาผม” ฟางชิวกล่าวปฏิเสธ
“เฮ้อ วันนี้ฉันได้พบกับหมอดีจริงๆ ทักษะทางการแพทย์ยอดเยี่ยม บุคลิกก็ดี!”
เมื่อเห็นว่าฟางชิวไม่ตั้งใจจะจ่ายยา ชายชราก็ยกย่องฟางชิวอย่างเต็มใจ จากนั้นจึงบอกลาฟางชิวแล้วจากไปอย่างมีความสุข
ครั้งนี้ชายชราเสียค่าลงบันทึกประวัติตัวเองแค่สิบแปดหยวน คุ้มค่าจริง ๆ!
เขาไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากในการรักษาเลย กลับถึงบ้านต้องรีบกระจายข่าวให้คนอื่นรู้เสียแล้ว!
อันที่จริงชายชราได้คำนวณผิดไป สิบแปดหยวนนั้นได้รวมค่าบันทึกประวัติและค่าวินิจฉัย รวมถึงค่ารักษาแล้ว เนื่องจากโรงพยาบาลรวมทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
ชายชราเดินไปที่ประตูโรงพยาบาล ทันใดนั้นก็เห็นว่าที่หน้าจออิเล็กทรอนิกส์ในห้องโถงเต็มไปด้วยรูปถ่ายของแพทย์ที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจากคนไข้
ชายชราไม่เจอคนที่เขารู้จัก
ไม่มีแม้แต่หนุ่มน้อยที่เขาคิดว่าเป็นหมอที่ดีที่สุดในตอนนี้เลย ชายชรารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องยุ่งยากถ้าจะทำเอง เขาจึงไปถามเจ้าหน้าที่ว่าจะลงคะแนนอย่างไร
เจ้าหน้าที่พาชายชราไปที่เครื่องลงคะแนนเสียงที่กลางห้องโถง
เขาต้องกรอกหมายเลขเวชระเบียนก่อนแล้วถึงจะลงคะแนนได้
ผู้สูงอายุไม่ทราบวิธีการค้นหาชื่อของหมอจึงให้เจ้าหน้าที่ช่วยดำเนินการหาให้
หลังจากการค้นหาเขาก็พบชื่อของฟางชิวที่เป็นผู้ช่วยแพทย์ แต่ไม่มีรูปถ่ายแสดงให้เห็น
อย่างไรก็ตาม ชายชราจำได้ว่าหนุ่มคนนี้มีชื่อว่าฟางชิว ดังนั้นเขาจึงขอให้เจ้าหน้าที่ลงคะแนนให้ฟางชิว
เรื่องนี้ทำให้เจ้าหน้าที่อึ้งไปพักหนึ่ง เธอจำไม่ได้ว่ามีแพทย์ชื่อฟางชิวอยู่ในแผนกกระดูกและข้อด้วย?
ปกติแล้วถ้าเป็นแพทย์จากแผนกกระดูกและข้อ คนจะโหวตหมอเสิ่นชุนมากกว่า
มีแพทย์ใหม่ในโรงพยาบาลเหรอ?
ด้วยความอยากรู้ เธอเลยกดโหวตให้ฟางชิว
หลังจากชายชราลงคะแนนแล้ว เขาก็ออกจากโรงพยาบาลอย่างพึงพอใจ ขณะที่ชายชราเดินออกจากโรงพยาบาล ฟางชิวก็ต้อนรับคนไข้รายที่สองของเขา
คราวนี้เป็นนักศึกษาหญิง
นักศึกษาหญิงตกตะลึงเมื่อเห็นฟางชิว เธออุทานด้วยความตกใจ “ฟางชิว?!
ฟางชิวเงยหน้าขึ้น รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
คนไข้กลายเป็นคนที่เขารู้จัก เธอคือหวังอวี๋ รูมเมตของเจียงเหมี่ยวอวี๋
แล้วพี่ใหญ่อย่างจูเปิ่นเจิ้งเองก็เป็นประเภทที่ชอบสาวตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ แบบนี้
“สวัสดี หวังอวี๋” ฟางชิวยิ้มและกล่าวว่า “นั่งลงสิ”
หวังอวี๋เหมือนจะไม่ได้ยินเสียงของฟางชิว เธอยังคงจ้องไปที่ฟางชิวอย่างว่างเปล่า คล้ายกับว่ายังไม่หายจากอาการตกใจ
ฟางชิวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดีดนิ้วปลุกให้หวังอวี๋ตื่นแล้วขอให้เธอนั่งลง
“อ้อ” หวังอวี๋กลับมามีสติอีกครั้ง เธอนั่งลงอย่างรวดเร็ว ประโยคแรกที่ถามก็คือ
“นายคือฟางชิวจริง ๆ ใช่ไหม คงไม่ใช่แค่คนหน้าคล้ายหรอกนะ?”
เธอยังไม่อยากจะเชื่อ
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นทำให้เธอตกตะลึง
ช็อกยิ่งกว่าพรุ่งนี้ดวงอาทิตย์จะขึ้นจากทิศตะวันตกเสียอีก
น้องใหม่ปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนเธอได้เป็นหมอในโรงพยาบาลในเครือแห่งแรกของมหาวิทยาลัยแล้ว
ใครกันจะเชื่อเรื่องนี้?
ความฝันของนักศึกษาแพทย์หลาย ๆ คนคือการได้เป็นแพทย์เต็มตัว แล้วฟางชิวที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนจะบรรลุเป้าหมายนี้แล้ว
แต่ประเด็นคือเขายังเป็นน้องใหม่ปีหนึ่ง!
“ฉันคือฟางชิวจริง ๆ”
ฟางชิวชี้ไปที่ป้ายชื่อบนอกของเขา แม้ว่าจะไม่มีรูปถ่าย แต่ก็มีชื่อติดอยู่
หวังอวี๋มองดูป้ายชื่อก่อนจะเอ่ยว่า “ฟางชิว ผู้ช่วยแพทย์แผนกกระดูกและข้อของโรงพยาบาลในเครือแห่งแรกของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง”
“นายมาเป็นหมอได้ยังไง นายยังเป็นนักศึกษาอยู่ไม่ใช่เหรอ?” หวังอวี๋ถามด้วยความอยากรู้อย่างยิ่ง
“อาจเป็นเพราะว่าทักษะการจัดกระดูกของฉันล่ะมั้ง ฉันยังไม่ใช่แพทย์เต็มตัว เป็นแค่ผู้ช่วยแพทย์ ฉันยังต้องเข้าเรียน และก็มาตรวจโรคแค่สัปดาห์ละครั้ง”
ฟางชิวไม่ต้องการพูดถึงหัวข้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษามากเกินไปในระหว่างการปรึกษาหารือ เขาจึงข้ามไปที่หัวข้อใหม่
“เธอไม่สบายตรงไหน?”
“ฉันปวดตามข้อนิ้วมือ” หวังอวี๋เหยียดมือซ้ายออกทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น นิ้วชี้ของเธอนูนขึ้นเป็นวงกลม
“ตอนบ่ายพวกเรามีเรียนวิชาพละ ตอนส่งลูก นิ้วของฉันกระแทกกับลูกบาสไปเต็ม ๆ มันก็เลยกลายเป็นแบบนี้ นายช่วยตรวจดูให้หน่อยได้ไหม?”
“ให้ฉันดูนิ้วมือหน่อย” ฟางชิวกล่าว