คุรุการแพทย์ – บทที่ 96 อดีตที่สวยงาม!

คุรุการแพทย์

บทที่ 96 อดีตที่สวยงาม!

บทที่ 96 อดีตที่สวยงาม!

“เนื้อเพลงดูเหมือนไม่ค่อยจะเข้ากับชื่อเลยนะ” ฟางชิวพูดขึ้นมาหลังร้องเพลงจบ พร้อมกับเอามือไปถูจมูกของตัวเองอย่างทำตัวไม่ถูก

“ใครบอกว่าไม่เข้ากัน?” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหันหลัง กระโดดขึ้นไปบนทางเท้าอย่างรวดเร็ว เธอหันมาพูดกับฟางชิวว่า “ฉันว่ามันเข้ากันจะตาย!”

ฟางชิวได้แต่หัวเราะ เขารู้สึกเหมือนถูกหลอก เพราะเพลงนี้ฟังดูแล้วไม่ใช่ความทรงจำในสมัยเรียน แต่เป็นความทรงจำของความรักในสมัยเรียนต่างหาก พูดได้เลยว่าเป็นเพลงสารภาพรักด้วยซ้ำ

“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาสามปีแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ฉันเพิ่งจะรู้ว่านายร้องเพลงได้เพราะแค่ไหน สมัยม.ปลายนายก็เรียนเก่งมากอยู่แล้ว นายน่ะซ่อนความสามารถเอาไว้ตลอดนั่นแหละ!”

เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหยุดกระโดดหลังจากกระโดดไปหลายครั้ง เธอหันไปมองฟางชิวจากระยะสามเมตร “ถ้าฉันรู้มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ว่านายร้องเพลงได้เพราะขนาดนี้ ฉันจะให้นายร้องเพลงให้ฉันฟังทุกวันเลย”

“ทำไมตัวฉันเองยังไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ฟางชิวพูดติดตลก

“พอคิดดูแล้วก็คิดถึงตอนม.ปลายจริง ๆ นะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยนั่งลงบนพื้นหญ้าข้างสนามกีฬาแล้วนึกถึงอดีตไปด้วย จากนั้นเธอก็กล่าวต่อว่า “ในตอนนั้นพวกเราอยู่ห้องเดียวกัน เรียนด้วยกันทุกวัน ตอนหลังเลิกเรียน พวกนายก็จะเอาแต่เล่นกันในห้องเรียน เห็นแล้วรู้สึกดีมากเลยล่ะ เทียบกับชีวิตในมหาวิทยาลัยที่น่าเบื่อตอนนี้แล้ว มันก็ดีกว่าตั้งหลายเท่า”

“มันก็ใช่” ฟางชิวพยักหน้าขณะที่เขานั่งลงข้าง ๆ เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยแล้วเอ่ยต่อ “แต่พวกเราไม่สามารถคิดถึงสมัยม.ปลายได้ตลอดไป”

“นายจำรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่กลับไปเป็นน้องใหม่อีกครั้งในโรงเรียนของพวกเราได้ไหม? เธอต้องเรียนตั้งหกปี กว่าจะไปเข้ามหาวิทยาลัยได้” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเอ่ยถามขึ้นมา

“จำได้สิ” ฟางชิวพยักหน้าและรู้สึกเห็นใจรุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า “รุ่นพี่เป็นคนที่ขยันที่สุดในโรงเรียนของพวกเรา เธอก็เป็นคนแรกที่มาถึงห้องเรียนและเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากห้องเสมอ น่าเสียดายที่รุ่นพี่หัวไม่ค่อยดี จึงทำให้เวลาสอบออกมาได้เกรดน้อย แต่ไม่ใช่ว่าเธอช่วยรุ่นพี่ติวหนังสือหรอกเหรอ?”

“ใช่ ๆ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยตอบพร้อมกับพยักหน้า “ทุกวันหลังเลิกเรียน ตอนที่ฉันทำการบ้านในห้องเรียนกับนายเสร็จแล้ว ฉันก็จะไปติวหนังสือให้รุ่นพี่ โชคดีที่ความฝันในการเข้ามหาวิทยาลัยของรุ่นพี่เป็นจริงในที่สุด”

“ถือว่าเธอได้ทำภารกิจอันใหญ่หลวงแล้ว” ฟางชิวพูดชมด้วยรอยยิ้ม แต่เขาก็ไม่ได้บอกใครว่าความจริงแล้วเขาได้แอบช่วยปรับจูนเส้นประสาทให้รุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้นอยู่เสมอ

“ฉันอดหัวเราะไม่ได้ทุกทีเวลาพวกเราพูดถึงเรื่องนี้” แล้วฟางชิวก็พูดต่อ “พวกเราจะทำการบ้านอยู่ในห้องเรียนทุกวัน พอไปกินอาหารที่โรงอาหาร คนงานที่นั่นก็ทำความสะอาดกันแล้ว เหลือแค่พวกเราสองคนในโรงอาหารเท่านั้น ฉันจำได้ว่าอายสุด ๆ”

“ตอนนั้นนายรู้สึกอายเหรอ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยถาม

“ตอนนั้นเหรอ?” ฟางชิวชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะตอนนั้นเขาไม่รู้สึกอายเลย

แต่ใครจะไม่รู้สึกเขินอายกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำในอดีตบ้างล่ะ?

“ฉันไม่ได้รู้สึกอายเลยนะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ตอนนั้นฉันก็ไม่อายเหมือนกัน” ฟางชิวพยักหน้ารับและเสริมว่า “ไม่งั้นพวกเราจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ง่ายขนาดนี้ได้ยังไง? ต้องขอขอบคุณความพยายามอันยิ่งใหญ่ของพวกเราในตอนนั้น ถ้าไม่มีวันนั้น เธอก็อาจจะไม่ได้เป็นอันดับหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมือง”

“เพราะนายไม่ได้เอาจริงต่างหาก” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยจ้องมองฟางชิวที่กำลังงงงวย “ฉันยังไม่เข้าใจเลยว่า ในเมื่อนายสามารถเรียนรู้ได้เร็วมากแล้วยังเรียนเก่งขนาดนี้ แล้วฉันสอบได้อันดับหนึ่งได้ไง”

“ฉันก็แค่โชคไม่ดีนิดหน่อยน่ะ” ฟางชิวยิ้ม

“ฉันไม่เชื่อ!” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยส่ายหัวแล้วเถียงออกมาว่า “เพราะนายไม่ได้เอาจริง ฉันก็เลยไม่ได้ออมมือให้นาย”

ฟางชิวหัวเราะทันทีที่ได้ยิน

ในเวลานั้นฟางชิวไม่ต้องการดึงดูดความสนใจมากเกินไป เขาจึงควบคุมระดับผลสอบของเขาเอาไว้ เพราะเขาไม่เคยคิดที่จะเป็นอันดับหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลย

“ฉันขอถามอะไรนายหน่อยสิ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเอ่ยขึ้นมา

“จะถามอะไร?” ฟางชิวถามกลับ

“สิ่งที่แย่ที่สุดที่นายเคยทำตอนม.ปลายคืออะไร?” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหัวเราะคิกคัก ประกายความมั่นใจฉายในแววตาของเธอเป็นระยะ ๆ ราวกับว่าเธอรู้คำตอบนั้น

“นี่…” ฟางชิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ก็คงเป็นการเอาไม้ไปแทงรังแตนที่นอกหน้าต่างห้องเรียนของพวกเราล่ะมั้ง แล้วเธอล่ะ?”

“ของฉันน่าจะเป็นการโต้แย้งกับอาจารย์ใหญ่” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยตอบ

“เธอเคยด้วยเหรอ” ฟางชิวตกใจมากที่ได้ยินอย่างนั้น

“เคยสิ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยพยักหน้าและอธิบายต่อไปว่า “มันเป็นในวันเดียวกับที่นายไปแหย่รังแตนนั่นแหละ”

“อะไรนะ?” ฟางชิวเอ่ยอย่างงง ๆ แต่แล้วเขาก็เริ่มเข้าใจ

ที่โรงเรียนมัธยมปลายตอนนั้น ห้องเรียนของพวกเขาจะอยู่ที่มุมบนชั้นสองของอาคารเรียน แล้วมันก็จะมีรังแตนอยู่ที่นอกหน้าต่าง

รังของแตนนั้นไม่ใหญ่ก็จริง แต่มันก็เป็นที่อยู่ของแตนจำนวนมาก

แตนเหล่านั้นล้วนมีพิษ พวกมันจะบินเข้าไปในห้องเรียนเกือบทุกวันถ้าหน้าต่างเปิดอยู่

เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยนั่งข้างหน้าต่างเสมอ เพื่อให้มีสมาธิกับการเรียนมากขึ้น เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเลยต้องปิดหน้าต่างเอาไว้ทุกวันแม้ว่าเธอจะเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

ด้วยเหตุนี้ ฟางชิวจึงหาโอกาสที่จะไปแหย่รังของแตนหลังเลิกเรียนด้วยไม้ไผ่ที่เขาเจอในคูระบายน้ำร้างของหลังอาคารเรียน

ทำให้เขาโดนอาจารย์ประจำชั้นดุและขู่ว่าจะรายงานเรื่องนี้กับอาจารย์ใหญ่ ส่วนเรื่องราวต่อจากนั้นเขาก็ไม่รู้แล้ว

ในตอนแรก ฟางชิวคิดว่าอาจารย์ประจำชั้นแค่กำลังพยายามทำให้เขารู้สึกกลัว แต่ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่า เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเป็นคนไปอธิบายเหตุผลเรื่องนี้กับอาจารย์ใหญ่

ในตอนนั้นพวกเขาไม่ได้เปิดเผยความจริงออกมา

“เปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า” ขณะที่มองไปที่ใบหน้าของฟางชิว เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็ส่ายหัวพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา

นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอยืนหยัดต่อสู้กับอาจารย์ใหญ่ และมันก็ผ่านมานานแล้ว มันไม่สมควรที่จะเอามาพูดในตอนนี้

“ถ้างั้นเธอ…” ฟางชิวพยายามพูดต่อ

“อ้อ นายรู้ไหมทำไมฉันถึงอยากจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยรีบพูดขัดจังหวะด้วยคำถามอย่างสงสัยแทน

ฟางชิวก็สงสัยกับคำถามนี้เหมือนกัน เพราะผลสอบของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นดีเกินไป อันดับหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน ด้วยคะแนนของเธอ เธอสามารถไปเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนและแม้แต่ของโลกก็ยังได้ แต่เธอกลับเลือกมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงมากนัก

เธอเข้ามหาวิทยาลัยฮ่องกงได้อย่างง่ายดาย แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ไป

“ฉันยังนึกว่าเธอเลือกมหาวิทยาลัยชิงหวา มหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือมหาวิทยาลัยฮ่องกงซะอีก” ฟางชิวตอบ

“แต่ฉันก็เลือกมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหันไปมองฟางชิวด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ในดวงตาของเธอแล้วถามว่า “นายรู้ไหมว่าทำไม?”

“ทำไม?” ฟางชิวเอ่ยถามกลับทันที

“ลองเดาดูสิ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยลุกขึ้นและก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวก่อนที่จะหันหลังกลับมาส่งยิ้มหวานให้ฟางชิว

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฟางชิวก็ตอบว่า “ฉันเดาไม่ออก”

“งั้นก็เดาต่อไป แล้วค่อยมาบอกฉันตอนที่นายได้รู้คำตอบแล้วก็แล้วกัน” มีความผิดหวังฉายผ่านดวงตาของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย แต่เธอก็ยังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้บนหน้าได้เหมือนเดิม

“ตกลง” ฟางชิวพยักหน้าตอบ

ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันบนสนามกีฬาอีกครั้ง พวกเขาคุยกันอย่างมีความสุข และไม่มีความลับต่อกัน

ส่วนใหญ่พวกเขาจะระลึกถึงอดีตของพวกเขาในสมัยม.ปลายเสียมากกว่า เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยจำเรื่องตอนนั้นได้อย่างชัดเจนและละเอียดมากจนฟางชิวรู้สึกทึ่ง

ฟางชิวรู้ว่าตนเพิกเฉยเรื่องราวพวกนี้มาตลอด รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของพวกเขาจึงค่อย ๆ เปลี่ยนไป

ความทรงจำที่สวยงาม ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว

ทั้งคู่เดินไปตามสนามกีฬาในขณะที่คุยกัน

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว

“พวกเราเคยเจอกันที่ไหนสักแห่ง…”

ทันใดนั้น โทรศัพท์ของฟางชิวก็ดังขึ้น

เขาหยิบออกมาดู แล้วก็พบว่าเป็นสายของเจียงเหมี่ยวอวี๋

“ฮัลโหล?” ฟางชิวเอ่ย

“[ฟางชิว นายยังอยู่ที่สนามกีฬาไหมตอนนี้?]” น้ำเสียงของเจียงเหมี่ยวอวี๋จากปลายสายอีกด้านแฝงไปด้วยความอยากรู้อย่างชัดเจน

“อืม ยังอยู่” ฟางชิวพยักหน้าไปด้วย

เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยที่อยู่ด้านข้างของฟางชิวขยิบตาด้วยรอยยิ้มและถามเบา ๆ ว่า “คนเมื่อกี้เหรอ?”

ฟางชิวพยักหน้า

“[งั้นเอาแบบนี้ไหม]” เมื่อได้ยินคำตอบของฟางชิวแล้ว เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็พูดต่อว่า “[นี่ก็ถึงเวลาของมื้อค่ำแล้ว ฉันอยากจะเลี้ยงมื้อค่ำนายกับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเพื่อขอบคุณที่ดูแลฉันและถือว่าเป็นการต้อนรับเธอในฐานะเจ้าบ้าน]”

“แต่ขาของเธอยังขยับไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น…” ฟางชิวพยายามปฏิเสธ แต่ก็ไม่ทันได้ปฏิเสธ เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ของเขามาเสียก่อน

“ฉันกำลังหิวพอดีเลย เดี๋ยวฉันกับฟางชิวจะไปที่โรงอาหารนะ ขอบคุณ เหมี่ยวอวี๋” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยพูดกับปลายสายด้วยรอยยิ้ม

“[โอเค ถ้างั้นฉันจะลงไป]” เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบอย่างมีความสุข

หลังจากวางสาย เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็ส่งโทรศัพท์คืนให้ชายหนุ่ม

ฟางชิวได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น

“ฉันเลี้ยงมื้อค่ำเธอคนเดียวดีกว่าหรือเปล่า” ฟางชิวเอ่ยถามแล้วมองไปที่เจี่ยงเมิ่งเจี๋ย

“นายเป็นห่วงความรู้สึกเธอหรือว่ากลัวกันแน่” พอโดนเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยล้อเลียน ฟางชิวก็พูดไม่ออก

“ไปกันเถอะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหันหลังกลับไปมองฟางชิวหลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว “แค่กินข้าวด้วยกันเอง นายจะกลัวอะไร! เหล่าฟางผู้กล้าหาญของฉันไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”

ฟางชิวหัวเราะและเดินผ่านสนามกีฬาไป

ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงที่ทางเข้าโรงอาหาร

“เท้าของเธอเจ็บมากทีเดียว ทำไมนายไปรับเธอขึ้นมา?” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกล่าว

“เธอมาแล้ว” ฟางชิวกล่าวหลังจากเหลือบมองไปยังทิศทางของหอพักหญิง

เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยจึงหันไปมองตาม เธอเลยเห็นเจียงเหมี่ยวอวี๋เข้ามาอย่างช้า ๆ ด้วยไม้เท้า

“ฉันจะไปรับเธอ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก้าวไปหาเจียงเหมี่ยวอวี๋ เมื่อกลอกตาใส่ฟางชิวแล้ว จากนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าเธอช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะเจียงเหมี่ยวอวี๋กำลังใช้ไม้เท้าอยู่ ทำให้เธอไม่สามารถช่วยพยุงได้

ที่ทางเข้าโรงอาหาร เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไปชั้นบนกันเถอะ”

“ขาเธอเป็นแบบนี้ พวกเรากินที่ชั้นล่างดีกว่าไหม” ฟางชิวกล่าว

เขารู้ดีว่าอาหารที่ชั้นสองดีกว่าชั้นหนึ่งเพราะพวกเขาสามารถสั่งอาหารได้ เมื่อเทียบกันแล้ว ชั้นสองจะดูผ่อนคลายกว่ามาก

และมันก็เป็นเรื่องยากที่เจียงเหมี่ยวอวี๋จะขึ้นไปที่ชั้นสองด้วยสภาพขาอย่างนี้

“ไม่เป็นไรหรอก” เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบกลับ “แค่ขึ้นไปชั้นเดียว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

ทั้งสามคนจึงมุ่งหน้าไปที่บันไดที่จะขึ้นไปยังชั้นสอง

เวลานี้โรงอาหารค่อนข้างเงียบเพราะเป็นวันหยุด แต่ก็ยังมีนักศึกษาบางคนอยู่ในมหาวิทยาลัย ดังนั้นพ่อครัวกับคนงานจึงยังคงทำงานในร้านกาแฟ แต่ปริมาณงานจะน้อยกว่าวันทำการปกติ

“ให้ฟางชิวอุ้มเธอขึ้นไปเถอะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกล่าวขึ้น หลังจากเห็นว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋ดูกังวลมากขณะที่กำลังจะขึ้นบันได

“ไม่ต้องหรอก” เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบด้วยรอยยิ้ม ทว่ากลับมีหยาดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอใช้ไม้เท้าเลยรู้สึกขัด ๆ เขิน ๆ แถมยังต้องใช้แรงในการเคลื่อนไหวอีก

“จะยืนดูเฉย ๆ ยังงี้เหรอ” แม้ว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋จะปฏิเสธไปแล้ว แต่เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็ไม่เห็นด้วย หญิงสาวจึงหันไปบอกฟางชิวว่า “เธอเป็นคนเจ็บ รีบอุ้มเธอขึ้นไปเดี๋ยวนี้”

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน