บทที่ 100 งานแสดงสินค้าของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้!
บทที่ 100 งานแสดงสินค้าของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้!
แม้ว่าเวลากลางวันจะล่วงเลยไปแล้ว แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากอยู่บนท้องถนน
เนื่องจากที่นี่เป็นใจกลางเมือง จึงทำให้รถหรูของชายหนุ่มทั้งสองคนเคลื่อนตัวได้ไม่เร็วนัก รถแท็กซี่จึงตามพวกเขาทันอย่างง่ายดาย
สิบกว่านาทีต่อมา
รถหรูก็ออกจากตัวเมืองและมุ่งหน้าไปยังชานเมืองจนสุดทาง
“โอเค หยุดตรงนี้เลยครับ” ทันทีที่รถแท็กซี่เข้าสู่ย่านชานเมือง ฟางชิวก็ส่งสัญญาณให้หยุดรถ
เพราะเป็นการเดินทางที่ยาวนาน ค่าโดยสารก็แพงจนเกือบร้อยหยวนแล้ว
ชานเมืองในยามราตรีนั้นเงียบสงัดมาก แม้ว่าไฟถนนจะสว่างก็จริง แต่ก็มีคนน้อยมาก ดังนั้นฟางชิวจึงตัดสินใจลงจากรถแล้วตามพวกเขาต่อ
หลังจากชำระค่าโดยสารแล้ว ฟางชิวก็ลงจากรถ เมื่อแท็กซี่จากไป เขาก็ขยับกาย หายตัวไปในความมืด ขณะไล่ตามไปยังทิศทางเสียงคำรามของเครื่องยนต์รถหรูที่อยู่ไกลออกไป
ในเวลาอันสั้น ฟางชิวก็ตามรถหรูทัน แล้วเขาก็พบว่ารถถูกจอดอยู่ในสวนสาธารณะอันเงียบสงบในแถบชานเมือง ทายาทเศรษฐีรุ่นทั้งสองคนค่อย ๆ ลงจากรถทีละคน
‘ถึงแล้วเหรอ?’ ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของฟางชิว
ฟางชิวรีบเอาหน้ากากออกมาใส่ ก่อนจะสวมหมวกบดบังใบหน้าอีกที จากนั้นเขาก็แอบเดินตามหลังของทายาทเศรษฐีทั้งสองคนไปในสวนสาธารณะที่เงียบสงบ
หลังจากเดินได้ไม่กี่นาที ทายาทเศรษฐีทั้งสองคนก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผาจำลองที่สูงมากในสวนสาธารณะ
ฟางชิวที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ขณะมองดูปฏิกิริยาต่อไป ทำให้เขาพบว่า รอบ ๆ หน้าผาจำลองสูงนี้มีสระน้ำขนาดใหญ่ล้อมอยู่ด้วย
มีเครื่องฉีดน้ำจำนวนมากยื่นออกมาจากน้ำในสระ เนื่องจากเป็นเวลากลางคืนแล้ว อุปกรณ์ฉีดน้ำเหล่านี้จึงหยุดทำงานโดยอัตโนมัติ ทำให้ไม่มีการพ่นน้ำออกมา
รอบสระน้ำมีผู้คนมากมายยืนอยู่
ด้วยกระแสจิตเพียงเล็กน้อย ฟางชิวก็รู้สึกประหลาดใจทันทีที่พบว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกคนเลย
ในขณะนั้นเอง ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้สองสามคนที่มารวมตัวกันที่รอบสระน้ำ จากนั้นก็เริ่มพูดคุยกันเสียงเบา
“ไป!”
“แล้วทำไมนายไม่ไปล่ะ”
“นายไปก่อนได้เลย เดี๋ยวฉันจะตามนายไป”
“ใครอยากไปก็ไปก่อนเลย ยังไงซะฉันก็ไม่ยอมไปเป็นคนแรกแน่นอน”
ฟางชิวได้ยินเสียงการสนทนาของพวกเขาชัดเจน พอเหลือบมองดูคนเหล่านี้ เขาก็พบว่ามีคนจำนวนมากกำลังชี้ไปที่ด้านหน้าของหน้าผาจำลอง
ฟางชิวมองไปที่หน้าผาจำลองอีกครั้ง ทำให้เขาเห็นว่าด้านบนของหน้าผาจำลองมีการแขวนเชือกเอาไว้หลายเส้น ราวกับว่าพวกเขาต้องการจะปีนหน้าผาขึ้นไป
“อยู่ข้างบนเองหรอกเหรอ” ฟางชิวคิดในใจ
ทันใดนั้นเอง ก็มีชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนคนงานสุขาภิบาลก้าวออกมาจากกลุ่มผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ เขากำมือ จากนั้นตวัดเชือกเส้นเดียวแล้วกระโดดลงไปในสระโดยที่ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากปากของเขา
ชายวัยกลางคนที่กระโดดลงไปในสระน้ำเขย่งเท้าเหยียบอุปกรณ์ฉีดน้ำที่ยื่นออกมาจากน้ำอย่างว่องไว จากนั้นก็กระโดดขึ้นอีกครั้งจนเกิดเสียงดัง เขาคว้าเชือกที่ห้อยอยู่บนหน้าผาจำลองด้วยมือขวา ขณะที่กำลังรักษาการทรงตัว เขาก็ปีนหน้าผาจำลองขึ้นไปอย่างรวดเร็วด้วยมือทั้งสองข้างราวกับเป็นลิงตัวหนึ่ง ชายวัยกลางคนจึงขึ้นไปถึงยอดหน้าผาจำลองในชั่วพริบตา
“เยี่ยม!”
“สุดยอดจริง ๆ!”
“ทักษะดีสุด ๆ!”
“แม้ว่าเขาจะใช้กำลังในการเขย่งเท้าเพื่อหลบน้ำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดระลอกคลื่นบนผิวน้ำเลย อุปกรณ์ฉีดน้ำไม่โดนเหยียบจนพังด้วย มากฝีมือจริง ๆ”
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนคนงานสุขาภิบาลปีนขึ้นไปบนยอดเขาแล้ว ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่อยู่รอบสระน้ำต่างก็ปรบมือให้เขา
เมื่อมีคนแรกไปถึงยอดหน้าผาจำลองแล้ว คนอื่น ๆ ก็เริ่มปีนขึ้นไปบนยอดหน้าผาจำลองด้วยวิธีการที่แตกต่างกันอย่างรวดเร็ว
บางคนวิ่งก็ข้ามน้ำ บางคนก็หมุนตัวกลางอากาศราวกับลูกข่าง และบางคนก็จับเชือกเพื่อปีนขึ้นไปตรง ๆ
วิธีการอันหลากหลายโผล่ออกมาให้เห็น ทุกคนเลยปรบมือเชียร์ให้กำลังใจกัน
“อยู่บนนั้นอย่างที่คิดไว้เลย!”
หลังจากเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง ฟางชิวก็เห็นว่าผู้คนที่ไปถึงยอดหน้าผาจำลองทั้งหมดหายเข้าไปในนั้น ชายหนุ่มจึงแน่ใจว่าสถานที่ของงานแสดงสินค้านั้นอยู่ด้านบนของหน้าผาหินจำลอง
ฟางชิวออกมาจากความมืด และกระโจนขึ้นไปก่อนที่คนอื่นจะเห็นเขา
ด้วยความว่องไวนี้ ฟางชิวก็ได้ทิ้งคนที่เหลือไว้ที่เบื้องหลัง
เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทั้งหมด ฟางชิวจึงไม่สนใจว่าคนเหล่านี้จะคิดอย่างไร!
ชายหนุ่มจึงสามารถแสดงทักษะระดับปรมาจารย์ออกมาทันทีโดยไม่ต้องปิดบัง!
ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่อยู่รอบสระน้ำพากันจ้องมองไปที่หน้าผาจำลอง
การเคลื่อนไหวของฟางชิวก็ได้ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกคนอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย! นั่นใครน่ะ?”
“บินหรือนั่น”
“อะไรเนี่ย! ผู้ชายคนนั้นลอยมาจากไหน”
“เขาเป็นปรมาจารย์!”
“มีเพียงปรมาจารย์เท่านั้นที่ทำได้ ผู้ชายคนนี้เป็นปรมาจารย์เหรอ?”
เมื่อเห็นร่างของฟางชิวแล้ว ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่อยู่รอบ ๆ สระน้ำต่างตกตะลึง
“ไม่มีทาง ปรมาจารย์? ปรมาจารย์ในตำนานน่ะนะ?”
“ปรมาจารย์จะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ก็เห็นอยู่ว่าขึ้นไปเองแบบไม่ใช้ตัวช่วย!”
“ตอนที่เห็น เขาก็ขึ้นไปครึ่งทางแล้ว รู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ได้ใช้ตัวช่วย”
“ใช่แล้ว ในโลกนี้จะมีปรมาจารย์มากมายได้ยังไงกัน?”
“โธ่ ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาเหาะเหินเดินอากาศได้!”
ผู้คนต่างพูดคุยกันด้วยความตกใจ พวกเขาพยายามคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของฟางชิว
“มีใครเห็นบ้างว่าเขาออกมาจากที่ไหน”
“แล้วมันแปลกยังไง?”
“ฉันว่าเขาน่าจะเคยเห็นว่าปรมาจารย์แข็งแกร่งแค่ไหน เพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน เขาเลยจงใจทำให้ตัวเองดูลึกลับ”
“อืม มันคงจะเป็นแบบนี้แหละ!”
“คงจะแอบใช้ทักษะไม่ก็วิธีการบางอย่างนั่นแหละ”
“มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน ดูจากรูปร่าง เขาน่าจะยังเด็กอยู่ แล้วเด็กอย่างเขาจะเป็นปรมาจารย์ได้ยังไง”
“ถูกต้อง ไม่ใช่ปรมาจารย์แน่นอน”
ในระหว่างการสนทนา ทุกคนก็พยักหน้าและตัดสินใจว่าฟางชิวไม่ใช่ปรมาจารย์ แต่เขาใช้ทักษะและวิธีการพิเศษบางอย่างเพื่อเหาะเหินเดินอากาศได้แบบปรมาจารย์
ทายาทเศรษฐีทั้งสองคนที่ยืนอยู่ในฝูงชนก็ตกตะลึงเช่นกัน
“เขาคงไม่ใช่ปรมาจารย์จริง ๆ ใช่ไหม” ทายาทเศรษฐีคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตกใจ
“เขาดูเหมือนปรมาจารย์มาก แต่ปรมาจารย์จะมาสถานที่สกปรกแบบนี้ได้ยังไง” ดวงตาของทายาทเศรษฐีอีกคนเต็มไปด้วยความตกใจเช่นกัน
“นั่นก็จริง” ทายาทเศรษฐีคนแรกพยักหน้า ก่อนที่สีหน้าเขาจะกลับมาเป็นปกติ
ในหมู่พวกเขา ไม่มีใครเชื่อว่าจะมีปรมาจารย์อยู่ที่นี่ได้
ส่วนอีกด้าน ฟางชิวที่กลายเป็นหัวข้อสนทนาของทุกคนก็ได้พบทางเข้าที่ยอดหน้าผาจำลอง ทางเข้านี้ดูเหมือนกับถ้ำ แต่เขาก็ก้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเล
หลังจากนั้นไม่กี่ก้าว ฟางชิวก็ลงบันไดไปสี่ห้าขั้น และแล้วภาพตรงหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
ทัศนียภาพในถ้ำตรงหน้าของฟางชิวยอดเยี่ยมจนคาดไม่ถึง มันเป็นพื้นที่กว้างเหมือนถนน เนื่องจากที่นี่เป็นหิน กำแพงโดยรอบจึงราบเรียบมาก ถึงจะดูเหมือนถ้ำ แต่ก็ไม่มีหินงอกหินย้อยเลย
มีคนจำนวนมากมาเยือนที่แห่งนี้
เมื่อฟางชิวมองไปรอบ ๆ เขาก็เห็นว่าบางคนได้ตั้งแผงขายของต่าง ๆ บนพื้นแล้ว
แผงลอยแรกที่มองเห็นก็คือร้านขายพลาสเตอร์แก้รอยฟกช้ำทุกชนิด รวมถึงยาเม็ดสูตรลับเฉพาะด้วย ถัดจากนั้นก็มีร้านขายอาวุธ ขายพัดกระดาษ ขายวอลนัต และของเล่นอื่น ๆ
เป็นงานใหญ่ที่คึกคักน่าดู
“มา มา มา ฉันมีพลาสเตอร์แก้รอยช้ำสูตรลับพิเศษที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมมาก รีบมาดูได้เลย!” ชายหนุ่มที่ขายยาตะโกนเรียกลูกค้า
พอเสียงของพ่อค้าร้านแรกดังขึ้น เหล่าพ่อค้าและแม่ค้าจากแผงขายอื่น ๆ ก็พากันเรียกลูกค้าตามอย่างต่อเนื่อง
“ที่นี่มีอาวุธและอาวุธวิเศษหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นมีด หอก ดาบ หรือง้าวทุกชนิด เหล่าวีรบุรุษทั้งหลาย ทำไมไม่ลองใช้โอกาสดี ๆ แบบนี้ในการเลือกอาวุธที่เหมาะสมให้ตัวเองล่ะ?” เจ้าของแผงขายอาวุธตะโกนออกมาพลางโบกมีดเล่มโตในมือไปด้วย
อีกด้านหนึ่งก็มีเด็กชายคนหนึ่งกำลังขายของเล่นหลากหลายชนิด เจ้าตัวไม่ยอมแพ้ให้แก่ร้านอื่น ๆ เขาจึงตะโกนออกมาว่า “ทุกคนรีบมาดูเร็วเข้า นี่คือพัดกระดาษที่วีรบุรุษหลิวเฉิงอินเคยใช้ บนนี้ยังมีการประดิษฐ์ตัวอักษรและภาพวาดที่อาจารย์หลิวจารึกไว้ให้โดยเฉพาะด้วย ถ้ามีสิ่งนี้ไว้ในมือ เส้นทางการฝึกศิลปะการต่อสู้ของคุณก็จะปลอดภัย!”
“หลิวเฉิงอิน พัดกระดาษของอาจารย์หลิว?” กลุ่มคนพากันเข้าไปมุงดู คนในกลุ่มนั้นคนหนึ่งเอ่ยถามออกมาเสียงดังว่า “นามสกุลของเธอคือหลิวหรือเปล่า”
“ไม่ใช่” เด็กชายปฏิเสธพร้อมกับส่ายหัว
“แล้วเธอเป็นอะไรกับอาจารย์หลิว” ชายคนนั้นถามต่อ
“ไม่ได้เป็น” เด็กชายตอบ
“แล้วทำไมพวกเราต้องเชื่อว่าพัดกระดาษนี้เป็นของอาจารย์หลิวเฉิงอินล่ะ?” ชายคนนั้นถามเสียงเย้ยหยัน
“พัดกระดาษนี้ของอาจารย์หลิวจริง ๆ นะ” เด็กชายโต้แย้งอย่างดื้อรั้น
เมื่อเห็นเด็กคนนี้ดูร้อนรน ผู้คนที่รวมตัวกันก็หัวเราะออกมาในทันที
“อันนี้ด้วย” เด็กชายรีบหยิบลูกวอลนัตที่อยู่ในแผงลอยขึ้นมา บีบเอาไว้มืออย่างแรงก่อนจะพูดว่า “นี่กำปั้นเหล็กของผู้อยู่ยงคงกระพัน แน่นอนว่ามันเป็นของอาจารย์ฉิน”
สิ้นเสียงของเด็กชาย ฝูงชนก็หัวเราะกันดังลั่นไปทั่วบริเวณนั้น ฟางชิวก็หัวเราะตามเบา ๆ แล้วเดินไปที่แผงถัดไปทันที
เขาเชื่อว่าเด็กคนนั้นพูดจริง เพราะพัดกระดาษกับลูกวอลนัตเป็นของแท้ แต่แหล่งที่มาของมันนั้นยังน่าสงสัยอยู่
หลังจากเดินเล่นไปรอบ ๆ ฟางชิวก็เดินมาถึงใจกลางถ้ำ ซึ่งมีแผงขายอาวุธอีกแผงตั้งขายอยู่
ฟางชิวเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเขาก็เห็นว่า ด้านหน้าแผงลอยนี้ล้อมรอบไปด้วยผู้คนเป็นจำนวนมาก พวกเขาต่างกำลังชี้ไปที่สินค้าบนแผงลอย
ฟางชิวรู้สึกสงสัยจึงเดินเข้าไปดู ก่อนจะเห็นว่าเจ้าของแผงเป็นชายหนุ่มสวมชุดดำ แผ่กลิ่นอายความแข็งแกร่งออกมาอย่างเต็มที่ ทว่าใบหน้าของเขากลับเย็นชาผิดปกติ
เจ้าของแผงนั่งนิ่งอยู่ที่หลังแผงลอยโดยที่ไม่คุยกับใครเลย ส่วนที่ด้านหน้าของแผงลอยนั้น สายตาของผู้คนก็กำลังจับจ้องไปที่ดาบเรียวยาวเล่มหนึ่ง
“ดาบเล่มนี้มาอยู่ที่นี่จริงเหรอ?”
“ใช่แล้ว มันคือดาบวิเศษของจริง!”
“พวกคุณเห็นประกายความเย็นยะเยือกบนดาบไหม? ดูหยิ่งจองหองจริง ๆ”
“แน่นอน เพราะนี่เป็นดาบของวีรบุรุษจินหว่านซง ปรมาจารย์การต่อสู้ระดับหก ในสมัยนั้น อาจารย์จินมีชื่อเสียงในเจียงหูเพราะดาบเพียงเล่มเดียว ฉันได้ยินมาว่าดาบเล่มนี้คมกว่ามาก พูดได้เลยว่าต้องเป็นของดี และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกต่างหาก”
“ในเมื่อมันเป็นดาบของอาจารย์จิน แล้วทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” มีคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย
“คุณนี่ไม่รู้อะไรเลยนะ” ชายคนหนึ่งอธิบาย “ด้วยความแข็งแกร่งของอาจารย์จิน เขาไม่ต้องใช้ดาบเล่มนี้อีกต่อไป เขาเปลี่ยนไปใช้ดาบไม้แทน เพราะในมือของเขาไม่ว่าจะเป็นใบหญ้าหรือต้นไม้ก็ตาม ทุกอย่างก็เป็นดาบได้”
“สุดยอด!” ทุกคนที่ฟังแล้วรู้สึกทึ่งและต่างก็พากันยกนิ้วให้
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฟางชิวก็ลอบพยักหน้าเห็นด้วย
“เมื่อความแข็งแกร่งของคนคนหนึ่งไปถึงระดับหนึ่งแล้ว อาวุธจะขัดขวางเลื่อนขั้นของศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นผู้แข็งแกร่งส่วนใหญ่จะละทิ้งอาวุธของพวกเขา เว้นแต่พวกเขาจะได้พบกับอาวุธวิเศษที่แท้จริง”
“เพราะว่ามีเพียงอาวุธวิเศษที่แท้จริงเท่านั้นที่มีพลังมหาศาลมากมาย”
“และมีเพียงอาวุธวิเศษของจริงเท่านั้น ที่ผู้แข็งแกร่งจะสามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ และจะถือได้ว่าอาวุธวิเศษเป็นส่วนหนึ่งของผู้แข็งแกร่ง พอเจ้าของอาวุธและอาวุธมีความเข้ากันแล้ว อาวุธวิเศษจะไม่ทำให้เกิดอุปสรรคใด ๆ ต่อผู้ครอบครองในการฝึกศิลปะการต่อสู้อีกต่อไป”