บทที่ 113 ประกาศกฎบัตรการฝึกอบรม!
บทที่ 113 ประกาศกฎบัตรการฝึกอบรม!
“ชั้นสองของโรงอาหารไงล่ะ!”
ฟางชิวกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
“[ไร้สาระ! ไอ้หนู พวกฉันเดินทางบุกน้ำลุยไฟ ปืนข้ามภูเขาไม่รู้เท่าไหร่เพื่อมากินอาหารมื้อพิเศษ แต่นายกลับให้เรากินอาหารในโรงอาหารเนี่ยนะ!]”
เสียงตะโกนแห่งความไม่พอใจของทั้งสามคนดังขึ้นจากโทรศัพท์
ฟางชิวรีบขยับโทรศัพท์ออกจากหูทันที เขารอจนทั้งสามคนหยุดโวยวายแล้วค่อยเอ่ยถาม “จะไปไม่ไป?”
“[ไป!]”
ทั้งสามคนกัดฟันกล่าว
“[ถ้าไม่อร่อยนะ นายซวยแน่!]”
ทั้งสามวางสายก่อนจะเดินตรงไปยังชั้นสองของโรงอาหารพร้อมกระเป๋าเดินทาง เมื่อมาถึง พวกเขาก็เจอฟางชิวพร้อมกับโต๊ะที่มีอาหารจานใหญ่เรียงราย
แต่ที่นี่คือสถานศึกษา ไม่ว่าอาหารจะจานใหญ่แค่ไหนก็ไม่แพง…
แต่แพงไม่แพงไม่สำคัญหรอก
“เจ้าห้า ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ”
หลังรับประทานอาหารไปครึ่งหนึ่ง โจวเสี่ยวเทียนก็ถามขึ้นเพราะนึกบางอย่างขึ้นได้
“ก่อนวันชาตินายยังคร่ำครวญกับเราเรื่องไม่มีเงินอยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้นายใจกว้างขนาดนี้ล่ะ? หึ ๆ หรือนายทำแบบนี้เพราะเริ่มรู้ผิดชอบชั่วดีแล้ว?”
“รู้กับผีน่ะสิ!”
ฟางชิวรีบเคี้ยวอาหารที่อัดแน่นอยู่ในปาก ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถอธิบายได้
“ตอนนั้นฉันไม่มีเงินจนไม่ทำอะไรไม่ได้เลยก็จริง แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว สภาพเงินฉันคล่องขึ้นแล้ว ฉันแค่อยากใช้ชีวิตให้ดี ๆ กินอาหารดี ๆ อยากให้พวกนายพอใจด้วย!”
“ฉันสาบานว่าฉันจะติดตามนาย!”
ซุนฮ่าวกล่าวพลางใช้ตะเกียบคีบเนื้อเข้าปาก ส่วนจูเปิ่นเจิ้งและโจวเสี่ยวเทียนหยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ส่วนมือยังคงเคลื่อนไหว
ฟางชิวพูดไม่ออก
คนพวกนี้เป็นรูมเมตแบบไหนกัน!
“ไปปีนเขาที่นั่นเป็นยังไงบ้าง?”
ฟางชิวเปลี่ยนเรื่อง
“ยอดเยี่ยมมาก!”
จูเปิ่นเจิ้งเอ่ยเพียงคำเดียว
“สนุกสุด ๆ ไม่ลำบากเลยด้วย”
ซุนฮ่าวกล่าวด้วยท่าทางหยิ่งยโสหมายจะโอ้อวดเจ้าเด็กอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม
“จริงสิ นายยังไม่เคยเห็นเลยว่าทิวทัศน์บนภูเขาไท่ซานมีเสน่ห์ขนาดไหน…” โจวเสี่ยวเทียนโม้
“ฟังดูน่าสนุกนะ น่าเสียดายที่ฉันไปไม่ได้ ช่วยเลี้ยงอาหารฉันเป็นการชดเชยได้ไหม?” ฟางชิวมองทั้งสามคนพลางฉีกยิ้มถาม
ทั้งสามชะงักไปครู่หนึ่ง
หลังจากนั้น…
“มากินกันต่อ! อร่อยจังวะ! นายเองก็กินเยอะ ๆ สิ”
จูเปิ่นเจิ้งกล่าวพลางตักไขมันให้ซุนฮ่าวทันที ซุนฮ่าว ‘ซาบซึ้งใจ’ จนแทบน้ำตาไหล เขาเลยตักหางปลาคืนจูเปิ่นเจิ้ง
ส่วนโจวเสี่ยวเทียนยังคงหมกมุ่นกับการกิน ฟางชิวจ้องมองทั้งสามคนโดยไม่พูดอะไร และก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ใช่แล้ว”
หลังทานอาหารเสร็จ ทั้งสี่คนก็นั่งตบพุงปุ ๆ เพราะอิ่มแปล้ โจวเสี่ยวเทียนนึกบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ยถามฟางชิว “นายกับเจียงเหมี่ยวอวี๋เป็นยังไงบ้าง? ฉันอุตส่าห์มอบโอกาสดี ๆ ให้ นายรู้ใช่ไหม?”
“ขอโทษที ตอนนี้ฉันต้องตั้งใจเรียนก่อน” ฟางชิวตอบกลับด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“โห่…”
ทั้งสามโห่ร้องด้วยเสียงดังแล้วมองฟางชิวอย่างดูแคลน
ปากบอกตั้งใจเรียน แต่พอสาวเจ็บก็ยอมไปหาถึงภูเขา!
“ไปกันเถอะ กินอิ่มแล้วก็กลับหอ” ฟางชิวกล่าว
ทั้งสี่คนจึงลุกขึ้นพร้อมกันแล้วกลับไปยังหอพัก
หลังเดินทางมาเหนื่อย ๆ แล้วได้กินข้าว พวกเขาก็รู้สึกเหนื่อยล้าและเกียจคร้านอย่างมาก ต่างคนต่างเอนกายลงบนเตียงโดยไม่เคลื่อนไหว
มีแต่ฟางชิวที่นอนอ่านหนังสือต่อ ครู่ใหญ่ต่อมาถึงเริ่มจ้องมองเหรียญทองแดง แล้วเพ่งความสนใจ
“ไปทางซ้าย ไปทางด้านขวา…”
สายตาเขาจับจ้องไปยังเหรียญทองทั้งสองที่ถูกมัดรวมกัน ก่อนจะออกแรงส่งกระแสจิตอย่างต่อเนื่อง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เหรียญทองแดงก็เคลื่อนไหว
ฟางชิวชื่นใจมากที่เห็นแบบนั้น เขาเคลื่อนเหรียญทองแดงทั้งสองเหรียญได้มากกว่าเดิมแล้ว จากที่เมื่อก่อนเคลื่อนได้แค่เหรียญเดียวเท่านั้น
เหรียญทองแดงทั้งสองเอียงไปซ้ายขวาตามการบังคับด้วยกระแสจิตของฟางชิว ก่อนหน้านี้มันขยับแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้ขยับไหวอย่างเห็นได้ชัด
ฟางชิวดีใจมาก เขาสามารถทำเช่นนี้ได้ แสดงว่าเขาสามารถเอาชนะแรงโน้มถ่วงได้แล้ว
ขณะกำลังชื่นชมยินดี ในใจพลันรู้สึกเหนื่อยล้า ชายหนุ่มจึงผล็อยหลับไป จนตีสามของวันรุ่งขึ้น ขณะรูมเมตทุกคนยังคงหลับใหล ฟางชิวก็ลืมตาตื่น เขาลุกจากเตียงอย่างเงียบเชียบแล้วออกจากหอพักไป
ครั้งนี้เขาไม่ได้เดินทางไปยังทะเลสาบแห่งนั้นอีก แต่เข้าไปในป่าที่อยู่ติดกับทะเลสาบแทน
‘คงไปที่เกาะกลางทะเลสาบไม่ได้แล้ว ไปที่ภูเขาเหยาหวังก็คงถูกเจอง่าย ๆ ทางเลือกเดียวคือการฝึกฝนในป่า’
ฟางชิวครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเดินหาสถานที่ฝึกที่เหมาะสม
น่าเสียดายที่ต้องบอกลาเกาะใจกลางทะเลสาบ
หลังค้นหาเป็นเวลานานก็ไม่พบสถานที่ที่พอจะฝึกได้เลย แต่สุดท้ายฟางชิวก็เจอต้นไม้ใหญ่ดูแข็งแรงในส่วนลึกที่สุดของป่าจนได้
“ตรงนี้แหละ!”
เมื่อสำรวจความลึกของป่านี้แล้ว ฟางชิวก็มั่นใจว่าจะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามา เขาพึมพำกับตนเองก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนยอดต้นไม้
ชายหนุ่มหลับตา นั่งขัดสมาธิเพื่อทำสมาธิ ตอนนี้เขานั่งอยู่บนกิ่งไม้ที่มีความหนาเพียงหนึ่งนิ้วเท่านั้น
ที่น่าแปลกใจคือ ขณะที่ฟางชิวกำลังนั่งทำสมาธิ เขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของตนไร้น้ำหนักจนนั่งบนกิ่งได้โดยกิ่งไม้ไม่หัก กิ่งไม้ยังคงเหยียดตรง ไม่เอนลงแม้แต่นิด
ขณะเดียวกัน ณ ริมทะเลสาบ หลี่จีและลั่วชูที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้ากำลังพูดคุยกันอยู่
“นายว่าเขาจะมาไหม?”
หลี่จีเอ่ยถามเสียงเบา
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ลั่วชูส่ายศีรษะพลางกล่าว “สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานคงทำให้เขาโกรธมาก อีกอย่าง เราได้ค้นพบสถานที่ฝึกฝนของเขาแล้ว เป็นไปได้ไหมว่า… เขาจะไม่มาแล้ว?”
“ไม่มาก็ต้องรอ”
หลี่จีพยักหน้า “เราต้องรอจนกว่าเขาจะมาแล้วขอโทษเขา”
ทั้งสองยังคงนั่งรอ แต่แล้วผลลัพธ์ที่ได้คือ จนถึงรุ่งสาง ชายลึกลับก็ไม่ปรากฏตัว พวกเขาเลยได้แต่ยิ้มอย่างสิ้นหวัง
ขณะเดียวกัน หลังเสร็จสิ้นการฝึกฝนในส่วนลึกของป่า ฟางชิวก็เดินทางกลับไปยังหอพักอย่างเงียบ ๆ แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าไปทานอาหารเช้า
วันนี้คือวันเสาร์ วันหยุดยาวประจำวันชาติตลอดหนึ่งสัปดาห์สิ้นสุดลงวันนี้
นักศึกษาทุกคนต่างเดินทางกลับมาถึงมหาวิทยาลัยในตอนบ่าย วันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียน ฟางชิวจึงดูตารางเรียนของตัวเอง เมื่อเห็นว่าตนไม่มีเรียนในวันนี้จึงกลับมาที่หอเพื่ออ่านหนังสือหลังทานอาหารเสร็จ
โจวเสี่ยวเทียนและซุนฮ่าวยังคงหลับสนิท ส่วนจูเปิ่นเจิ้งไม่ได้อยู่ในหอพัก
ผ่านไปไม่นานก็สิบโมงเช้าแล้ว
“ตื่นได้แล้ว!”
ขณะฟางชิวกำลังขะมักเขม้นในการอ่านหนังสือ จูเปิ่นเจิ้งก็วิ่งเข้าไปในห้องพักด้วยท่าทางประหลาดใจ เจ้าตัวรีบเอื้อมมือเขย่าร่างกายซุนฮ่าวให้ตื่นจากหลับใหลแล้วแตะไหล่ฟางชิว จากนั้นวิ่งไปยังเตียงของโจวเสี่ยวเทียน ใช้ผ้าเช็ดหน้าฟาดหน้าท้องคนที่หลับใหลอยู่แล้วตะโกนเสียงดัง “ตื่นได้แล้ว มีข่าวดี!”
ฟางชิวบิดขี้เกียจพลางจ้องมองจูเปิ่นเจิ้ง โจวเสี่ยวเทียนและซุนฮ่าวก็เหยียดร่างกายอย่างเกียจคร้านเช่นกัน
“นี่ยังเช้าอยู่เลย มีข่าวดีอะไรถึงกับต้องปลุกพวกเรา?”
ซุนฮ่าวกล่าวพลางหาวหวอด
“นั่นน่ะสิ ฉันยังเหนื่อยอยู่เลย ฉันต้องพักผ่อนนะ! ทำฉันซะเจ็บเลย”
โจวเสี่ยวเทียนบ่นเสียงดังเพราะในที่สุดอาการเหนื่อยล้าหลังปีนภูเขาไท่ซานก็เกิดขึ้นกับเขา
จูเปิ่นเจิ้งไม่สนใจเสียงพร่ำบ่นของพวกเขาพลางกล่าวอย่างตื่นเต้น “กฎบัตรการฝึกงานออกมาแล้ว!”
“อะไรนะ?!”
โจวเสี่ยวเทียนและซุนฮ่าวตกใจอยู่ไม่นานก็รู้สึกตัว อาการปวดเมื่อยหรือบาดเจ็บไม่สำคัญอีกต่อไป พวกเขารีบลุกจากเตียงทันที
ส่วนฟางชิวได้ยินดังนั้นแล้วก็ยิ้มออกมา
เรื่องนี้ทางมหาวิทยาลัยพูดคุยกันมาสักพักแล้ว หากไม่ติดวันหยุดนักขัตฤกษ์ ประกาศนี้ก็น่าจะออกนานแล้วไม่ใช่หรือ?
“เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยโพสต์ประกาศแล้ว แนบรายชื่ออาจารย์ห้าสิบคนมาด้วย!”
เมื่อมองไปยังซุนฮ่าวและโจวเสี่ยวเทียนที่เผยสีหน้าตื่นเต้น จูเปิ่นเจิ้งจึงรีบเอ่ย “ในรายชื่อมีทั้งคนที่ยังทำงานอยู่และคนที่เกษียณอายุไปแล้ว มีผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขามากเลย ทั้งด้านการฝังเข็ม รมยา…”
“ประกาศเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
ซุนฮ่าวรีบไปที่โต๊ะอ่านหนังสือพร้อมเปิดคอมพิวเตอร์และเข้าใช้งานเว็บไซต์ทันที แล้วก็จริงอย่างที่จูเปิ่นเจิ้งว่า เมื่อเข้าสู่เว็บไซต์ ซุนฮ่าวก็เห็นประกาศอย่างเป็นทางการจากมหาวิทยาลัย
‘ประกาศเรื่องกฎบัตรการฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญต้นแบบ’
ประกาศขึ้นเป็นตัวอักษรสีแดงเข้มสะดุดตา
‘คลิกเพื่อเข้าชม’
‘อ่านอย่างละเอียด’
ซุนฮ่าวอ่านออกเสียง
“มหาวิทยาลัยของเราเป็นแม่แบบในการกำหนดรูปแบบการฝึกงานกับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์สำหรับมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนทุกแห่งในประเทศ เราได้ทบทวนและวางแผนอย่างเข้มงวดตลอดวันหยุดประจำวันชาติ และในที่สุดก็มีกําหนดการเริ่มการฝึกงานอย่างเป็นทางการในวันนี้”
“รายชื่ออาจารย์ตามเอกสารแนบไม่ได้ถูกจัดอันดับอย่างเฉพาะเจาะจง การฝึกงานไม่จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วม นักศึกษาทุกคนสามารถเข้ารับการฝึกงานได้”
“จางเจิ้นจง เพศชาย ตำแหน่งศาสตราจารย์และรองผู้อำนวยการแผนกกระดูกและข้อประจำโรงพยาบาลในเครือแห่งที่สอง”
“ประวัติส่วนตัว ศาสตราจารย์จางเจิ้นจง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการแผนกกระดูกและข้อประจำโรงพยาบาลในเครือแห่งที่สองของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง เชี่ยวชาญทักษะการจัดกระดูกแบบดั้งเดิมเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของกระดูกหรือโรคทางกระดูกต่าง ๆ และการรักษาอาการบาดเจ็บแบบออร์โธปิดิกส์*[1]และมีมาตรฐานสูงมาก เป็นประธานประจำสามโครงการในระดับท้องถิ่นและประธานในการวิจัย ‘การวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการรักษาโรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อมโดยการนวดแบบทุยหนา’ ได้รับรางวัล…”
คำพูดของซุนฮ่าวเข้าไปในหูทุกคนอย่างชัดเจน
“ฉันจะฝึกงานกับเขา มีใครที่เจ๋งกว่านี้ไหม?”
โจวเสี่ยวเทียนยืนขึ้นแล้วเพิ่งไปหาซุนฮ่าว จากนั้นก็เอนกายจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างระมัดระวัง หลังอ่านจบเขาก็หันศีรษะไปหาฟางชิวทันที
“เจ้าห้า สนใจฝึกด้วยกันไหม!”
จางเจิ้นจง?
ฟางชิวครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วนึกถึงแพทย์วัยกลางคนที่มีใบหน้ากลมในความทรงจำ
“หยางซู่เหวิน เพศชาย หัวหน้าศาสตราจารย์ หัวหน้าบัณฑิตวิทยาลัย เกษียณอายุแล้ว”
“ก่อนเกษียณอายุ เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกอายุรศาสตร์ที่โรงพยาบาลในเครือแห่งแรกของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง เชี่ยวชาญในการวินิจฉัย รักษาโรคหลอดเลือดสมอง สมองเสื่อม ปวดศีรษะเรื้อรัง อาการสั่นเกร็ง อาการปวดท้อง และโรคผู้สูงอายุ เป็นที่ปรึกษาให้แก่เจ็ดดุษฎีบัณฑิตในสาขาโรคผู้สูงอายุตลอดสามเทอม ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นนักศึกษาปริญญาเอก”
“การวิจัยส่วนบุคคล ได้แก่ การแพทย์แผนจีนผู้สูงอายุ การวิจัยทางคลินิกและการทดลองของการแพทย์แผนจีนเกี่ยวกับผู้สูงอายุและการชะลอวัย”
หลังอ่านจบ ซุนฮ่าวก็รู้สึกทึ่ง
“ทุกคนดูเก่งมากอ่ะ!”
โจวเสี่ยวเทียนเองก็กล่าวอย่างตื่นเต้น
“ไม่แปลกใจเลยที่ได้เป็นที่ปรึกษาฝึกงานเหล่านักศึกษา”
ซุนฮ่าวจ้องมองโจวเสี่ยวเทียนพลางกล่าว “ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยจะหาอาจารย์ที่ไม่เก่งมาสอนเด็กทำไม?”
“นั่นสินะ อาจารย์ของเราสุดยอดเลย!”
โจวเสี่ยวเทียนพยักหน้าเห็นด้วย
“ยังมีอีกข้างล่าง ลองอ่านต่อสิ”
จูเปิ่นเจิ้งเอ่ย
ทุกคนต่างตื่นเต้น ส่วนฟางชิวยังคงอ่านหนังสือต่อไป
เพราะไม่ว่าอย่างไรชายหนุ่มก็มีอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว
แม้จะไม่มีการฝึกงานอย่างเป็นทางการ แต่เขาก็ได้เรียนรู้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่เยี่ยมยอด เพราะอาจารย์ของเขาคือสวีเมี่ยวหลินในตำนาน หลายคนในมหาวิทยาลัยต่างอยากเรียนรู้จากอาจารย์คนนี้ทั้งนั้น
หากคนเหล่านี้รู้ว่าอาจารย์ของเขาคือสวีเมี่ยวหลิน พวกเขาจะไม่อิจฉาตาร้อนกันไปเลยหรือ?
สวีเมี่ยวหลินทำให้ฟางชิวไม่จำเป็นต้องคิดหนักเรื่องการฝึกงาน สำหรับเขา ตอนนี้การอ่านหนังสือมีประโยชน์กว่า
[1] Orthopedic Surgery คือ ศัลยกรรมกระดูก ที่ครอบคลุมถึงการแก้ไข รักษาหน้าที่และสภาพของระบบโครงกระดูก ข้อต่อ และโครงสร้างอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง