บทที่ 117 การพบปะและทักทายเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
บทที่ 117 การพบปะและทักทายเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
เป็นเขาได้อย่างไรกัน?
เจียงเหมี่ยวอวี๋รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
ทำไมถึงกลายเป็นฟางชิวคนที่ดูไร้พิษภัยและเอาแต่อ่านหนังสือทั้งวันได้?
เจียงเหมี่ยวอวี๋มองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็วเพื่อมองหาฟางชิว แต่ทันทีที่เธอหันหน้าไปรอบ ๆ เธอก็หยุดชะงัก เพราะนึกขึ้นได้ว่าคืนนั้นฟางชิวนอนห้องตนเอง เมื่อนึกได้อย่างนั้นแล้ว เธอก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา
อีกด้านหนึ่งของฝูงชน เมื่อได้ยินชื่อของฟางชิว ประธานสมาคมนักศึกษาอย่างหลี่ชิงสือก็ตกใจทันที
จะเป็นฟางชิวได้อย่างไร?
ไอ้หนุ่มคนนี้มันได้โชคขี้หมาของเชี่ยวเทียนฉวน*[1] หรือไง?
ชายหนุ่มถึงกับกล้ำกลืนฝืนทน
นักศึกษาที่เรียนห้องเดียวกับฟางชิวอย่างโจวเจิ้นเป็นแฟนตัวยงของเจียงเหมี่ยวอวี๋มาโดยตลอด เขาสังเกตเห็นว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋เริ่มสนใจเขาน้อยลงหลังจากที่กลับมาจากภูเขาไท่ซาน โจวเจิ้นจึงหันไปมองฟางชิวด้วยความอิจฉาและเกลียดชัง
แม้ว่าเขาจะพอใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ แต่เขาก็เกลียดฟางชิวมากกว่าเดิม เกลียดจนแทบกระอักเลือดตาย!
ที่นอกฝูงชน
ในตอนแรก หลิวเฟยเฟยอาจารย์ที่ดูแลชั้นเรียนของฟางชิวก็รู้สึกตกใจและสับสนมาก ทว่าหลังจากนั้นเธอก็หัวเราะออกมาทันที
เธอคิดในใจว่า ‘วัน ๆ ฟางชิวเอาแต่ยิ้มไปทั่ว ไม่คิดว่าจะมีความคิดดี ๆ อย่างนี้’
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง ฟางชิวก็ไม่สามารถยิ้มได้อีกต่อไป ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจ ไม่คิดว่าเฉินอินเซิงจะเปิดเผยชื่อของเขาต่อหน้าผู้คนมากมายอย่างนี้
มันจบแล้ว
จากนี้ไปฟางชิวจะถูกจับตามองในทุกที่ที่เขาไป
ที่บนเวที เฉินอินเซิงยังคงมองนักศึกษาที่กำลังพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง หลังจากนั้นไม่นาน เขาเริ่มพูดต่อเมื่อการสนทนาของนักศึกษาเริ่มเงียบลง
“เอาล่ะ! ฉันพูดมามากแล้ว ฉันไม่อยากให้พวกเธอเสียเวลามากไปกว่านี้”
“ฉันขอเริ่มงาน ณ บัดนี้”
หลังจากที่เฉินอินเซิงประกาศเสร็จ เสียงปืนก็ดังขึ้นมา
ปัง! ปัง! ปัง!
จากนั้นเหล่านักศึกษาก็หันกลับไปเมาท์มอยกันต่ออย่างเผ็ดร้อน รวมถึงทั้งสามคนอย่างจูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าวและโจวเสี่ยวเทียนด้วย
ปืนสดุดีบนถนนวางทอดยาวมาถึงสนามกีฬา หลังจากที่ปืนถูกยิงขึ้นเพื่อเป็นการคำนับแล้ว อาจารย์ทั้งห้าสิบคนก็เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม
เมื่อเห็นเหล่าอาจารย์เดินมาแล้ว นักศึกษาต่างปรบมือกันดังลั่น
เสียงปรบมือทำให้อาจารย์ทั้งห้าสิบคนพูดคุยและหัวเราะออกมา ในขณะที่กำลังเดินอยู่บนพรมแดง
“เหล่าเฉิน ตลอดชีวิตนี้ฉันไม่เคยชอบขี้หน้าแกเลย ฉันรอให้ลูกศิษย์ของฉันเอาชนะลูกศิษย์ของแกไม่ไหวแล้ว ฮ่า ๆ!” ชายชราร่างเล็ก ผมหงอกเต็มหัว พุงพลุ้ยนิดหน่อยเอ่ยกับชายชราร่างผอมสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“แกน่ะเหรอ?” อาจารย์ร่างผอมสูงส่งสายตาเหยียดหยามกลับไป “นักศึกษาที่ฉันสอนเป็นเวลาสามวันเก่งกว่านักศึกษาของแกที่ใช้เวลาเรียนเป็นปีอยู่แล้ว!”
“ฮ่า ๆ… สิ่งเดียวที่ฉันไม่สามารถแข่งขันกับแกได้ก็คือการขี้โม้นี่แหละ!” อาจารย์อ้วนเตี้ยกล่าว
“ฉันมีของเหมือนกันแหละน่า ถ้าไม่เชื่อก็รอดูได้เลย!” อาจารย์สูงวัยที่มีรูปร่างผอมสูงหัวเราะออกมา แล้วพูดเสริมว่า “ถึงเวลานั้นแล้ว หน้าเหี่ยว ๆ ของแกก็อย่าอายก็แล้วกัน”
ถัดจากพวกเขาก็มีอาจารย์หญิงที่แต่งกายสุภาพเรียบร้อยและมีรูปร่างสมส่วนเดินเข้ามาพร้อมกับอาจารย์ชายท่านหนึ่ง
“เหล่าหยาง คุณไม่คิดที่จะแข่งขันกับฉันบ้างเหรอ?” อาจารย์หญิงจ้องมองอาจารย์ชายคนนั้นแล้วหัวเราะออกมา “ลูกศิษย์ของพวกเราสามารถแข่งกันได้นะ ว่าไงล่ะ? มาดูกันไหมว่าลูกศิษย์ของคุณเก่งกว่าหรือของฉันเก่งกว่า”
“ได้!” อาจารย์ชายยิ้มแล้วพูดว่า “ว่ากันว่าสุภาพบุรุษไม่ควรทำร้ายสตรี แต่คราวนี้พวกเรามาแข่งกัน! คุณยุ่งเกินกว่าที่จะให้คำแนะนำลูกศิษย์ได้ไม่ใช่เหรอ ฉะนั้น ชัยชนะจะเป็นของฉันแน่นอน!”
“อย่ามั่นใจเกินไปหน่อยเลย!” อาจารย์หญิงส่ายหัวแล้วพูดต่อ “ฉันไม่จำเป็นต้องสอนพวกเขาเข้มงวดขนาดนั้น ความเข้าใจต่างหากที่สำคัญกว่า พูดเรื่องชนะเร็วไปหรือเปล่า มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ฉันมั่นใจ!” อาจารย์ชายตอบออกมา เพราะเขามั่นใจในตัวเองมาก
“ถ้างั้นคุณก็ผิดหวังแล้ว” อาจารย์หญิงหัวเราะคิกคัก
ในกลุ่มคณาจารย์สูงวัย ชายชราหลายคนก็ได้มารวมตัวกัน
“เหล่าหลี่ คุณเกษียณอายุมากว่าสิบปีแล้ว คุณยังมีแรงที่จะสอนอีกหรือ? ถ้าสอนไม่ไหวก็ไปลาออกเถอะ อย่าทำให้ความทุ่มเทของนักศึกษาเหล่านี้ต้องสูญเปล่าเลย”
“ฮึ…” ชายชราที่ถูกถามสูดลมหายใจก่อนจะตอบไปว่า “ถึงตอนนี้ฉันจะอ่อนแอแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าคุณก็แล้วกัน”
“ฮ่า ๆ อย่าจริงจังอย่างนั้นสิ?” ชายชราผู้ถามคำถามหัวเราะออกมา “นักศึกษาเดี๋ยวนี้แตกต่างจากที่พวกเราเคยสอนในอดีต ถึงจะมีความตั้งใจและความกระตือรือร้นมากก็จริง แต่ก็ควบคุมได้ยาก ฉะนั้น คุณต้องใจเย็น ๆ และห้ามโกรธ ไม่อย่างนั้นสุขภาพของคุณจะแย่ลงได้นะ”
“พูดมากจริงเชียว! คอยดูเถอะ ยังไงซะ ลูกศิษย์ของฉันก็ดีกว่าของคุณแน่นอน”
“ดี แล้วฉันจะรอดู!” ชายชราผู้ถามคำถามส่ายหัว
อาจารย์ทั้งห้าสิบคุยไปเดินไปที่นั่งของตนเอง เนื่องจากมีป้ายชื่อวางบนโต๊ะไม้แต่ละโต๊ะ พวกเขาจึงหาที่นั่งได้ไม่ยาก
ทันทีที่อาจารย์ทั้งห้าสิบคนนั่งลง นักศึกษาในสนามกีฬาก็รีบเข้าไปล้อมอาจารย์ทุกคนไว้เนืองแน่น
จูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าวและโจวเสี่ยวเทียนไม่มีเวลาจัดการกับฟางชิวที่บังอาจมีความลับกับพวกเขา ทั้งสามคนรีบพุ่งเข้าหาอาจารย์ทันที หลังจากที่มองคาดโทษน้องเล็กตัวดีแล้ว พวกเขาก็ผละไปเข้าคิวโดยไม่สนใจว่าพวกเขาเข้าคิวที่แถวของอาจารย์คนไหน!
“อาจารย์หยาง สำหรับเทคนิคการจัดกระดูก สิ่งแรกที่ต้องเชี่ยวชาญคือการมีสัมผัสที่แข็งแกร่ง หรือความคุ้นเคยกับกระดูกของร่างกายครับ?”
“อาจารย์หม่าบอกพวกเราที…”
“อาจารย์ซ่ง…”
เหล่านักศึกษาเข้าไปขอคำแนะนำกันอย่างต่อเนื่อง
มันดูคล้ายกับว่าเป็นการสัมภาษณ์มากกว่าการพบปะพูดคุย เห็นได้ชัดว่าอาจารย์บางคนก็งงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่คาดคิดว่าความกระตือรือร้นของนักศึกษาจะสูงขนาดนี้ แน่นอนว่าบรรดาอาจารย์ทุกคนก็ยังคงตอบคำถามกันอย่างใจเย็น
แค่ครู่เดียว ใต้ร่มกันแดดจำนวนห้าสิบอันก็เต็มไปด้วยผู้คน เหล่านักศึกษาที่อยู่นอกฝูงชนต่างดิ้นรนเข้าไปหาอาจารย์ เป็นเหตุรอบทิศดูครึกครื้นอย่างยิ่ง
เฉินอินเซิงมองดูภาพนั้นบนเวทีพร้อมกับรอยยิ้ม ความกระตือรือร้นของนักศึกษาที่สูงอย่างนี้มันเกินความคาดหมายของเขาไปมาก
ตอนแรกเขาค่อนข้างกังวลว่าผลลัพธ์ของโครงการฝึกงานมันจะไม่ดีเท่าที่เขาคิดเอาไว้ แต่พอเขาเห็นภาพตรงหน้าแล้ว เขาก็โล่งใจทันที
ภาพตรงหน้านี้จะบอกว่ากระแสไม่ดีได้อย่างไร?
ถัดจากเขาก็มีคณบดีทั้งแปดคนจากมหาวิทยาลัยการแพทย์เจียงจิง มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนฮุ่ยโจว มหาวิทยาลัยการแพทย์ฮุ่ยโจว มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจิงเป่ย มหาวิทยาลัยการแพทย์จิงเป่ย มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจงโจว มหาวิทยาลัยการแพทย์จงโจว และมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงฉา
“รองอธิการบดีเฉิน” คณบดีของมหาวิทยาลัยการแพทย์เจียงจิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “โครงการฝึกงานของมหาวิทยาลัยของคุณกำลังไปได้สวยจริง ๆ”
“ที่ไหนกันล่ะ” เฉินอินเซิงตอบด้วยความสุภาพพลางหัวเราะออกมา
“โธ่ ถ้านี่ยังถือว่าไม่ดี แล้วต้องเป็นแบบไหนถึงจะเรียกว่าดีล่ะ”
คณบดีของมหาวิทยาลัยการแพทย์ฮุ่ยโจวเดินเข้ามาและกล่าวว่า “ดูสิ! นี่ไม่ใช่บรรยากาศของความรุ่งโรจน์หรอกเหรอ! ผมพนันได้เลยว่ามหาวิทยาลัยแพทย์จีนเจียงจิงจะต้องไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน!”
“ใช่แล้ว!” คณบดีของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจงโจวพยักหน้าเห็นด้วย “พูดตามตรง ผมประทับใจที่เห็นนักศึกษากระตือรือร้นและประทับใจที่เหล่าอาจารย์อาวุโสอุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวในครั้งนี้มาก”
“ถูก ผมก็ประทับใจเหมือนกัน” คณบดีของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงฉางก็เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย
“ผมไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ก็แล้วกัน” เฉินอินเซิงพยายามปิดรอยยิ้มบนหน้าแล้วหันไปชำเลืองมองเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นบนสนามกีฬา “อย่างที่พูดไปก่อนหน้านี้ อาจารย์สูงวัยเหล่านี้อุทิศตนทั้งชีวิตให้กับมหาวิทยาลัย และได้ฝึกฝนพรสวรรค์นับไม่ถ้วนให้กับนักศึกษาจนถึงวัยเกษียณ แม้บางคนเกษียณไปแล้วหลายปี แต่พวกเขาก็เต็มใจที่จะอุทิศตนให้กับมหาวิทยาลัยและการแพทย์แผนจีนอีกครั้ง ผมรู้สึกขอบคุณพวกเขามากจริง ๆ รู้สึกโชคดีมากที่มีพวกเขาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้”
บรรดาคณบดีจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ต่างพยักหน้าเข้าใจพร้อมกัน
เพราะความจริงแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ความเต็มใจของอาจารย์สูงวัยเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อมหาวิทยาลัย และยังแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่อยากจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาแพทย์แผนจีน
นี่คือความต้องการและความจริงใจของอาจารย์สูงวัยเหล่านี้
นอกสนามกีฬา ฟางชิวยืนอยู่คนเดียวในขณะที่รูมเมตเข้าไปขอคำแนะนำจากอาจารย์
เมื่อมองดูความวุ่นวายตรงหน้า ฟางชิวก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป จะต้องมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแน่นอน
นักศึกษาจำนวนมากเข้าไปขอคำแนะนำ การสัมภาษณ์และการทดสอบที่เหล่าอาจารย์เตรียมมาสำหรับวันนี้อาจจะไม่ได้มีโอกาสได้
ฟางชิวมองไปรอบ ๆ ดวงตาเป็นประกายทันทีที่เห็นเฉินอินเซิง เขารีบเดินไปที่เวทีอย่างรวดเร็ว
“ท่านรองอธิการบดีเฉินครับ” ฟางชิวเอ่ยเรียกเฉินอินเซิงอยู่ที่ขอบเวที
ในขณะที่กำลังสนทนากับคณบดีของมหาวิทยาลัยอีกแปดคน เฉินอินเซิงก็หันไปมองฟางชิวด้วยความมึนงง
“ไง เธอต้องการอะไรเหรอ?” เฉินอินเซิงไม่รู้จักฟางชิว
“ผมชื่อฟางชิวครับ” ฟางชิวกล่าว
“โอ้?” เฉินอินเซิงรู้สึกตกใจ แต่ไม่นานก็กลับมาสีหน้าราบเรียบดังเดิม เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เธอคือนักศึกษาที่ชื่อฟางชิว?”
“ครับ ผมเอง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ฟางชิวตอบอย่างนอบน้อม
ถัดจากพวกเขา คณบดีทั้งแปดคนจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ก็หันไปมองฟางชิวแล้วพิจารณาชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า
นี่คือนักศึกษาที่เป็นคนเสนอโครงการฝึกงานนี้หรือ?
เมื่อเห็นว่าฟางชิวอายุน้อยเพียงใด พวกเขาทั้งแปดก็รู้สึกอึ้งทันที
เป็นวีรบุรุษในหมู่เยาวชนจริง ๆ!
“ฉันกำลังจะไปหาเธออยู่พอดีเลย ไม่คิดว่าเธอจะมาหาฉันที่นี่” เมื่อมองไปที่ฟางชิว เฉินอินเซิงก็พูดติดตลกก่อนที่จะทำหน้าจริงจัง “ฉันอยากจะขอบคุณเธอในนามของมหาวิทยาลัยสำหรับข้อเสนอแนะที่ดีแบบนี้ เธอช่วยให้เพื่อนร่วมชั้นของเธอมีโอกาสเรียนรู้เพิ่มขึ้น”
“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ” ฟางชิวยิ้มอย่างสุภาพ
“ว่าแต่ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” เฉินอินเซิงถามด้วยรอยยิ้ม
“มีสามข้อครับ” ฟางชิวกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ก่อนอื่นเลย ผมหวังว่าทางมหาวิทยาลัยจะจัดแถวให้นักศึกษาหน้าอาจารย์แต่ละท่านได้”
“ตอนนี้มันวุ่นวายเกินไป อาจมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ อาจารย์จะสื่อสารกับนักศึกษาในสถานการณ์อย่างนี้ลำบากด้วย แม้ว่าจุดประสงค์ของงานนี้จะเป็นการพบปะและทักทาย แต่มันก็เป็นการสัมภาษณ์และการทดสอบด้วยเช่นกัน ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป อาจารย์จะไม่สามารถสัมภาษณ์ใครได้เลยนอกจากตอบคำถามของนักศึกษาเพียงอย่างเดียว แล้วเวลาของนักศึกษาแต่ละคนก็ควรจะมีจำกัดด้วย ไม่งั้นจะไม่ยุติธรรมกับนักศึกษาที่รออยู่ข้างหลัง”
[1] เชี่ยวเทียนฉวน คือ สุนัขสีดำของหม่าเทียนจวิน หม่าเทียนจวินเป็นเทพเซียนระดับจอมพลบนสวรรค์ที่ชาวจีนที่นับถือลัทธิเต๋าให้ความเคารพศรัทธามากองค์หนึ่ง