คุรุการแพทย์ – บทที่ 128 มีคนเอาป้ายมาให้!

คุรุการแพทย์

บทที่ 128 มีคนเอาป้ายมาให้!

บทที่ 128 มีคนเอาป้ายมาให้!

“สิ่งที่ฉันจะทำต่อไปเหรอ?” ชายวัยกลางคนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเจือความคาดหวัง “ฉันยังเหลือเวลาอีกหลายปี ฉันอยากจะทำความดีเพิ่ม อยากช่วยผู้คนชดใช้บาป”

“ฉันจะตั้งใจหาเงินต่อไป จะได้เอาไปบริจาคให้เด็กที่ไม่มีเงินไปโรงเรียนกับเด็กที่กำลังเจ็บป่วย พวกเขาเป็นความหวังในวันหน้าของสังคม เป็นความหวังของฉันด้วย”

ฟางชิวไม่พูดอะไรออกมาอีก เขายังคงรักษาคนไข้อย่างเงียบ ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากมาย แต่ในใจของเขาก็รู้สึกซาบซึ้ง

มนุษย์สามารถเป็นได้ทั้งคนดีและคนชั่ว เพราะความดีกับความชั่วมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในพริบตาเดียว

ความดีคือพลังที่มาจากใจ มันสามารถทำอะไรก็ได้ สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ ตราบใดที่ยังมีความดีอยู่ แม้แต่ดินแดนที่รกร้างก็ยังสามารถปลูกดอกไม้ที่สวยงามที่สุดได้!

เหมือนดอกบัวที่ออกมาจากโคลนตม!

เหมือนพระพุทธเจ้าที่ออกจากการเป็นฆราวาส!

หากคนเราคิดจะทำความดี ใครเล่าจะสามารถหยุดได้!

โลกนี้มีคนเดินบนเส้นทางที่ผิดเพียงน้อยนิด หลายคนต่างสวดมนต์อ้อนวอนภาวนา ขอให้คนเหล่านี้กลับตัวกลับใจได้

ชายวัยกลางคนยังคงเล่าเรื่องราวของเขาต่อไป เช่นเดียวกับฟางชิวที่ทำการรักษาต่อไปเช่นกัน

ไม่นาน มือของฟางชิวก็หยุดเคลื่อนไหว

“เสร็จแล้วครับ” ฟางชิวหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “กระดูกสันหลังของคุณกลับเข้าที่แล้ว หลังจากนี้คุณต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เคลื่อนไหวให้มากเกินไปนะครับ”

“ชีวิตฉันมันเลวทรามขนาดนี้แล้ว ฉันไม่มีเวลามาพักผ่อนหรอก” คนไข้ส่ายหัวและคลี่ยิ้มออกมา “ขอบคุณนะคุณหมอ” จากนั้นเขาก็ก้มลง โค้งคำนับฟางชิวอย่างซาบซึ้งใจ

“ผมเองก็ขอบคุณที่ช่วยเหลือนักเรียนยากจนบนภูเขานะครับ” ฟางชิวถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วโค้งคำนับคนไข้ด้วยความตื้นตันใจ

“เฮ้ย…” การกระทำของฟางชิวทำให้คนไข้ตกใจ เขาพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า “คุณหมอ นั่นเป็นสิ่งที่ฉันควรทำอยู่แล้ว ไม่ต้องขอบคุณหรอก ฉันไม่กล้ารับ”

ฟางชิวคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น

“งั้น…” ฟางชิวมองคนไข้พร้อมกับพูดว่า “ผมจะยกเว้นค่ารักษาของคุณให้นะครับ” พูดจบฟางชิวก็หยิบเงินห้าสิบหยวนออกจากลิ้นชักแล้วยื่นให้อีกฝ่าย

“คุณหมอจะทำแบบนี้ไม่ได้” คนไข้ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “รักษาแล้วก็ต้องจ่ายสิ ฉันขอบคุณหมอมากนะ!” คนไข้วัยกลางคนหันหลังแล้วเตรียมพร้อมที่จะไป

“ผมขอข้อมูลติดต่อคุณได้ไหมครับ” ฟางชิวรั้งเขาไว้

“ฉันไม่มีข้อมูลติดต่อหรอก” คนไข้ยิ้มอย่างอาย ๆ

“แล้วคุณอาศัยอยู่ที่ไหนเหรอครับ” ฟางชิวยังคงถามต่อไป

“ฉันอยู่… อยู่ใต้สะพานกว่างหมิง ทางตะวันตกของเมือง”

“ใต้สะพาน?” ฟางชิวตกใจ

ชายหนุ่มนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะอาศัยอยู่ใต้สะพาน คนไข้รายนี้ทำงานอย่างหนักเป็นเวลาสามปี มีเงินเก็บถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน แต่กลับไม่มีที่อยู่อาศัยด้วยซ้ำ

เขายอมอยู่ใต้สะพานแทนการเช่าบ้านที่มีค่าเช่าหลายร้อยหยวนต่อเดือน เพราะต้องการบริจาคเงินทุกหยวนของเขา

เมื่อรู้อย่างนั้นแล้ว หัวใจของฟางชิวก็ปวดหนึบขึ้นมา

“ถ้าอย่างนั้นผมจะไปเยี่ยมคุณตอนที่ผมว่างนะครับ” เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะอับอาย ฟางชิวจึงทำได้เพียงยิ้มบาง ๆ

“ไม่ ไม่ต้องมาหรอก ที่ที่ฉันอยู่ทั้งรกทั้งเลอะเทอะ” คนไข้โบกมืออย่างรวดเร็ว

“ที่นั่นมันไม่เหมาะกับหมอ ฉันหายดีแล้วด้วย ไม่ต้องมาเยี่ยมหรอก ฉันรู้ว่าหมอเป็นคนดี ขอบคุณมากนะ” จากนั้นเขาก็หันหลังแล้วเดินจากไป

ฟางชิวจึงทำได้แค่ยืนที่หน้าโต๊ะตรวจโรค มองไปที่แผ่นหลังของคนไข้ ไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน

วันนี้คนไข้รายนี้ได้สอนบทเรียนให้เขา

แล้วมันก็เป็นบทเรียนที่ล้ำค่ามาก!

ณ ที่นั่งรอสำหรับคนไข้

แอ๊ด!

เมื่อประตูห้องตรวจของฟางชิวเปิดออก หานเจิ้นกับแพทย์ฝึกหัดที่กำลังนั่งรอก็เงยหน้าขึ้นมองทันที

จากนั้นพวกเขาก็พบว่ามีชายวัยกลางคนหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและสกปรกเดินออกมาจากห้องตรวจของฟางชิว

“หืม?” ในตอนแรกที่หานเจิ้นเห็นคนคนนี้ เขาก็รู้สึกประหลาดใจ แต่หลังจากนั้น เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ในความคิดของเขา คนไข้รายนี้น่าจะเป็นคนเก็บขยะหรือไม่ก็เป็นคนงานระดับล่าง แล้วคนประเภทนี้ก็ไม่น่าจะเข้าไปโหวตให้ฟางชิว เพราะคงไม่รู้ว่าต้องโหวตคะแนนอย่างไร

ทันใดนั้น ก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวของหานเจิ้น ชายหนุ่มรีบหันไปโบกมือให้แพทย์ฝึกหัดตามคนไข้รายนี้ไป เพื่อดูว่าคนไข้จะโหวตให้ฟางชิวหรือไม่

เมื่อแพทย์ฝึกหัดได้รับคำสั่งแล้วก็ลุกขึ้น เดินเข้าไปในลิฟต์ตัวเดียวกันกับคนไข้ทันที

สามนาทีต่อมา

เสียงลิฟต์ดังขึ้นอีกครั้ง แพทย์ฝึกหัดวิ่งเหยาะ ๆ มาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า เขากระซิบที่ข้างหูหานเจิ้นว่า “ไม่มีการโหวตครับ คนเร่ร่อนไม่รู้ว่ามีการโหวต เขาเดินตรงดิ่งออกจากโรงพยาบาลไปเลย”

เมื่อได้ยินดังนั้น หานเจิ้นก็กลั้นเสียงหัวเราะไม่ได้ เขารู้สึกโล่งใจมากในตอนนี้

เขาชนะฟางชิวแล้ว!

ในที่สุดเขาก็รู้สึกสบายใจกับสิ่งที่หนักใจมานาน

แม้ว่าชัยชนะของเขาจะไม่น่ายกย่อง แต่ชัยชนะก็คือชัยชนะ อย่างไรเขาก็ต้องการชัยชนะ ไม่ใช่คำสรรเสริญ

“ไปกันเถอะ” หานเจิ้นลุกขึ้นยืนพร้อมกับรอยยิ้ม ชายหนุ่มเหลือบห้องตรวจของฟางชิวก่อนที่จะจากไป

แพทย์ฝึกหัดพยักหน้าตกลง

“ไม่ไปหาหมอเสี่ยวฟางแล้วเหรอ?” เฉาเจ๋อที่รออยู่ข้างนอกถามด้วยความสงสัย

“ไม่ล่ะ” หานเจิ้นส่ายหน้าและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ผลลัพธ์ชัดเจนแล้ว ถ้าฉันไปหา หมอเสี่ยวฟางก็มีแต่จะเคืองตาเปล่า ๆ เพราะสุดท้ายเขาก็แพ้แล้ว เขาอาจจะอายก็ได้ ไม่ไปจะดีกว่า”

เฉาเจ๋อเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

ทำไมหานเจิ้นถึงได้ไร้ยางอายขนาดนี้นะ?

แม้ว่าเฉาเจ๋อจะไม่สนใจชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ระหว่างหานเจิ้นกับฟางชิว แต่ถึงอย่างนั้น ฟางชิวก็เป็นตัวแทนของแผนกระดูกและข้อของชั้นเจ็ด คำพูดของหานเจิ้นจึงไม่ได้เย้ยหยันฟางชิวแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ยังเย้ยหยันแพทย์ของแผนกกระดูกและข้อด้วย ในฐานะคนของแผนกกระดูกและข้อ เฉาเจ๋อย่อมรู้สึกไม่พอใจ

อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มาก เพราะท้ายที่สุดแล้วยังมีช่องว่างระหว่างสถานะของเขากับหานเจิ้นอยู่มาก

“ไปกันเถอะ” หานเจิ้นหันกลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม แพทย์ฝึกหัดจึงเดินตามหลังเขาอย่างประจบสอพลอ

ในขณะนั้นเอง

ติ๊ง!

เสียงลิฟต์ดังขึ้นก่อนที่พวกเขาจะไปถึงลิฟต์ จากนั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก

วินาทีถัดมา ฝูงชนก็ได้หลั่งไหลออกมาจากลิฟต์ โดยมีหัวหน้ากลุ่มเป็นชายวัยกลางคนในชุดสูทดูทะมัดทะแมง เขาถือป้ายผ้าไหมที่มีขอบสีเหลืองกับพื้นหลังสีแดงติดมือมาด้วย

“หมอเสี่ยวฟางล่ะ?” หัวหน้ากลุ่มก็ได้เจอกับหานเจิ้นและแพทย์ฝึกหัดที่หน้าลิฟต์ ก็เอ่ยถามอย่างเร่งรีบ “เขาไปแล้วเหรอ?”

ได้ยินอย่างนั้น หานเจิ้นกับแพทย์ฝึกหัดก็อึ้งกิมกี่

เฉาเจ๋อเดินเข้ามาหาแล้วถามว่า “พวกคุณมาหาหมอเสี่ยวฟางทำไมเหรอครับ?” ระหว่างที่ถาม เขาก็เหลือบมองไปที่ป้ายที่เป็นผ้าไหมด้วย

“บอกฉันมาก่อนว่าหมอเสี่ยวฟางไปรึยัง” ขณะที่ถาม ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็มองไปที่เฉาเจ๋ออย่างร้อนใจ

“ยังครับ” เฉาเจ๋อตอบกลับ

“งั้นก็ดีแล้ว” ผู้หัวหน้ากลุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก คนราว ๆ เจ็ดแปดคนที่อยู่ข้างหลังก็ส่งเสียงหัวเราะทันทีที่ได้ยินเช่นหัน

“โชคดีที่พวกเรามาทัน”

“ใช่ นึกว่าหมอเสี่ยวฟางจะกลับไปแล้วซะอีก”

“หมอเสี่ยวฟางทุ่มเทกับงานจริง ๆ”

จากนั้น กลุ่มวัยกลางคนก็พากันหัวเราะและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

เฉาเจ๋อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ยิ่งเขามองดูกลุ่มชายวัยกลางคนเหล่านี้มากเท่าไร กลุ่มวัยกลางคนเหล่านี้ก็ยิ่งดูคุ้นตามากขึ้นเท่านั้น เขาจึงเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจว่า “พวกคุณเป็นคนขับรถที่มาหาหมอตอนบ่ายวันนี้ใช่ไหมครับ?”

ฝูงชนก็ต่างพยักหน้าเป็นคำตอบ

เฉาเจ๋อเพ่งสายตามองป้ายที่เป็นผ้าไหมในมือของหัวหน้ากลุ่มอีกครั้ง แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง

หรือว่าคนเหล่านี้จะมาที่นี่เพื่อมอบป้ายให้ฟางชิวโดยเฉพาะ?

ไม่ใช่แค่เฉาเจ๋อคนเดียวเท่านั้นที่คิดแบบนั้น หานเจิ้นเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เพราะเขาก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะดูสถานการณ์ไม่ออก

คนเหล่านี้มาหาฟางชิวพร้อมป้าย เห็นแค่ความตั้งใจก็รู้แล้ว

สีหน้าของหานเจิ้นขุ่นหมองทันทีเมื่อเขารู้ว่ามีคนมามอบป้ายให้คนที่เพิ่งทำงานเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น

หลังจากอยู่ในห้องตรวจได้ครู่หนึ่ง ฟางชิวก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วถอดเสื้อกาวน์ออก พอรู้ว่าตนไม่มีคนไข้รออยู่อีกก็เดินออกไปจากห้องตรวจ แต่แล้วก็ต้องหยุดเดิน เพราะด้านหน้าของเขามีคนจำนวนมากยืนอออยู่

ภาพตรงหน้าทำเอาฟางชิวรู้สึกแปลกใจ

“หมอเสี่ยวฟางออกมาแล้ว!” ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนออกมาจากฝูงชน

พรึ่บ!

คนขับรถกลุ่มนี้รีบหันไปมองฟางชิวกันอย่างพร้อมเพรียง แล้วก็ตรงไปล้อมฟางชิวเอาไว้อย่างตื่นเต้น

“นี่คือ?” เมื่อมองไปที่ฝูงชน ฟางชิวก็รู้สึกมึนงง

“หมอเสี่ยวฟาง! ดีนะที่เธอยังไม่กลับบ้าน โชคดีที่พวกเรามาทันเวลาพอดี!” หัวหน้ากลุ่มพูดพลางยิ้มกว้าง “พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อมามอบป้ายให้เธอ นี่เป็นการขอบคุณสำหรับการรักษาพวกเราน่ะ”

“ผมเป็นหมอ การรักษาคนไข้คืองานของผม มันเป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้วครับ” ฟางชิวกล่าวอย่างสุภาพ

“ไม่หรอกคุณหมอ!”

“พวกเราเป็นคนแก่ ป่วยเป็นโรคจากการทำงานมาหลายปี ไม่มีหมอคนไหนรักษาพวกเราหายเลย แต่ว่าหมอเสี่ยวฟาง เธอน่ะไม่เหมือนหมอคนอื่น เพราะเธอมีทักษะที่ยอดเยี่ยม นึกถึงผลประโยชน์ของคนไข้ พวกเราทั้งรู้สึกชื่นชมทั้งรู้สึกขอบคุณ!”

“ใช่แล้ว หมอเสี่ยวฟาง เธอเป็นคนดีมากนะ!”

“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจอกับหมอดี ๆ อย่างหมอเสี่ยวฟาง”

“ฉันเคยไปโรงพยาบาลมาหลายแห่งแล้ว แต่ไม่มีหมอคนไหนรักษาฉันให้หายจากอาการป่วยเรื้อรังได้เลย แต่เธอกลับรักษาฉันให้หายได้ในการรักษาแค่ครั้งเดียว ทักษะทางการแพทย์ของเธอน่าทึ่งมากจริง ๆ เพราะงั้นรับป้ายนี้ไปเถอะ!”

คนในกลุ่มต่างตะโกนคำเยินยอออกมากันทีละคนสองคน ฟางชิวจึงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอเรื่องแบบนี้

“หมอเสี่ยวฟาง โปรดรับไว้เถอะ!”

หัวหน้ากลุ่มยกป้ายในมือแล้วยื่นให้ฟางชิวพร้อมกับกล่าวว่า “ในนามของอดีตคนขับรถทุกคนของเมืองเจียงจิง ฉันขอมอบป้ายนี้ให้เธอเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับการรักษาพวกเรา”

“นี่…” ฟางชิวพึมพำกับตัวเอง ไม่รู้ว่าตนควรจะรับป้ายดีหรือไม่

“หมอเสี่ยวฟาง พวกเรารีบเดินทางมามอบป้ายนี้ให้เป็นพิเศษเลยนะ แต่พวกเราก็มาถึงที่นี่ตอนที่เธอเลิกงานแล้ว พวกเรานึกไม่ถึงว่าเธอจะยังไม่กลับ ฉะนั้น นี่มันเป็นลิขิตจากสวรรค์แน่นอน เธอก็ควรจะรับมันไปนะ”

“รับไว้เถอะ”

“ถ้าเธอไม่รับ แล้วจะมีใครในโลกนี้ที่กล้ารับป้ายผ้าไหมผืนนี้ไปล่ะ?”

“ใช่แล้ว หมอเสี่ยวฟาง เธอต้องรับมันไว้”

ฝูงชนพูดโน้มน้าวฟางชิวยกใหญ่

เฉาเจ๋อมองดูภาพนี้ด้วยความร้อนรน ในเมื่อคนเหล่านี้มามอบป้ายให้ฟางชิวด้วยความตั้งใจแล้ว แล้วทำไมเขาถึงไม่รับไว้ล่ะ

ถ้าฟางชิวไม่รับ คนเหล่านี้จะรู้สึกว่าชายหนุ่มไม่เห็นแก่หน้าพวกเขา อย่างไรการเอาป้ายไปแขวนไว้ในห้องตรวจมันคงจะดูดีและสง่างามมาก!

ครั้งนี้เฉาเจ๋อรู้สึกชื่นชมฟางชิวจากใจจริง ๆ

การมีโอกาสได้รับป้ายจากคนอื่นมันหมายความว่าอย่างไร แน่นอนว่าหมายความว่า ไม่ใช่แค่คนไข้ยอมรับทักษะทางการแพทย์เท่านั้น แต่หมายความว่าแพทย์คนนั้นมีจรรยาบรรณทางการแพทย์ดีด้วย!

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…

ฟางชิวเพิ่งอายุเท่าไรเอง แถมยังไม่ได้เป็นหมอเต็มตัว เขาเป็นเพียงผู้ช่วยแพทย์เท่านั้น แต่ก็ได้รับป้ายยกย่องแล้ว

ระหว่างที่ฟางชิวกำลังเรียนหนังสือ และได้มาทำงานพาร์ตไทม์ในโรงพยาบาล แต่จู่ ๆ เขาก็ได้รับป้ายจากคนไข้ นี่ถือได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์มาก!

ในโรงพยาบาลจะมีสักกี่คนที่จะได้รับป้ายจากคนไข้?

เฉาเจ๋อไม่เคยเห็นมาก่อน

มีพยาบาลฝึกหัดคนหนึ่งเคยได้รับข้อความขอบคุณจากคนไข้ เมื่อเรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งโรงพยาบาล เธอก็ได้รับคำชมจากบุคลากรในโรงพยาบาลมากมาย

แต่มันจะเทียบกับการมอบป้ายให้ซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ได้อย่างไร!

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน