คุรุการแพทย์ – บทที่ 129 สามหมื่นหยวนสำหรับนักสืบ!

คุรุการแพทย์

บทที่ 129 สามหมื่นหยวนสำหรับนักสืบ!

บทที่ 129 สามหมื่นหยวนสำหรับนักสืบ!

“ก็ได้” ฟางชิวพยักหน้าเบา ๆ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรับป้ายผ้าไหมมา

วินาทีต่อมา เสียงปรบมือก็ดังขึ้น บรรดาอดีตคนขับรถต่างก็ปรบมือกันอย่างครึกครื้น

ทางด้านของเฉาเจ๋อนั้น ชายหนุ่มเองก็ชื่นชมฟางชิวเช่นกัน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา และในเวลาเดียวกันเขาก็แอบหันไปมองหานเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ

หานเจิ้นหงุดหงิดมาก ภาพตรงหน้ามันทำให้เขาอึดอัดไปหมดจนไม่อยากจะหันไปมอง จากนั้นเขาจึงหันหลังจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำเดียว

เขารู้ว่าวันนี้เขาแพ้แล้ว

ตอนนี้มีคะแนนมากกว่าฟางชิวหนึ่งคะแนนก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

คะแนนโหวตจะเทียบกับป้ายได้อย่างไรกันล่ะ?

หานเจิ้นทำงานในโรงพยาบาลทั้งสัปดาห์เพื่อให้ได้คะแนนโหวตมากกว่าฟางชิวทำงานหนึ่งวันต่อสัปดาห์

ไม่คาดคิดว่าฟางชิวจะได้รับป้ายนั่น!

ถึงจะเป็นแค่ป้ายผ้าไหม แต่มันก็เพียงพอที่จะบดขยี้เขาอย่างสมบูรณ์ได้

แล้วอย่างนี้ เขาจะเอาอะไรไปเทียบกับฟางชิวได้?

เขาแพ้แล้ว!

ไม่นาน ข่าวที่ฟางชิวใช้เวลาทำงานแค่ช่วงบ่าย แต่กลับได้คะแนนโหวตห้าสิบคะแนน ก็แพร่กระจายไปทั่วโรงพยาบาลราวกับพายุ

ทันทีที่ข่าวแพร่สะพัดออกไป ทุกคนในโรงพยาบาลต่างก็ตกใจทันที

แค่ทำงานตอนบ่ายวันเดียวก็ได้ห้าสิบคะแนนโหวตแล้ว?

สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องกฎของการจัดอันดับแพทย์ดีเด่น คะแนนโหวตห้าสิบคะแนนอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับคนในแวดวงของโรงพยาบาล พวกเขาย่อมรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนที่จะได้คะแนนโหวตมา

หมอบางคนทำงานมาทั้งเดือนก็ยังไม่ได้คะแนนโหวตสูงเท่านี้เลย แต่ฟางชิวกลับทำได้ซะอย่างนั้น

แน่นอนว่า หลายคนไม่เชื่อข่าวลือที่ได้ยิน

“ห้าสิบคะแนนโหวต เป็นไปได้ยังไงกัน?”

“เป็นแค่ผู้ช่วยแพทย์ จะตรวจคนไข้ห้าสิบคนต่อวันได้ยังไง? แถมทำงานแค่ครึ่งวันอีก!”

“ถึงจะตรวจคนไข้ได้ห้าสิบคน แต่คนไข้ทุกคนก็ไม่ได้โหวตให้เขาหรอกใช่ไหม”

“ไม่งั้นก็เรื่องโกหกแล้ว!”

ปลอมแปลงคะแนนแบบนี้ทำลายชื่อเสียงโรงพยาบาลแน่ พวกเราต้องตรวจสอบเรื่องนี้กันนะ”

“ใช่แล้ว โรงพยาบาลต้องตรวจสอบเรื่องนี้สิ!”

เกิดความตื่นตะหนกไปทั่วทุกที่ในโรงพยาบาล พวกแพทย์ยังหนุ่มที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่างหงุดหงิดกับข่าวที่ได้ยินกันทั้งหมด

ทว่า จู่ ๆ ก็มีอีกข่าวหนึ่งแพร่ออกมา เป็นเหตุให้ทุกคนพากันปิดปากเงียบทันที ข่าวที่ว่าก็คือฟางชิวได้รับป้ายผ้าไหมจากคนไข้

เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว เหล่าแพทย์ยังหนุ่มก็พูดไม่ออก ภายในใจของพวกเขาต่างก็รู้สึกอิจฉาริษยา

ป้ายผ้าไหมถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว!

แม้ว่าพวกเขาจะทำงานหนักมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังไม่เคยได้รับป้ายเลยสักครั้ง

เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ความสงสัยที่พวกเขามีต่อฟางชิวก็ค่อย ๆ จางหายไป แล้วความคิดเห็นหนึ่งก็เข้ามาแทนที่

ในเวลาเดียวกัน ทันทีที่เฉาเจ๋อรู้ข่าว เขาก็รายงานเรื่องที่ฟางชิวได้รับป้ายผ้าไหมให้เสิ่นชุนทราบ แล้วในตอนที่เขารายงานข่าว เขาก็เล่าอย่างตื่นเต้น

เมื่อเสิ่นชุนฟังรายงานของเฉาเจ๋าจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมฟางชิว

ในห้องผู้อำนวยการประจำโรงพยาบาล

“หืม?” ซูมู่ตงที่กำลังอ่านเอกสารอยู่เงยหน้าขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินการรายงานจากแพทย์คนหนึ่ง เขาจ้องมองแพทย์คนนั้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้างก่อนจะถามว่า “มีคนไข้เอาป้ายมาให้ฟางชิว?”

“ใช่ครับ เมื่อกี้นี้เอง” แพทย์คนนั้นพยักหน้า

“ยอดเยี่ยม” ซูมู่ตงวางเอกสารในมือลง จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ฟางชิวเป็นวีรบุรุษในหมู่เยาวชนจริง ๆ คิดอยู่แล้วว่าเสิ่นชุนต้องดูคนไม่ผิด”

“หลังจากนี้ เหล่าแพทย์อาวุโสในโรงพยาบาลของพวกเราอาจต้องทำงานหนักขึ้น แพ้ให้กับเด็กที่ยังเรียนไม่จบอย่างนี้ น่าขายหน้าจริง ๆ ฮ่า ๆๆ!”

อีกด้านหนึ่ง ข่าวที่ฟางชิวใช้เวลาทำงานแค่ครึ่งวันแต่ได้คะแนนโหวตห้าสิบคะแนนกับป้ายผ้าไหมก็กระจายไปทั่วโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

ไม่มีใครสนใจเรื่องหานเจิ้นได้คะแนนโหวตมากกว่าฟางชิวหนึ่งคะแนนเลย

เมื่อเทียบกับการทำงานหนึ่งวันกับหนึ่งสัปดาห์แล้ว มันก็มีความแตกต่างกันแค่หนึ่งคะแนนเท่านั้น ผลออกมาอย่างนี้แล้วจะพูดอะไรได้อีก?

ยิ่งกว่านั้น ระหว่างคะแนนโหวตแพทย์ดีเด่นกับป้ายผ้าไหมแล้ว อย่างไรซะ ป้ายผ้าไหมก็เหนือกว่าอยู่ดี

ต่อให้มีคะแนนโหวตเท่าไรก็ตาม มันก็ไม่สามารถเทียบกับป้ายผ้าไหมได้เลย

แม้แต่แพทย์ที่ทำงานในโรงพยาบาลมาหลายปีและเคยได้รับคะแนนโหวตเป็นร้อยเป็นพันก็ยังไม่เคยได้รับป้ายผ้าไหมเลย

แล้วหานเจิ้นทำแบบฟางชิวได้ไหม?

เห็นได้ชัดว่าไม่ได้

เมื่อข่าวที่ชายหนุ่มได้รับป้ายผ้าไหมแพร่ออกไป ตอนนี้ทั้งโรงพยาบาลก็รู้แล้วว่า ในเวลานี้ได้มีอัจฉริยะเข้ามาในโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งก็คือหมอเสี่ยวฟางจากแผนกกระดูกและข้อ!

ทางด้านของฟางชิวนั้น

ในขณะที่ทุกคนในโรงพยาบาลกำลังพูดถึงข่าวที่แพร่ออกมากันอย่างสนุกสาน ฟางชิวที่เป็นศูนย์กลางความสนใจของทุกคนก็ได้แอบออกจากโรงพยาบาลอย่างเงียบเชียบ

ชายหนุ่มเดินไปตามถนนพลางก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ ราวกับว่าเขากำลังค้นหาอะไรบางอย่างอยู่

“นักสืบต้าหยิน!” ฟางชิวชะงักฝีเท้าขณะอ่านคำแนะนำบนหน้าจอ จากนั้นเขาก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

เมื่อสักครู่นี้ ฟางชิวใช้โทรศัพท์เพื่อค้นหาสำนักนักสืบ เพราะมีบางอย่างที่เขาต้องการจะหาให้เจอก่อน

ฟางชิวเดินไปที่ธนาคารที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยด้วยความเร็ว เขาถอนเงินออกมาห้าหมื่นหยวน จากนั้นก็ขึ้นรถแท็กซี่รีบไปที่สำนักงานนักสืบที่ชื่อ ‘ต้าหยิน’

สำนักงานนักสืบต้าหยินตั้งอยู่ในหมู่บ้านทางตอนเหนือของเมืองเจียงจิง

แม้ว่าที่นี่จะมีอาคารสูง แต่ก็ดูค่อนข้างเก่า อาคารพวกนี้ถูกสร้างขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว

อาจเป็นเพราะอาคารพวกนี้มีสภาพที่เก่าและทรุดโทรม ราคาบ้านที่นี่จึงค่อนข้างต่ำ ส่วนใหญ่แรงงานข้ามชาติในบริเวณใกล้เคียงจะมาเช่าบ้านที่นี่ ส่งผลให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาที่นี่เป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังมีร้านเสริมสวย ร้านอาหาร ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด และแผงขายผลไม้มากมายบนถนนในบริเวณใกล้เคียง

และแล้วฟางชิวก็ได้มาถึงอาคารแห่งหนึ่ง

ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของสำนักงานนักสืบ จากนั้นเขาก็ก้าวเข้าไปในอาคาร

“ตึกสามชั้นสาม” อาจเป็นเพราะมันเป็นอาคารเก่า ก็เลยไม่มีลิฟต์ภายในอาคาร บันไดก็แคบมาก เป็นเหตุให้คนที่เข้ามารู้สึกอึดอัด

“ทำไมสำนักงานนักสืบถึงมาเปิดที่นี่กันนะ” ฟางชิวพึมพำกับตัวเอง ขณะที่กำลังเดินขึ้นบันได

สำนักงานนักสืบที่สามารถหาเจอได้บนอินเทอร์เน็ต แล้วได้รับรีวิวดี ๆ ย่อมต้องมีงานเข้ามาเรื่อย ๆ กำไรก็ต้องมีอยู่มาก

แต่ที่นี่ดูไม่ค่อยจะสามารถทำเงินได้เลย

แม้ว่าฟางชิวจะไม่ทราบสาเหตุ แต่ในไม่ช้าเขาก็เลิกพยายามหาคำตอบ เพราะเขามาถึงที่นี่แล้ว พิสูจน์ด้วยตาตนเองก็คงดีกว่า

ตอนที่ฟางชิวเดินมาถึงชั้นสาม เขาก็เห็นตัวอักษรสองตัวที่เขียนด้วยสีแดงสดบนผนังว่า ‘ต้าหยิน’

ตัวอักษรทั้งสองตัวนี้ดูโย้เย้เล็กน้อย ราวกับว่าคนเขียนไม่ได้ใช้แม่พิมพ์ตอนเขียนตัวอักษร

เพราะใช้สีมากเกินไป สีก็เลยไหลลงมาเป็นทางทำให้ผนังสีขาวแลดูน่ากลัว ราวกับตัวอักษรเหล่านี้ถูกเขียนด้วยเลือดเหมือนอย่างในภาพยนตร์สยองขวัญ หากมองถัดจากตัวอักษรไปก็จะพบลูกศรชี้ไปทางซ้าย

ฟางชิวเดินตรงไปยังตำแหน่งที่ลูกศรชี้ไปอย่างไม่ลังเล เขาเดินไปกี่ก้าวก็เห็นประตูบานหนึ่ง

มีป้ายชื่อถูกแขวนอยู่ที่ประตู เขียนเอาไว้ว่า ‘สำนักงานนักสืบต้าหยิน’

ก๊อก! ก๊อก!

ฟางชิวเคาะประตู

แอ๊ด…

จู่ ๆ ประตูก็เปิดออกเองด้วยเสียงอันแผ่วเบา ฟางชิวจึงก้าวเข้าไปในห้อง แล้วเขาก็พบว่าตรงหน้าโล่งมาก ไม่มีผ้าม่านหรือโซฟาอยู่ในห้องเลย แต่เมื่อมองเข้าไปก็เห็นว่ามีโต๊ะโบราณกับเก้าอี้ตั้งอยู่

มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาสวมชุดทันสมัย หูฟังที่ใส่อยู่ก็ดูทันสมัยเช่นกัน

“นายเป็นนักสืบเหรอ” ฟางชิวขมวดคิ้วแล้วถามออกไป เมื่อมองดูการตกแต่งที่ไม่เข้ากันภายในห้องแล้ว เขาก็รู้สึกสับสน เริ่มหมดความเชื่อถือสำนักงานแห่งนี้ขึ้นมา

เมื่อได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ก็เหลือบมองฟางชิวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แอบคิดกับตัวเองว่า มีเหยื่อหลงเข้ามาอีกรายแล้ว

“นั่งลงก่อนสิ” นักสืบหนุ่มถอดหูฟังแล้วบอกให้ฟางชิวนั่งลง

ฟางชิวนั่งลงโดยไม่ลังเล

“มีอะไรให้ฉันช่วยไหม” นักสือบหนุ่มยืดตัวขึ้นแล้วถามฟางชิว ระหว่างนั้นก็จ้องฟางชิวอย่างพิจารณาไปด้วย

“ฉันอยากให้นายตรวจสอบคน ๆ หนึ่ง เอาตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้เลย” ฟางชิวกล่าว

นี่มันงานใหญ่!

นักสืบหนุ่มรีบเอื้อมมือไปดันกระดาษกับปากกาบนโต๊ะให้ฟางชิวทันที

“กรุณาเขียนชื่อกับข้อมูลอื่น ๆ ด้วยครับ”

ฟางชิวหยิบปากกาขึ้นมา เขียนชื่อคนคนหนึ่งลงไป นั่นคือเว่ยตงที่อาศัยอยู่ใต้สะพานกว่างหมิงทางตะวันตกของเมือง

ใช่แล้ว ชื่อที่ฟางชิวเพิ่งเขียนลงไปนั้น เป็นชื่อของคนไข้รายสุดท้ายที่เขาเพิ่งรักษาไป

ฟางชิวเห็นชื่อของคนไข้ในใบลงทะเบียนจึงจำข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดเอาไว้

เมื่อชายหนุ่มเขียนเสร็จแล้ว เขาก็เลื่อนกระดาษกลับไปให้นักสืบหนุ่ม

นักสืบหนุ่มเหลือบมองอย่างรวดเร็วแล้วขมวดคิ้วทันที เพราะเมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ฟางชิวเพิ่งเขียนลงไป เว่ยตงคนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นคนจรจัด

สำหรับเขาแล้ว การตรวจสอบคนจรจัดนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่เพราะมันง่ายเกินไปเนี่ยแหละ เขาก็เลยรู้สึกสับสนนิดหน่อย

“นายต้องการตรวจสอบอะไรกันแน่” นักสืบหนุ่มถามอีกครั้ง เขาไม่ได้ถามความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับเป้าหมายว่าเป็นอะไรกัน แม้ว่าเขาจะสงสัย แต่เพราะเขาเป็นมืออาชีพ เรื่องบางอย่างเขาก็ไม่สามารถถามได้

แม้ว่าเขาจะจำเป็นต้องตรวจสอบมด เขาก็จะทำทันทีตราบเท่าใดที่เขาได้รับค่าจ้าง

แล้วสิ่งที่แย่ที่สุดที่เขาจะทำก็คือ การสงสัยถึงความคิดของลูกค้า

“ก็ข้อมูลพฤติกรรมทั้งหมดของชายคนนี้ตั้งแต่เกิดจนถึงวันที่นายจะแจ้งผลให้ฉันทราบ” ฟางชิวกล่าวอีกครั้ง

“สามหมื่นหยวน” ชายหนุ่มบอกราคากับฟางชิวอย่างตรงไปตรงมาและพูดว่า “สองหมื่นสำหรับค่ามัดจำ ส่วนที่เหลือค่อยจ่ายให้ฉันตอนที่นายได้รับข้อมูลแล้ว” จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมว่า “ถ้านายคิดว่ามันแพงเกินไป นายก็ลองคิดดูว่ามันจะยากขนาดไหนในการรวบรวมข้อมูลมากมายขนาดนี้”

ฟางชิวพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะจำนวนค่าจ้างมันก็ใกล้เคียงกับที่เขาคาดเอาไว้

“แล้วจะใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะได้ข้อมูลทั้งหมด” ฟางชิวถาม

“สิบวัน” ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบออกมา

ปึก!

ฟางชิวหยิบเงินออกมาสามหมื่นหยวนจากห้าหมื่นหยวนที่เขาเพิ่งถอนออกมาจากธนาคาร ชายหนุ่มวางเงินลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เขียนหมายเลขโทรศัพท์ลงบนกระดาษ

“อีกสิบวันฉันจะกลับมาใหม่” หลังจากพูดจบประโยค ฟางชิวก็ลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมจะจากไป

นักสืบหนุ่มรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ฟางชิวเพิ่งทำทันที

แม่งเอ๊ย!

ลูกค้าคนนี้เป็นทายาทเศรษฐีเหรอวะเนี่ย?

เขารวยขนาดนี้เลยเรอะ?

นักสืบอึ้งจนตัวแข็งทื่อ!

“เดี๋ยวก่อน” ชายหนุ่มหยุดฟางชิวไว้แล้วถามว่า “พวกเราไม่ต้องเซ็นสัญญาอะไรเลยเหรอ? ฉันอาจจะเอาเงินของนายแล้วหนีไป หรือไม่ก็ปฏิเสธข้อตกลงทั้งหมดก็ได้”

“นายกล้าทำอย่างนั้นด้วยเหรอ?” ฟางชิวหยุดเดิน เขาหันกลับไปมองนับสืบหนุ่ม จากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า “อีกอย่างหนึ่ง ยังไงซะนายก็หนีฉันไม่พ้นอยู่ดี!”

คำพูดข่มขู่ของฟางชิวทำให้นักสืบหนุ่มตกใจมาก

หลังจากที่ฟางชิวจากไปแล้ว นักสืบหนุ่มก็ตระหนักได้

“บัดซบ เมื่อกี้ฉันเพิ่งถูกคนรวยหน้าโง่ข่มขู่!” เขาพูดพลางส่ายหัว

ยอมรับว่าเขาแอบกลัวฟางชิวขึ้นมานิด ๆ

“เขาโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้เจอกับผู้ชายทำงานเก่งชื่อเสียงโด่งดังอย่างฉัน ไม่อย่างนั้นคงเสียเงินก้อนใหญ่เพราะเลินเล่อไปแล้ว!” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองแล้ววางเงินลง

โง่หรือเปล่า ไม่เซ็นสัญญาเนี่ยนะ?

แต่แน่นอนว่าไม่หรอก

ตั้งแต่วินาทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง ฟางชิวก็รู้ทันทีว่าชายหนุ่มที่เป็นนักสืบเป็นผู้ฝึกยุทธ์

ถ้านักสืบเป็นผู้ฝึกยุทธ์จริง ๆ แสดงว่านักสืบคนนั้นจะต้องมีทักษะอะไรบางอย่างแน่นอน

แต่ถ้าผู้ฝึกยุทธ์ต้องการที่จะหนีไปพร้อมกับเงินของเขาก็คงสนุก!

ฟางชิวออกจากสำนักงานนักสืบแล้วนั่งแท็กซี่กลับมหาวิทยาลัย

เหตุผลที่เขาพยายามอย่างยิ่งยวดในการหาสำนักงานนักสืบเพื่อตรวจสอบเว่ยตงนั้น ก็เพื่อค้นหาว่าสิ่งที่เว่ยตงพูดในตอนที่เขากำลังรักษานั้นเป็นความจริงหรือไม่

หากเป็นเรื่องจริง เงินในบัญชีของฟางชิวก็จะสามารถนำไปใช้ในทางที่เหมาะสมได้

สามหมื่นหยวนถือว่าเป็นเงินจำนวนมาก แต่ถ้าเอาไปบริจาคทั้งหมดก็ถือว่าคุ้มค่า

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน