บทที่ 140 เดิมพันห้าสิบหยวน!
บทที่ 140 เดิมพันห้าสิบหยวน!
ฟางชิวที่กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจก็อดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้
ตอนแรกฟางชิวคิดว่าการปล่อยหมัดแบบสบาย ๆ จะได้ไม่เท่าไร แต่ไม่คิดว่าจะได้รับผลลัพธ์ขนาดนี้ด้วยการชกเบา ๆ เท่านั้น
ถ้าฟางชิวรู้ว่าหมัดของเขามีพลังมากขนาดนี้ เขาก็คงจะออมแรงไว้ให้มากกว่านี้
ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย เขาหันกลับไปโบกมือทักทายฝูงชนแล้วหายเข้าไปในคฤหาสน์ทันที
เหอเกาหมิงจ้องมองไปที่แผ่นหลังของฟางชิวด้วยความตะลึง ก่อนจะรีบเดินตามเข้าไปในคฤหาสน์
เมื่อเข้ามาในคฤหาสน์แล้ว ดวงตาของฟางชิวก็เบิกกว้าง
เพราะนอกประตูคฤหาสน์เป็นชานเมืองที่ดูธรรมดา ๆ แต่ภายในเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ภายในคฤหาสน์สไตล์เจียงหนานโบราณนี้มีศาลาตั้งเรียงราย ที่พื้นเป็นดอกไม้นานาพันธุ์ มีพวกนก ปลา และแมลงอยู่ทุกหนทุกแห่งด้วย มองแล้วเป็นภาพที่ดูสวยงามมาก
มีต้นไม้มากมายอยู่ไม่ไกลจากศาลา ส่วนทางเดินปูด้วยหินกรวด มันคดเคี้ยวไปตามแม่น้ำสายเล็ก ๆ สวยงามราวกับภาพวาด
ฟางชิวก้าวเดินไปทีละก้าว ไม่นานนัก สระน้ำขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า น้ำในสระใสสะอาดมาก มองแล้วรู้สึกเย็นสบาย
เหนือสระน้ำขึ้นไปมีสวนทั้งหมดสี่โซน ทางเดินหินกรวดนี้เชื่อมต่อกับใจกลางของสวนที่ล้อมรอบไปด้วยแปลงดอกไม้ ศาลา และหินประดับ
ที่ใจกลางสวนมีเวทีตั้งอยู่ รอบเวทีมีโต๊ะกลมวางเอาไว้หลายตัว โต๊ะมีผลไม้กับเครื่องดื่มทุกชนิดเตรียมไว้ให้แขกทุกคนรับประทานฟรี
ตรงโต๊ะกลมเหล่านั้นมีหลายคนจับจองที่นั่งรอชมการแข่งขัน
ในขณะที่กำลังชื่นชมทัศนียภาพโดยรอบ ฟางชิวก็เดินมาถึงหน้าเวที เขาหาที่นั่ง นั่งลงรอการแข่งขันอย่างเงียบ ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนเข้ามานั่งเพิ่ม แต่ก็มาเพิ่มไม่กี่คน
สิบนาทีต่อมา ที่นั่งก็ถูกผู้คนจับจองจนเต็ม
ในเวลาเดียวกัน สวนที่อยู่ใต้แสงจันทร์ก็สว่างไสวขึ้น จากนั้นพิธีกรสาวสวยรูปร่างดีสวมชุดกี่เพ้าแบบดั้งเดิมก็เดินขึ้นไปบนเวทีอย่างเชื่องช้า
“สวัสดีตอนเย็นค่ะ ผู้ฝึกยุทธ์ทุกท่าน!” พิธีกรสาวสวยทักทายทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะกล่าวต่อ “ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่การแข่งขันต่อสู้ ในคืนนี้พวกเราจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันด้วยกำลังเท่านั้น คืนนี้เป็นนัดแรกของผู้ฝึกยุทธ์สองคนนี้ค่ะ”
“คนแรกคือ จินอี้หาน อายุสามสิบห้าปี สถิติการชกสิบสามครั้ง ชนะสิบครั้ง เสมอหนึ่งครั้ง แพ้สองครั้ง”
“หลังจากการต่อสู้สิบสามครั้ง จินอี้หานก็ยังคงฝึกฝนทักษะของเขาอย่างต่อเนื่อง และฉันก็เชื่อว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับแนวหน้าในไม่ช้า”
“ต่อจากนี้ ขอต้อนรับจินอี้หานขึ้นมาบนเวทีค่ะ”
หลังจากที่พิธีกรกล่าวแนะนำผู้เข้าแข่งขันแล้ว ชายหนุ่มผู้สวมชุดออกกำลังกายสีขาวก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีอย่างช้า ๆ เขามีใบหน้าเหลี่ยม ตาตี่ ผิวคล้ำ ดูแข็งแกร่งและเคร่งขรึม
เมื่อจินอี้หานขึ้นเวทีแล้ว พิธีกรก็ยิ้มแล้วพูดต่อว่า
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอแนะนำท่านต่อไปที่จะประลองฝีมือกันในวันนี้เลยนะคะ”
“ว่านชูเฉวียน อายุสี่สิบห้าปี”
“สถิติการชกศูนย์”
“นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าร่วมการต่อสู้ แต่ก็ได้ประมือกับจินอี้หานซะแล้ว ผลลัพธ์ในคืนนี้จะเป็นยังไงกันนะ?” พูดมาถึงประโยคนี้ เธอก็หยุดชั่วคราว จากนั้นก็หันไปมองที่ทางด้านขวาแล้วพูดว่า “ขอต้อนรับว่านชูเฉวียน”
หลังจากที่เธอพูดจบ ชายวัยกลางคนก็เดินขึ้นไปบนเวที
ชายคนนี้มีผมยาวหวีเรียบแปล้ไปด้านหลัง มีหนวดเล็กน้อยเหนือริมฝีปากบน ถึงจะมีใบหน้าเล็ก แต่ก็ให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขาม
ในขณะเดียวกัน ฝูงชนรอบเวทีก็ต่างจับจ้องไปที่ว่านชูเฉวียน
ทุกคนรู้ถึงการมีตัวตนของว่านชูเฉวียนในวงการศิลปะการต่อสู้ แต่ไม่มีใครเคยเห็นเขาต่อสู้มาก่อนเลย ความแข็งแกร่งของเขาจึงเป็นปริศนาสำหรับทุกคน
ดังนั้นทุกคนจึงตั้งหน้าตั้งตารอชมการประลองฝีมือในครั้งนี้
เมื่อทั้งสองฝ่ายขึ้นเวทีแล้ว พิธีกรก็คลี่ยิ้มออกมาแล้วพูดกับพวกเขาว่า “ถึงที่นี่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันด้วยกำลัง แต่พวกเราก็ควรให้ความสนใจจริยธรรมของศิลปะการต่อสู้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ การทำร้ายคนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ฉะนั้น โปรดอย่าทำร้ายคู่ต่อสู้จนถึงแก่ชีวิต”
ชายทั้งสองคนบนเวทีพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“อีกอย่างหนึ่ง โอกาสในการต่อสู้จริง ๆ หายากมาก หากแขกคนใดต้องการจะขึ้นเวทีมาประลอง อย่าลืมลงทะเบียนด้วยนะคะ” พิธีกรกล่าวไปยิ้มไป
เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ผู้คนรอบเวทีที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะบางคนที่เพิ่งมาถึงก็เริ่มครุ่นคิดเรื่องลงทะเบียน
เพราะนี่คือโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่ยุคของศิลปะการต่อสู้ แม้ว่าคุณจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม มันก็ยากที่จะหาคู่ต่อสู้ด้วย
ถ้าพวกเขาสามารถใช้โอกาสนี้เอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งหลาย ไม่เพียงแต่จะได้รับประสบการณ์การต่อสู้จริงเท่านั้น แต่ยังได้รับชื่อเสียงอีกด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาอาจได้เรียนรู้และตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง หรืออาจจะก้าวหน้าครั้งใหญ่ระหว่างการต่อสู้ก็ได้
“เอาล่ะ ฉันพูดมามากพอแล้ว!” พิธีกรกวาดสายตาและมองดูฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ เวทีแล้วพูดว่า “ภายใต้แสงจันทร์ที่สว่างไสวขนาดนี้ แค่เฝ้าดูการประลองอย่างเดียวมันจะไม่น่าเบื่อหรอกเหรอ?”
“การประลองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว วางเดิมพันได้เลยค่ะ!”
เมื่อพิธีกรพูดจบประโยค บริกรหญิงสี่คนในชุดกี่เพ้าสีแดงก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่ละคนถือถาดเอาไว้ในมือ เดินไปที่โต๊ะเพื่อรับเงินเดิมพัน
คนที่นี่ไม่ได้ไม่รู้อะไรเลย ถ้าต้องการกิน ดื่ม และดูการประลองที่นี่ก็ต้องเสียเงิน ผู้คนจำนวนมากเริ่มกรอกใบเดิมพันทันที
เมื่อพวกเขากรอกใบเดิมพันเสร็จก็จ่ายเงิน ณ เดี๋ยวนั้นเลย
เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่ฟางชิวมาที่นี่ เขาจึงไม่รู้ว่าเขาควรจะวางเดิมพันหรือไม่ ดังนั้น เขาก็เลยมองไปรอบ ๆ แทน จากนั้นเขาก็พบว่าผู้คนจำนวนมากวางเดิมพันที่ฝั่งจินอี้หาน
ในขณะเดียวกัน บริกรหญิงก็เดินมาที่ฟางชิว
“นี่ค่ะ ใบเดิมพันของคุณ โปรดวางเดิมพันด้วยค่ะ” บริกรหญิงยื่นใบเดิมพันให้ฟางชิวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“ไม่ลงได้ไหมครับ?” ฟางชิวคว้าโอกาสนี้ถาม
หลังจากได้ยินสิ่งที่ฟางชิวพูด ทุกคนในงานก็ตกตะลึง ก่อนจะหันไปมองไปที่ฟางชิวด้วยสีหน้าแปลก ๆ
บริกรหญิงที่ถือถาดก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับคนที่ไม่ต้องการเดิมพัน
อยู่ในสถานที่แบบนี้แล้ว ทำไมเขาถึงถามคำถามแบบนั้นอีก?
ทันใดนั้น
“นี่…” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกับฟางชิวพูดกับบริกรอย่างใจเย็นว่า “คุณอย่าคิดมากกับเขาเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่ เขาไม่รู้กฎ”
ได้ยินดังนั้นแล้ว บริกรหญิงก็พยักหน้าเข้าใจ
หากนี่เป็นครั้งแรกที่ชายสวมหน้ากากมาที่นี่ก็ไม่เป็นไร
จากนั้น ชายวัยกลางคนก็หันมาพูดกับฟางชิวว่า “น้องชาย ไม่มีอาหารฟรีในโลกนี้หรอก นี่คือการประลองการสู้ ตราบใดที่เธอเข้ามาที่นี่ เธอต้องวางเดิมพัน เพราะนี่เป็นกฎ”
ฟางชิวพยักหน้าด้วยความเข้าใจ เพราะมีกฎแบบนี้นี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่ผลไม้กับเครื่องดื่มทั้งหมดจะฟรี
ถ้านี่เป็นกฎ ฟางชิวก็ต้องปฏิบัติตาม เขาเลยหยิบเงินห้าสิบหยวนออกมาจากกระเป๋า
“ผมเดิมพันว่านชูเฉวียน” ฟางชิววางเงินบนถาดของบริกรหญิงแล้วเขียนจำนวนเงินลงบนใบเดิมพัน
ห่างออกไป ผู้ฝึกยุทธ์ที่นั่งอยู่รอบ ๆ ก็ตกตะลึงอีกครั้งเมื่อเห็นฟางชิววางเงินห้าสิบหยวนลงบนถาด จากนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เพราะมันน่าขายหน้าแทนผู้ฝึกยุทธ์จริง ๆ
แค่ห้าสิบหยวน? ไม่พอสำหรับค่าผลไม้กับค่าเครื่องดื่มของที่นี่ด้วยซ้ำ
จำนวนเงินที่คนอื่นจ่ายน้อยที่สุดคือสามหลัก มากที่สุดก็คือห้าหลัก
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นคนวางเงินเดิมพันแค่ห้าสิบหยวน
แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้
เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ บริกรหญิงก็ตกตะลึงอีกครั้งเช่นกัน เธอมองดูเงินบนถาดด้วยความมึนงง แต่คราวนี้เธอไม่พูดอะไรออกมา หญิงสาวทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่เดียว จากนั้นก็เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม
ทันทีที่บริกรสาวออกไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนก็ขยับเข้าใกล้ฟางชิวพร้อมกับบรรยายให้มือใหม่อย่างฟางชิวฟัง
“น้องชาย เธอคิดยังไงกับที่นี่? บริการเป็นอย่างไร” ชายวัยกลางคนถาม
“ไม่เลวเลยครับ” ฟางชิวตอบตามความคิดของเขา
“ใช่ไหมล่ะ” ชายวัยกลางคนส่ายหัวแล้วหัวเราะเบา ๆ “จุดชมวิวข้างนอกที่แย่กว่าที่นี้ยังคิดเงินเลย มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้ามาที่นี่ฟรี ๆ ใช่ไหม? ดังนั้นเธอต้องวางเดิมพัน ไม่ใช่แค่เพื่อการพนันเท่านั้น แต่เพื่อซื้อตั๋วของสถานที่นี้ หากเธอวางเดิมพันชนะก็ดีไป แต่ถึงแม้ว่าเธอจะแพ้ มันก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”
“เพราะหลังจากที่หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยหุ้นส่วนของที่นี่แล้ว เงินที่เหลือจะแบ่งให้กับผู้ต่อสู้ทั้งสองคน ผู้ชนะรับไป 70% ผู้แพ้รับไป 30% เจ้าของสถานที่แห่งนี้จะไม่ได้เก็บเงินไว้เอง”
“ตราบเท่าที่เธอลงทะเบียนขึ้นประลองฝีมือ เธอก็จะได้รับเงินไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง และเธอก็สามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ได้ มันก็เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของเธอนั่นแหละ”
“เหตุผลที่เจ้าของสถานที่นี้จัดการประลองฝีมือครั้งนี้ขึ้นมา ก็เพื่อต้องการให้ทุกคนมาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน แล้วก็เพื่อสร้างมิตรภาพผ่านศิลปะการต่อสู้ยังไงล่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟางชิวก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันไม่ใช่การพนัน!
ที่สำคัญคือ เจ้าของสถานที่แห่งนี้ใจดีมาก ทำให้ฟางชิวคิดว่า เงินห้าสิบหยวนที่เขาวางเดิมพันไปเมื่อครู่นี้จะน้อยเกินไปด้วยซ้ำ
“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาที่นี่ ผมไม่รู้กฎ ขออภัยด้วย!” ฟางชิวตอบพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ ออกมา จากนั้นเขาก็พูดว่า “ไม่มีใครบอกผมก่อนจะมา ถ้ามีคนบอกสักหน่อยก็คงไม่ทำเรื่องขายหน้าแบบนี้”
“ฮ่า ๆ ตอนนี้เธอเข้าใจก็พอแล้ว วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล บางทีฉันอาจได้เห็นเธออยู่บนสังเวียน” ชายวัยกลางคนหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะตารางงานที่บริษัทของฉันยุ่งมาก บวกกับสุขภาพที่ไม่ดีของฉัน ฉันก็คงลงทะเบียนไปแล้ว”
“ใครเป็นเจ้าของที่นี่ครับ?” ฟางชิวหัวเราะตามพลางถามด้วยความสงสัย
“ผู้อาวุโสอี้” ชายวัยกลางคนตอบ
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เจ้าของร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวของฟางชิว
ผู้อาวุโสอี้?
คนที่ซื้อพุทราวิญญาณแดงจากเขาไปน่ะหรือ?
เป็นผู้อาวุโสคนนั้นนี่เอง!
อีกด้านหนึ่ง การเดิมพันก็ได้สิ้นสุดลง การประลองจึงเริ่มขึ้น
บนเวที ชายทั้งสองคนกำลังชูกำปั้นเพื่อแสดงความเคารพ จากนั้นการประลองก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
การต่อสู้ดูรุนแรงมาก แต่จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรให้ดูมากนัก เนื่องจากพวกเขาทั้งสองคนเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ทั่ว ๆ ไป
แม้ว่าจะมีช่องว่างด้านความแข็งแกร่งระหว่างพวกเขา แต่มันก็ไม่ได้กว้างมากนัก
นอกจากนี้นี่เป็นแค่การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การต่อสู้กันเท่านั้น ก็เลยไม่มีอะไรที่รุนแรงเกินไป แม้ว่าทั้งสองคนจะต่อยและเตะกัน แต่ก็ไม่มีบรรยากาศการฆ่าฟันเหมือนการต่อสู้จริง ๆ
“ดี! ดีมาก…”
“สองคนนั้นเก่งมาก! จะขึ้นไปประลองบนเวทีได้ก็ต้องมีความสามารถแบบนี้แหละ!”
“ใช่แล้ว สองคนนี้ฝีมือเยี่ยมยอด!”
“ฉันว่าจินอี้หานกำลังจะชนะ คืนนี้พวกเราน่าจะได้เงินกันนะ!”
“ว่านชูเฉวียนก็ไม่เลวเลย ครั้งแรกแท้ ๆ แต่ต่อสู้กับจินอี้หานได้นานขนาดนี้ ประทับใจความแข็งแกร่งจริง ๆ”
เหล่าผู้ชมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไปจิบชาไป ฟางชิวก็จ้องมองทั้งสองคนบนเวทีเช่นกัน
‘เขากำลังจะโต้กลับแล้ว’
เมื่อเห็นว่านชูเฉวียนถูกต้อนไปที่ขอบเวที ฟางชิวก็คาดเดาในใจ
และก็เป็นอย่างที่ฟางชิวคาดไว้ ในขณะที่ทุกคนคิดว่าว่านชูเฉวียนกำลังจะพ่ายแพ้ จินอี้หานก็เกิดเซกระทันหัน เพราะตอนที่จินอี้หานต้องการชกว่านชูเฉวียนให้กระเด็นออกจากเวที เขาก็ถูกว่านชูเฉวียนกระแทกตัวจนต้องถอยหลังเสียก่อน
ว่านชูเฉวียนออกแรงหมัดและแรงเตะ เป็นเหตุให้ได้เปรียบในการประลองกับจินอี้หานทันที
หลังจากนั้นไม่นาน การประลองก็สิ้นสุดลง
สุดท้ายว่านชูเฉวียนก็เป็นผู้ชนะ!
ผู้ชมการประลองที่อยู่รอบเวทีต่างลุกยืนขึ้นแล้วปรบมือให้กับว่านชูเฉวียน
เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าว่านชูเฉวียนจะชนะ พวกเขาทุกคนจึงรู้สึกประหลาดใจ แต่พอมองไปรอบ ๆ แล้ว พวกเขาก็พบว่าไม่มีใครรู้สึกเสียดายเงินเลย
สำหรับทุกคนตรงนี้แล้ว เดิมพันผิดฝั่งก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไร เพราะท้ายที่สุดแล้ว เงินนั่นก็เป็นค่าตั๋วที่พวกเขาควรจะจ่ายอยู่แล้ว