บทที่ 148 คุณสามารถอยู่ได้ถึงร้อยปีเลย
บทที่ 148 คุณสามารถอยู่ได้ถึงร้อยปีเลย
ได้ยินแล้วฟางชิวก็พูดไม่ออก
บอกเขาทำไมเนี่ย…
ไม่นานรถก็เลี้ยวเข้าไปในพื้นที่แออัด
พื้นที่แออัดนี้เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยบ้านไม้เก่า ๆ พื้นที่ก่อสร้างต่อหลังมีขนาดเล็ก โครงสร้างบ้านไม่สมบูรณ์ การจราจรไม่สะดวก ไม่มีการรักษาความปลอดภัยและอันตรายจากอัคคีภัย สภาพแวดล้อมแลดูสกปรกและวุ่นวาย
สถานที่นี้คล้ายกับสลัมในประเทศกำลังพัฒนา เช่น บราซิลกับอินเดีย
เมื่อเดินทางมาถึง ฟางชิวก็รู้สึกประหลาดใจมาก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีพื้นที่แออัดอย่างนี้ในเมืองเจียงจิงด้วย
แม้ว่าการจราจรจะไม่สะดวก แต่สวีเมี่ยวหลินก็คุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี เขาขับรถเข้าไปในลานกว้างที่ดูเหมือนเป็นสถานที่ทิ้งขยะ
พอไปถึง เด็กกลุ่มใหญ่ก็เข้ามาล้อมรอบรถพวกเขาทันที
“หมอสวี หมอสวี…” เด็ก ๆ กระโดดไปมาพร้อมกับตะโกนอย่างมีความสุขที่ได้เจอกับสวีเมี่ยวหลิน
เมื่อมองไปที่เด็กเหล่านี้ สวีเมี่ยวหลินก็ยิ้มออกมา เขาลงจากรถแล้วเดินไปด้านหลังรถพร้อมกับเด็ก ๆ ที่ยืนล้อมรอบตัวเขา
เขาเปิดท้ายรถเพื่อหยิบกระเป๋าใบใหญ่ออกมา ในกระเป๋าใบนั้นมีของเล่นทุกประเภท อย่างเช่นตุ๊กตาและรถของเล่น
สวีเมี่ยวหลินเปิดกระเป๋าด้วยรอยยิ้มแล้วแจกของเล่นให้เด็กแต่ละคน
เด็กเหล่านี้แตกต่างกับเด็กทั่วไปในเมือง เพราะพวกเขาจะไม่ร้องขอของเล่นอะไรเป็นพิเศษ แค่มีของเล่นชิ้นเดียวในมือ พวกเขาก็จะไม่ร้องไห้แม้ว่าของเล่นชิ้นนั้นจะไม่ใช่ของโปรดก็ตาม จากนั้น พวกเขาก็จะแบ่งปันของเล่นให้กันและกัน
เมื่อฟางชิวลงจากรถ เขาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในหัวใจตอนที่ได้มองดูใบหน้าที่มีความสุขของเด็ก ๆ กับของเล่นในมือ
“ขอบคุณครับหมอสวี!”
“ขอบคุณครับหมอสวี!”
หลังจากที่ได้รับของเล่นแล้ว เด็ก ๆ ก็ยังคงรักษากิริยาสุภาพเอาไว้ได้ พวกเขายิ้มเขิน ๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณสวีเมี่ยวหลิน
สวีเมี่ยวหลินก็เหมือนกับเด็ก ๆ เขายิ้มออกมาอย่างมีความสุขเช่นกัน
“นี่คือเขตสลัมของเมืองเจียงจิง” สวีเมี่ยวหลินที่กำลังมองดูเด็ก ๆ กล่าว “ที่นี่เป็นสถานที่ที่ฉันอาสาดูแลอยู่”
ได้ยินอย่างนั้น ฟางชิวก็เปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังมากขึ้น
สวีเมี่ยวหลินหันไปชี้ที่กระสอบสองสามถุงที่ท้ายรถแล้วพูดว่า “แบกคนละกระสอบ ไหวไหม”
“ผมทำคนเดียวได้” ฟางชิวกล่าว
“หืม?” สวีเมี่ยวหลินผงะทันทีที่ได้ยินฟางชิวบอกอย่างนั้น
ฟางชิวเอื้อมมือไปหยิบกระสอบข้าวด้วยมือข้างเดียว เหวี่ยงมันไปบนไหล่แล้วหยิบอีกกระสอบขึ้นมา
“แข็งแกร่งมาก!” สวีเมี่ยวหลินมองไปที่ฟางชิวด้วยความประหลาดใจแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ไปเยี่ยมคนแก่กับฉัน”
พูดจบ ทั้งคู่ก็เดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยโคลน
สองข้างทางมีบ้านเรือนปลูกสร้างตามอำเภอใจ มีเตาทำเองแบบง่าย ๆ อยู่หน้าบ้านเกือบทุกหลัง
บ้างกำลังก่อไฟทำอาหาร บ้างกำลังผ่าฟืน
สวีเมี่ยวหลินและฟางชิวเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงดังขึ้น
“หมอสวี มาแล้วเหรอ” ชายวัยกลางคนที่ผอมจนเห็นกระดูกกล่าวทักทายสวีเมี่ยวหลินอย่างมีความสุข
“ครับ” สวีเมี่ยวหลินตอบด้วยรอยยิ้ม
“ฉันจะเรียกตอนอาหารพร้อมนะ!” ชายวัยกลางคนกล่าว
“ฮ่า ๆ ขอบคุณครับ!” สวีเมี่ยวหลินเอ่ย “ผมเพิ่งกินข้าวอิ่มมา ตอนนี้ต้องรีบไปตรวจโรคแล้วล่ะ!”
“ไม่เป็นไร คุณกินอีกรอบก็ได้!” ชายวัยกลางคนกล่าวเชิญอีกครั้งอย่างอบอุ่น แต่สวีเมี่ยวหลินก็ปฏิเสธอีกครั้งด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
คนเหล่านี้ไม่ค่อยได้กินอิ่ม แล้วสวีเมี่ยวหลินจะฝืนกินข้าวพวกเขาได้อย่างไร
ระหว่างทางหลายคนก็หยุดงานในมือแล้วเอ่ยทักทายสวีเมี่ยวหลินด้วยรอยยิ้ม ทุกคนต่างเรียกเขาว่าหมอสวี แล้วเขาก็จะพูดคุยกับชาวบ้านด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
สิบนาทีต่อมา
ฟางชิวก็มาถึงที่เพิงหลังหนึ่งตามการนำทางของสวีเมี่ยวหลิน
เขามองไม่ผิด มันเป็นเพิง ไม่สามารถนับว่าเป็นบ้านได้ด้วยซ้ำ เพราะเพิงหลังนี้ไม่มีผนัง มีแต่ผ้าใบขาดรุ่งริ่งที่ขึงกับเสาไม้ไผ่แทน หากมองไปรอบ ๆ ก็จะพบว่าผ้าใบเหล่านี้เต็มไปด้วยรู
ด้านบนมีโครงไม้สร้างไว้ยึดผ้าใบ และยังมีไม้กระดานอีกสองสามแผ่นที่ใช้สำหรับกดทับผ้าใบเอาไว้ไม่ให้ปลิวไปตามลม
เมื่อมองเข้าไปในเพิงอีกครั้งก็จะพบว่า มีผ้าปูที่นอนขาด ๆ สองสามผืนถูกปูอยู่บนฟูก เตียงไม้ก็มีขนาดเล็ก คลุมด้วยผ้าห่มที่เป็นผ้าฝ้าย ไม่มีผ้านวมเลยสักผืน
ตรงกลางเพิงมีกองไฟกับกาน้ำชาสีดำ ตอนนี้ถูกแขวนอยู่เหนือกองไฟ ถัดมาเขาเห็นหญิงชราผมยาวสีขาว สวมหมวกผ้าฝ้ายหนาเตอะกำลังนั่งอยู่หน้ากองไฟ
หากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าหญิงชราคนนี้ผอมมาก แต่เธอกลับใส่เสื้อผ้าหนาเตอะ อาจเป็นเพราะว่าเธอกลัวความหนาวเย็นก็เป็นได้
“หมอสวี คุณมาแล้วเหรอ” หญิงชรายิ้มอย่างมีความสุขเมื่อเห็นสวีเมี่ยวหลินกับฟางชิว
“วันนี้ผมเอาข้าวมาให้คุณสองถุง ต่อจากนี้คุณก็อย่ากินข้าวแค่วันละมื้อ กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะครับ” สวีเมี่ยวหลินเกลี้ยกล่อมด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่สั่งให้ฟางชิววางข้าวลง
หญิงชราค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนด้วยสองขาอันสั่นเทา
“พ่อหนุ่ม เธอแข็งแรงจริง ๆ!” หลังจากที่ฟางชิววางข้าวของลงแล้ว หญิงชราก็กล่าวชื่นชมด้วยรอยยิ้ม “ตอนฉันยังเด็ก ฉันก็แข็งแรงพอ ๆ กับเธอนั่นแหละ แต่ตอนนี้ฉันแก่แล้ว!”
ฟางชิวก้มหัวทักทายหญิงชราด้วยความเคารพ
หญิงชราเดินไปหาสวีเมี่ยวหลิน จับมือเขาเอาไว้ก่อนจะพูดอย่างกังวลว่า “คุณเอาข้าวมาให้ฉันมากมาย ฉันกินคนเดียวไม่หมดหรอก คุณนึกถึงฉันเสมอ แต่ฉัน…”
“อย่ากังวลไปเลยครับ” สวีเมี่ยวหลินลูบมือของหญิงชราแล้วพูดว่า “นี่คือสิ่งที่ผมควรทำ คุณควรดูแลร่างกายของคุณให้ดีต่างหาก”
เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงชราก็พยักหน้าขอบคุณ
“มาเถอะ มาให้ผมตรวจชีพจรของคุณก่อน” สวีเมี่ยวหลินช่วยพยุงให้หญิงชรานั่งลงแล้วเริ่มตรวจชีพจร
สวีเมี่ยวหลินก็ทำทุกอย่างตามความเคยชิน เขาจำไม่ได้ว่าสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมากี่ครั้งแล้ว
หนึ่งนาทีต่อมา
“ไม่มีอะไรร้ายแรงครับ” หลังจากตรวจชีพจรแล้ว สวีเมี่ยวหลินก็พูดกับหญิงชราด้วยรอยยิ้มว่า “ร่างกายของคุณแข็งแรงดี คุณสามารถอยู่ได้ถึงร้อยปีเลย”
“เฮ้อ…” หญิงชรารีบโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่ต้องถึงร้อยปีหรอก มีชีวิตอยู่นาน ๆ ทรมานสังขารตัวเองเปล่า ๆ”
“ไม่ต้องห่วง ชีวิตของคุณจะดีขึ้นแน่นอน” สวีเมี่ยวหลินเอ่ยปลอบโยน
“ก็ได้ ก็ได้” หญิงชราโบกมือและพูดว่า “คุณไปทำงานต่อเถอะ อย่าเสียเวลาที่นี่เลย ทุกคนต้องการคุณ”
“โอเค ถ้างั้นเจอกันครั้งหน้านะครับ” สวีเมี่ยวหลินพยักหน้า จากนั้นก็ยืนขึ้นพร้อมกับพูดว่า “อย่าลืมกินข้าวด้วย”
หญิงชรายิ้มและพยักหน้า
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกจากเพิงไป
“เธอคิดว่าข้าวสองถุงนี้ สำหรับหญิงชราแล้วจะอยู่ได้นานแค่ไหน” ระหว่างทางสวีเมี่ยวหลินก็เอ่ยถามฟางชิว
“ไม่กี่เดือน” ฟางชิวพูดตามความคิดของเขา
“สองสัปดาห์” สวีเมี่ยวหลินส่ายหัวพลางถอนหายใจออกมาอย่างเศร้า ๆ
“หา?” ฟางชิวสับสนในทันทีที่ได้ยิน
“หญิงชราคนนี้ทานอาหารเพียงมื้อเดียวต่อวัน ที่นี่ยากจน เด็ก ๆ หลายคนเลยกินไม่อิ่ม เด็กบางคนเลยมาหาหญิงชราตอนที่พวกเขาหิว แล้วหญิงชราก็จะเอาอาหารของตัวเองไปให้เด็ก ๆ กิน หากไม่มีอาหารสำเร็จรูปก็จะทำอาหารแทน” สวีเมี่ยวหลินอธิบาย
ฟางชิวพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ บรรยากาศระหว่างทางจึงเหลือเพียงความสงบ
แต่เมื่อฟางชิวมองไปที่เด็ก ๆ เหล่านั้นกับผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่แล้ว เขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
โชคดีที่คนเหล่านั้นยังสามารถดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานได้ แต่พวกเขาก็แทบจะเอาชีวิตตัวเองไม่รอด และนั่นก็หมายความว่า ยังมีคนอีกมากมายในโลกนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือ!
ฟางชิวถอนหายใจออกมายาว ๆ แล้วเดินตามสวีเมี่ยวหลินไป
ทั้งคู่คุยไปเดินไป ไม่นานก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกระโจมตั้งอยู่เบื้องหน้าเขา ภายในมีโต๊ะไม้กับเก้าอี้หลายตัวตั้งไว้
กระโจมโล่งประเภทนี้หาพบในเมืองได้น้อยมาก ขนาดของกระโจมก็ไม่ได้ใหญ่มาก ความกว้างประมาณยี่สิบตารางเมตรได้
ตรงกลางของกระโจมมีโต๊ะไม้สีแดงดูคล้ายกับโต๊ะของนักเรียนยากไร้บนภูเขาวางอยู่ พวกมันดูเก่า แต่ก็สะอาดสะอ้าน
“ที่นี่คือที่ไหนครับ?” ฟางชิวถามอย่างสงสัย
มีเพิงอยู่รอบ ๆ ที่นี่ แต่ในกระโจมก็ไม่มีใครอยู่เลย แล้วทำไมถึงได้เอาโต๊ะไม้กับเก้าอี้สองตัวมาวางไว้ที่นี่?
“นี่คือที่ที่ฉันอาสาตรวจโรค” สวีเมี่ยวหลินตอบ จากนั้นเขาก็นั่งลงข้างโต๊ะ จากนั้นหยิบถุงพลาสติกที่มีผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ออกมาจากกระเป๋า
เมื่อมองไปยังการกระทำที่ดูคุ้นเคยของสวีเมี่ยวหลิน ฟางชิวก็หายใจเข้าเบา ๆ
ดูเหมือนว่าสวีเมี่ยวหลินจะเป็นอาสาสมัครที่นี่มานานแล้ว ไม่อย่างนั้นคนที่นี่คงไม่รู้จักเขา
ด้วยการปรากฏตัวของสวีเมี่ยวหลิน ทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเพิงใกล้ ๆ ออกมาต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น บางคนถึงกับบอกให้คนอื่นทราบทันที
ห้านาทีต่อมา
แม้พื้นที่จะไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่มันก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนในทันที
คนเหล่านั้นทักทายสวีเมี่ยวหลินด้วยรอยยิ้ม พวกเขาเริ่มเข้าคิวกันอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ แต่พวกเขาก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ได้วุ่นวายเลยแม้แต่น้อย
“นี่หรือความแตกต่างของชีวิต?” ฟางชิวแอบถอนหายใจออกมา
นี่แหละชีวิต ยิ่งมีมากก็ยิ่งปรารถนามาก ยิ่งมีน้อย ก็จะยิ่งพอใจกับสิ่งที่มีได้ง่ายขึ้น ความเรียบง่ายของผู้คนที่นี่ได้สะท้อนออกมาชัดเจนแล้ว
เมื่อเทียบกับในเมืองแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นโลกสองใบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ภายในกระโจม
สวีเมี่ยวหลินก็เริ่มจัดโต๊ะพร้อมเครื่องมือทางการแพทย์ เขาหยิบผ้าขนหนูออกจากถุงพลาสติก แล้วเช็ดมืออย่างระมัดระวังและพร้อมเริ่มการตรวจโรค
“เธอน่าจะรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบของชีพจรแล้ว อธิบายองค์ประกอบให้ฉันฟังหน่อย” สวีเมี่ยวหลินมองไปที่ฟางชิวแล้วเกริ่นให้ก่อน
“องค์ประกอบของชีพจร คือพื้นฐานในการจับชีพจร ได้แก่ ตำแหน่ง การนับ รูปร่าง และศักยภาพ”
ฟางชิวพยักหน้าและตอบทันที “การระบุสภาวะชีพจรขึ้นอยู่กับความรู้สึกของนิ้วของแต่ละคนเป็นหลัก จะเข้าใจสภาวะชีพจร ความถี่ของชีพจร จังหวะ ตำแหน่งที่ปรากฏ ความยาว และความกว้างของชีพจร ความสมบูรณ์ของหลอดเลือด ระดับความตึงของหลอดเลือด และการไหลเวียนของเลือดที่สม่ำเสมอล้วนมีส่วน แต่ทั้งนี้ก็รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ด้วย องค์ประกอบของชีพจรสามารถเข้าใจได้โดยการทำความเข้าใจลักษณะของชีพจรชีพจรต่าง ๆ”
สวีเมี่ยวหลินพยักหน้าและพูดว่า “พูดต่อไป”
“ประการแรก ตำแหน่งของชีพจร!”
“ตำแหน่งชีพจร หมายถึง ตำแหน่งและความยาวของจังหวะการเต้นของหัวใจ เราจำเป็นต้องสังเกตลักษณะอย่างความลึกและความยาวของมันในการวินิจฉัยทุกครั้ง ตำแหน่งของชีพจรปกติจะอยู่ตรงกลาง ไม่ลอยหรือจม สามารถหาได้ง่ายในตำแหน่งของชุ่น กวน เชอะ*[1] บนข้อมือทั้งสองข้าง ถ้าตำแหน่งชีพจรอยู่ตื้นแสดงว่าเป็นชีพจรลอย ถ้าตำแหน่งชีพจรอยู่ลึกแสดงว่าเป็นชีพจรจม และถ้าชีพจรยาวเกินตำแหน่งของชุ่น กวน เชอะ แสดงว่าเป็นชีพจรยาว ถ้าชีพจรยาวไม่ถึงตำแหน่งของเชอะ แสดงว่าเป็นชีพจรสั้น”
“ประการที่สอง การนับชีพจร!”
“การนับชีพจร เป็นเรื่องของจำนวนและจังหวะการเต้นของชีพจร สำหรับผู้ใหญ่ปกติจะมีความถี่ของชีพจรอยู่ที่เจ็ดสิบหรือเก้าสิบครั้งต่อนาที จังหวะชีพจรควรจะเต้นสม่ำเสมอและไม่มีการหยุด หากชีพจรเต้นมากกว่าห้าครั้งในหนึ่งลมหายใจ ถือว่าชีพจรเต้นเร็ว ถ้าเต้นน้อยกว่าสี่ครั้งในหนึ่งลมหายใจถือว่าเป็นชีพจรเต้นช้า ถ้าชีพจรหยุดเต้น ก็จะเกิดเป็นชีพจรต่าง ๆ ขึ้น เช่น ชีพจรเต้นเร็ว กับชีพจรเต้นช้าที่มีจังหวะหยุดไม่แน่นอน ลักษณะของชีพจรสองแบบนี้ไม่เหมือนกัน และหากชีพจรเต้นผิดจังหวะก็จะเกิดเป็นชีพจรกระจายกับชีพจรฝืด”
“ประการที่สาม รูปร่างของชีพจร!”
“รูปร่างของชีพจร คือ ความกว้างของจังหวะชีพจร ควรสังเกตรูปร่าง ความแข็ง และรูปร่างของชีพจรทุกครั้ง รูปร่างของชีพจรส่วนใหญ่จะสามารถสื่อถึงความสมบูรณ์ของชีพจร รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่นการผันผวนของชีพจร หากชีพจรลอยและกว้างจะแปลว่าชีพจรมีขนาดใหญ่และมีพลัง ถ้าชีพจรเล็ก แปลว่าเลือดลมไม่ดี ถ้าชีพจรไม่ค่อยยืดหยุ่นหรือแข็งทื่อ จะแปลว่าชีพจรตึง และถ้าชีพจรเต้นช้าและเต้นอ่อนจะแปลว่าชีพจรหย่อน”
“ประการที่สี่ ศักยภาพของชีพจร!”
“ศักยภาพของชีพจร หมายถึง ความแรงและความนุ่มนวลของชีพจร ศักยภาพของชีพจรประกอบด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ความแรงในการเต้นของชีพจร ความคล่องตัวของชีพจรส่วนใหญ่ ความสมบูรณ์ของหัวใจมีส่วนอย่างมาก เช่นเดียวกับความตึงเครียดที่เกิดจากความตึงของหลอดเลือด ดังนั้นควรตรวจสอบความแข็งแรงและความคล่องตัวของชีพจรในการวินิจฉัยแต่ละครั้ง ชีพจรปกติควรมีความนุ่มนวลและเต้นแรงปานกลาง ถ้าชีพจรเต้นแรงมากคือชีพจรแกร่ง ชีพจรเต้นช้าเหมือนไม่มีแรงคือชีพจรพร่อง และชีพจรที่ดูเหมือนจะเต้นอย่างราบรื่นก็คือชีพจรลื่น แล้วถ้าชีพจรเต้นไม่ราบรื่น เต้นช้า หรือติด ๆ ขัด ๆ ก็จะเป็นชีพจรฝืด”
หลังจากนั้น ฟางชิวก็หยุดพูด
“เยี่ยมมาก” สวีเมี่ยวหลินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเขาก็ทำหน้าจริงจังแล้วพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม “วันนี้ฉันจะบอกเธอเองว่า สภาวะของชีพจรต่าง ๆ เป็นยังไง!” พูดจบเขาก็เริ่มรักษาผู้ป่วยรายแรกอย่างเป็นทางการ
หลังจากที่ผู้ป่วยรายแรกนั่งลง สวีเมี่ยวหลินก็ตรวจสอบชีพจร เสร็จแล้วก็บอกกับฟางชิวว่า “นี่คือชีพจรลอย จำเอาไว้ให้ดี!”
ได้ยินอย่างนั้น ฟางชิวก็ยื่นมือออกไปสัมผัสชีพจรทันที
[1] ชุ่น กวน เชอะ คือ ตำแหน่งตรวจจับชีพจร อยู่บริเวณข้อมือด้านในทั้งสองข้าง ปกติแล้วจะเริ่มจับชีพจรโดยการวางนิ้วบริเวณที่กระดูกข้อมือนูนขึ้นมา (จุดกวน) นิ้วชี้วางถัดจากนิ้วกลางไปทางปลายนิ้วของคนไข้ (จุดชุ่น) และใช้นิ้วนางวางถัดจากนิ้วกลางไปทางต้นแขน (จุดเชอะ)