บทที่ 184 ปัจจัยสำคัญในการก้าวไปสู่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่ง!
บทที่ 184 ปัจจัยสำคัญในการก้าวไปสู่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่ง!
“ผู้อาวุโสได้โปรดชี้แนะด้วยครับ!!”
บนสังเวียน ชายร่างผอมโค้งคารวะฟางชิว
“เชิญ!”
ชายหนุ่มก็คารวะคู่ต่อสู้เช่นกัน
ชายร่างผอมไม่รีรอ มือทั้งสองง้างขึ้นเป็นกรงเล็บ ก่อนจะกระโดดขึ้นสูงด้วยปลายเท้าและทะยานขึ้นสูงกว่าสามเมตร
พูดแล้วเหมือนช้า แต่จริง ๆ แล้วกลับเร็วไม่น้อย!
ชายร่างผอมที่อยู่กลางอากาศพุ่งหลาลงมาเหมือนนกอินทรี เข้าหาฟางชิวด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
“อินทรีผงาดฟ้า!”
แววตาของฟางชิวสว่างวาบขึ้นโดยพลันพลางเอ่ยในใจ ‘คนผู้นี้เก่งวิชากรงเล็บอินทรี แม้ว่าศิลปะการต่อสู้นี้จะรวดเร็ว ดุดัน และรุนแรง แต่ก็เป็นหนึ่งในทักษะที่ยาก อีกทั้งทุกการเคลื่อนไหวยังมีความยืดหยุ่นอย่างยิ่ง’
เมื่อคิดได้ดังนี้ ชายหนุ่มก็ไร้ความลังเลใด
ทันทีที่ประจันหน้ากัน…
ฝ่ายหนึ่งโจมตี อีกฝ่ายเรียนรู้
แน่นอนว่า…
สิ่งที่ฟางชิวได้เรียนรู้ไม่ใช่แค่กระบวนท่า แต่รวมถึงแก่นแท้ของการเคลื่อนไหวในการโจมตีเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น อินทรีผงาดฟ้านี้ว่ามีจุดพลังอยู่ที่ไหน จุดโจมตีอยู่ที่ใด วิธีที่จะทำให้เกิดความรุนแรงและดุดันทำอย่างไร ตัวอย่างต่อมาคือการเรียนรู้ว่าอินทรีจะสยายปีกในท่าที่สอง รวมไปถึงเรียนรู้วิธีป้องกัน วิธีหลีกเลี่ยงศัตรู เป็นต้น
เป็นความต่อเนื่องที่สำคัญมากขึ้น …เรียกว่าสัมผัสจากประสบการณ์จริง!
วิชากังฟูต่าง ๆ ในแวดวงศิลปะการต่อสู้ถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันจากบรรพบุรุษในสมัยโบราณ
เหตุผลที่การเคลื่อนไหวเหล่านี้เสร็จสมบูรณ์คือการรวมกันของพลังปราณ การรวมกันของอำนาจและการป้องกัน การรุกที่ดุเดือดเพื่อเอาชนะศัตรู หรือการป้องกันที่หนาแน่น
กลเม็ดเหล่านี้ล้วนเป็นหัวใจและจิตวิญญาณของบรรพบุรุษในสมัยโบราณ กลยุทธ์เหล่านี้แสดงถึงประสบการณ์จริงในการต่อสู้กับศัตรู วิธีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในตำแหน่งอันตราย
และสิ่งที่ฟางชิวต้องการคือประสบการณ์เหล่านั้น
ปัง! ปัง! ปัง!
ทั้งสองคนที่อยู่บนสังเวียนกำลังแลกระบวนท่ากันอย่างดุเดือด
ในตอนแรก ชายหนุ่มตอบโต้ด้วยรูปแบบการโจมตีที่รุนแรง ทำให้คู่ต่อสู้ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปใช้กระบวนท่าป้องกัน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำเพียงแค่ป้องกันเท่านั้นและไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ฟางชิวจึงทำได้เพียงลดการโจมตีลง ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายโจมตีกลับบ้างเพื่อที่จะเรียนรู้จากกันและกัน
เมื่อมองไปยังสองคนที่พุ่งเข้าหากันอีกครั้ง ผู้ชมต่างพากันเงียบงันอีกครั้ง
เพียงแค่วาดมืออกไป ชายร่างผอมคนนั้นก็ลอยหวือออกไป นี่เป็นท่วงท่าของผู้อาวุโส!
ผ่านไปครึ่งทางของการต่อสู้…
ฟางชิวได้เรียนรู้ไปมากมาย และกลยุทธ์ของเขาก็ยังเปลี่ยนไป!
เขาเริ่มใช้กระบวนท่าอินทรีผงาดฟ้าที่เป็นท่วงท่าของชายร่างผอมเพื่อเริ่มสู้กลับ!
เมื่อเห็นฉากนี้ เหล่าผู้ชมที่เพิ่งเอ่ยบ่นจึงแปรเปลี่ยนเป็นตกใจด้วยความลุ้นระทึก
คนที่เคยเห็นสถานการณ์นี้ในการแข่งขันครั้งที่แล้วยังตกใจ ส่วนคนที่ไม่ได้มาในครั้งก่อนนั้นยิ่งตกใจกว่า
“สุดยอดเลย! สามารถเรียนรู้การเคลื่อนไหวของคนอื่นได้รวดเร็วอย่างนี้เลยหรือ?”
“เวลาที่ใช้ในการเรียนรู้นี่เร็วเกินไปไหม?”
“ในเมื่อมีความสามารถขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังเรียนรู้ท่าโจมตีการต่อสู้ของคนอื่นอีก?”
“เขาเป็นคนแปลกจริง ๆ ใช้ชีวิตและเรียนรู้ …ใครก็ตามที่ต่อสู้กับเขาในอนาคตคงต้องเอาหัวโขกประตู”
…
บนสังเวียน
ถึงอย่างนั้น ชายร่างผอมแทบจะหยุดหายใจ
เขาเคยได้ยินมาก่อนว่าผู้อาวุโสคนนี้จะเรียนรู้กระบวนท่าและกลยุทธ์การต่อสู้ของคู่ต่อสู้
ใครกันจะคาดคิด… ว่าจะรวดเร็วเพียงนี้!!
สิ่งสำคัญที่สุดคือกระบวนท่าเดียวกัน แต่เมื่ออีกฝ่ายใช้แล้วกลับทรงพลังมากกว่า ด้วยเพราะเขารู้จักท่าของตัวเองดีจึงรู้ว่ากระบวนท่าเหล่านั้นควรหลบเลี่ยงและสู้กลับอย่างไร แต่กลับกลายเป็นว่าไม่สามารถหาช่องโหว่ได้เลย
ชายร่างผอมยิ่งต่อสู้มากขึ้น เขายิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ในขณะเดียวกัน ยิ่งต่อสู้มากเท่าไร ดวงตากลับมีแสงเปล่งประกายมากเท่านั้น
แม้ว่าคู่ต่อสู้จะใช้กระบวนท่าของเขา แต่ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าฟางชิวดูเหมือนจะบอกอะไรบางอย่างแก่เขา และดูเหมือนว่าเขาเองก็จะได้เรียนรู้บางอย่างจากการเคลื่อนไหวของปรมาจารย์ผู้นี้!
ไม่นานนักฟางชิวก็กำมือ แล้วผลักชายร่างผอมออกไปเบา ๆ
อีกฝ่ายถอยไปหลายส่วนก่อนจะหยุดลงตรงขอบสังเวียนอย่างหมิ่นเหม่
“ขอบคุณครับผู้อาวุโสที่ช่วยชี้แนะครับ”
แทนที่จะโจมตีอีกครั้ง ชายร่างผอมกลับชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะโค้งพร้อมคารวะเพื่อขอบคุณฟางชิวทันที
สิ่งนี้ทำให้ฝูงชนด้านล่างงุนงงไปตาม ๆ กัน
“ขอบคุณเรื่องอะไร?”
“นี่มันอะไรกัน ฉันไม่เห็นเข้าใจ?”
“นี่มาดูการแข่งขันหลอกเด็กหรือไง”
“ทำไมถึงขอบคุณทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายยังไม่ได้พูดสักคำ?”
ทุกคนต่างไม่เข้าใจ
พวกเขาดูการแข่งขันที่แปลกประหลาดทั้งสองครั้งนี้ติดต่อกัน
คนแรกคือการลดน้ำหนัก ชายลึกลับยังเอ่ยออกมาอย่างน้อยสองสามคำ แต่อย่างน้อยก็ยังถือเป็นการชี้ให้เห็นถึงแนวทาง แต่กับชายร่างผอมคนนี้ ชายลึกลับไม่ได้พูดเสียด้วยซ้ำ แล้วเขาขอบคุณอะไรกัน?
“เป็นผมที่หมกหมุ่นอยู่กับการทะลุทะลวงมากเกินไป”
บนสังเวียน ชายร่างผอมเอ่ยด้วยใบหน้าเลื่อมใส “ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไม่ได้ฝึกฝนพลังภายในของตัวเองถึงระดับที่เพียงพอ …เลยอยากขอบคุณผู้อาวุโสที่ทลายสิ่งกีดขวางให้ ทั้งยังชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของตัวเอง”
“ด้วยความยินดี”
ฟางชิวยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยคำ “เดิมทีการเข้าใจและรู้แจ้งของคุณถือว่าดี แต่พรสวรรค์ก็ไม่ได้ช่วยให้ก้าวไปสู่หนทางที่ต้องการ และตอนนี้นายสามารถมองข้ามมันได้แล้ว ความก้าวหน้าก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม”
เมื่อได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสอง ฝูงชนที่อยู่ด้านล่างสังเวียนจึงเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
เป็นเช่นนี้เอง!
เหตุผลที่ชายนิรนามคนนี้ใช้ท่วงท่าการต่อสู้ของชายร่างผอมก็เพื่อให้เขารู้ถึงความบกพร่องของตัวเอง ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะรู้แจ้งอย่างรวดเร็วพร้อมกับกล่าวขอบคุณเช่นนี้
การต่อสู้ที่ดูเหมือนไร้ประโยชน์นั้นกลับเต็มไปด้วยบทเรียนอันลึกซึ้ง
ทุกคนเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเป
“สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”
“นั่นคือสิ่งที่ปรมาจารย์เป็น ไม่จำเป็นต้องอธิบายแต่กลับเข้าใจได้ วิธีการสอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้”
“มีเพียงการฝึกฝนส่วนบุคคลเท่านั้นที่สามารถค้นหาข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากการเปรียบเทียบได้ ผู้อาวุโสนิรนามไม่เพียงมีความแข็งแกร่งไม่น้อย แต่ยังมีสติปัญญาที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย”
ทุกคนล้วนเชื่อมั่น
ก่อนหน้านี้พวกเขายังคงสงสัยในตัวฟางชิว พร้อมกับตั้งคำถามว่าเขามีคุณสมบัติที่จะชี้นำผู้คนไปสู่ความก้าวหน้าหรือไม่
หลังจากที่ได้เห็น คำตอบก็คือมีแน่นอน
อีกทั้งยังเกินความคาดหมายไม่น้อยซึ่งทำให้รู้สึกชื่นชมจากใจจริง
แปะ! แปะ!
เสียงปรบมือจากใครคนหนึ่งดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปรบมือกึกก้องจากผู้ชมทั้งหมด และเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ลงทะเบียนต่างก็ตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม เฝ้ารอโอกาสที่จะได้ขึ้นสังเวียนอย่างใจจดใจจ่อ
อีกด้าน
หลังจากกล่าวขอบคุณฟางชิวแล้ว ชายร่างผอมก็ลงจากสังเวียนทันทีเพื่อไปหาสถานที่เพื่อเติมเต็มข้อบกพร่องของตัวเอง
ในตอนนั้นเอง
พิธีกรที่ไม่ได้ขึ้นสังเวียนรีบวิ่งขึ้นไปด้านบนพร้อมกับไมโครโฟน
“เอ่อ …ขอบคุณผู้อาวุโสนิรนามที่มาเยี่ยมเยียนนะครับ”
หลังจากพยักหน้าให้ฟางชิวเล็กน้อย พิธีกรก็กล่าวเสริม “และขอขอบคุณผู้อาวุโสนิรนามสำหรับคำแนะนำที่มอบให้กับทุกคน ผู้น้อยชื่นชมในความแข็งแกร่ง สติปัญญา และคุณธรรมในการต่อสู้ของผู้อาวุโสมากเลยครับ!”
หลังกล่าวจบ เขาก็โค้งคำนับ
จากนั้นจึงเอ่ยถามต่อ “ท่านต่อสู้มาสองศึกติดต่อกัน ต้องการที่จะหยุดพักก่อนแล้วค่อยมาลงสนามต่อหรือไม่ครับ?”
“ไม่จำเป็น”
ฟางชิวส่ายหน้าพร้อมเอ่ย “ต่อได้เลย ฉันมีเวลาไม่มาก!”
เมื่อได้ยินดังนั้น พิธีกรจึงรีบประกาศว่าการแข่งขันจะดำเนินต่อไป
ไม่นานหลังจากนั้น ชายคนที่สาม คนที่สี่ก็ออกมาทีละคน
ชายหนุ่มยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาของทั้งคู่ทีละคนหลังการต่อสู้
ผู้ชมด้านล่างสังเวียนเองต่างตั้งใจฟัง ทั้งยังพบว่ามีประโยชน์มากในภายหลัง
ในขณะที่ฟางชิวกำลังชี้แนะให้กับชายคนที่สี่
ด้านล่างสังเวียน
เหอเกาหมิงพลันลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะขึ้นสังเวียน
แต่เมื่อชายคนที่สี่ก้าวลงมา ฟางชิวกลับเอ่ยขึ้น ทำให้เหอเกาหมิงที่พร้อมขึ้นสังเวียนต้องหยุดลงทันที
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากขึ้นหรอกนะ เพียงแต่ไม่กล้าเข้าไปรบกวนต่างหาก!
บนสังเวียน
“ผู้ฝึกยุทธ์ทุกท่านอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับการทะลวงไปสู่ขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งมากนัก”
หลังจากรอให้ชายคนที่สี่ลงจากสังเวียน ฟางชิวจึงหันกลับมามองตรงไปที่ผู้ชม “นักต่อสู้สี่คนแรก แม้ว่าฉันจะชี้ให้เห็นว่าปัญหาของพวกเขาอยู่ที่ใด แต่จริง ๆ แล้วปัญหาของทุกคนนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เมื่อปัญหานี้หมดไปก็จะสามารถทะลุทะลวงก้าวผ่านได้”
หลังได้ยินคำพูดนี้ทุกคนล้วนไม่อาจนั่งนิ่งได้
“ปัญหาเดียว?”
“จะมีแค่ปัญหาเดียวได้ยังไง สี่คนสี่สถานการณ์ไม่ใช่เหรอ?”
“ผู้อาวุโส โปรดบอกเราอย่างชัดเจนว่าปัญหาคืออะไรได้ไหมครับ?”
“นั่นสิ มีปัญหาเดียวในการก้าวไปสู่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่ง นั่นหมายความว่าทุกคนสามารถก้าวไปสู่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะติดอยู่ที่ขั้นผู้ฝึกยุทธ์ใช่ไหม นี่มันเชื่อได้ยากชะมัด ทำอย่างกับว่าปรมาจารย์สามารถผลิตออกมาได้ง่าย ๆ เหมือนสินค้าโรงงานอย่างนั้นเลย”
“หากมีสิ่งดีเช่นนี้จริง มันจะเป็นพรอันยิ่งใหญ่สำหรับแวดวงศิลปะการต่อสู้เจียงจิง หรือแม้แต่วงการศิลปะการต่อสู้ของจีนเองก็ด้วย”
“ผู้อาวูโสโปรดชี้แนะด้วยว่าต้องทำอย่างไร?”
…
บริเวณนอกสังเวียน บางคนเร่งเร้า แต่อีกหลายคนกำลังตั้งคำถาม
ท้ายที่สุดแล้วคำพูดของฟางชิวน่าตกใจไม่น้อย
ถ้าเรามีวิธีแก้ปัญหาแบบนั้นจริง ๆ ประเทศยังจะต้องการกองทัพอะไร สร้างกองทหารผู้ฝึกยุทธ์ไปเสียเลยสิ แบบนั้นจะไม่เป็นการดีกว่าหรือ?
หน้าโต๊ะกลมที่อยู่ใกล้กับสังเวียนที่สุด เป็นผู้อาวุโสอี้ที่กำลังนั่งตัวตรง
เขาตั้งใจฟังคำพูดของชายหนุ่มพร้อมกับความสงสัยเต็มใบหน้า
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งนั้นทะลุทะลวงได้ง่ายเช่นนั้นเลยหรือ?
หากเป็นเช่นนั้น ทั่วโลกจะไม่เต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์หรือ?
แต่ถึงอย่างนั้น เหอเกาหมิงกลับมองไปยังฟางชิวด้วยใบหน้าขมขื่น
นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงไม่พูดอะไรก่อนหน้านี้ ทำไมถึงรอจนกว่าฉันจะขึ้นเวทีแล้วถึงเอ่ยออกมา
ท่านไม่ได้กำลังจะจากไปใช่ไหม
แม้จะมีความไม่พอใจอยู่ แต่ทันทีที่ได้ยินคำพูดของฟางชิว เหอเกาหมิงพลันกลั้นหายใจ ก่อนจะตั้งใจฟัง
“ทุกท่าน…”
ฟางชิวยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง “สวรรค์และโลกล้วนมีเหตุมีผล ผู้คนในโลกล้วนเข้าใจได้”
“อันที่จริง ประตูแห่งปราชญ์โบราณล้วนได้รับการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน หากแต่ในตอนนี้ความก้าวหน้าทางวัตถุค่อนข้างเป็นอุปสรรคต่อเรา”
“ศิลปะการต่อสู้ก็เช่นกัน!”
“มีประเด็นหนึ่งในปรัชญาจีนของเราที่พูดถึงความเงียบสงบและสดใส ความเงียบสงบและความสดใสนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำสองคำในคำเดียว แต่ยังมีความลับที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือความลับของความก้าวหน้าเพื่อก้าวสู่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่ง!”
ทุกคนส่งเสียงฮือฮา และยังมีหลายคนที่ไม่เข้าใจ
ความเงียบสงบและความสดใสหมายความว่าอย่างไร?
ไม่ขยับเขยื้อน?
หรือศัตรูไม่เคลื่อนไหว เราจึงรอโอกาสที่จะเคลื่อนไหว?
แต่ผู้อาวุโสอี้ที่กำลังฟังอย่างเงียบ ๆ กลับสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
เขาได้ทะลวงผ่านแล้วจริง ๆ แต่ในเวลานั้นยังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อได้ยินสี่คำนี้ที่ฟางชิวเอ่ยขึ้นในตอนนี้ เขาถึงรู้แจ้งทันที
“การจะก้าวข้ามไปสู่การต่อสู้ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งได้ เราต้องนิ่งและนิ่งให้สุดขีดเพื่อสร้างความเข้าใจและการตระหนักรู้ในการเคลื่อนไหวนั้น”
ฟางชิวกล่าวต่อ “จงสงบนิ่งและรู้สึกถึงพลังปราณของสวรรค์และโลก”
“การเคลื่อนไหวเป็นกระแสของพลังปราณภายในที่สร้างขึ้นในร่างกาย”
“เราจะก้าวหน้าไปได้อย่างไร ถ้ากายไม่นิ่ง จิตไม่สงบ”
“ถ้าต้องการก้าวหน้า เพียงแค่อยู่นิ่ง ๆ ก็เพียงพอ”
“ชายอ้วนคนแรกถูกลากลงมาด้วยร่างกายที่อ้วนท้วน ทำให้จิตใจของเขาไม่สามารถอยู่เหนือร่างกาย ทว่าหลังจากนั้นเขาก็จะเข้าสู่ความนิ่งได้อย่างสมบูรณ์”
“เพื่อนนักต่อสู้คนที่สอง ไม่ได้ฝึกฝนพลังภายในจนถึงขีดสุด บวกกับความดันทุรังที่ต้องการจะทะลวงผ่าน ทั้งยังปิดกั้นหัวใจจึงทำให้ไม่สามารถบรรลุความสงบขั้นสูงสุดได้ ดังนั้นเขาจึงติดอยู่ที่ระดับเดิม”
“เช่นเดียวกันสำหรับเพื่อนนักสู้คนที่สามและสี่”
“ดังนั้น ผู้ที่ติดอยู่ที่ระดับการฝึกเดิมและยังไม่สามารถทะลวงผ่านไปได้ จึงไม่สามารถฝึกฝนพลังภายในของตนได้อย่างเต็มที่ หรือมีจิตใจที่ยึดติดกับสิ่งเล็กน้อยของชีวิต หรืออาจจะมีความทะเยอะทะยานมากเกินไป หรือมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน จิตใจจึงไม่สามารถสงบได้อย่างสมบูรณ์”
“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ท้ายที่สุดแล้วความนิ่งสงบคือคำตอบ หากสงบจิตใจได้ย่อมสามารถทะลุทะลวงก้าวผ่านไปได้!”