บทที่ 189 ทายาทหมอปรุงพิษคนสุดท้าย!
บทที่ 189 ทายาทหมอปรุงพิษคนสุดท้าย!
“ผลลัพธ์มันเป็นยังไงบ้างน่ะเหรอครับ?” เมื่อเห็นว่าแววตาอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความคาดหวัง ฟางชิวก็ตะคอกกลับ “ถ้าไม่ใช่ผม แต่เป็นคนอื่นละก็ พวกเขาคงไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วแบบนี้หรอก ป่านนี้อาจจะอาการโคม่าอยู่ในโรงพยาบาลโน้น นี่คุณไม่รู้สึกผิดบ้างเลยเหรอ?”
“มะ… มันได้ผลจริง ๆ ด้วย!!” จางซินหมิงพยักหน้าและพูดด้วยความพึงพอใจ
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฟางชิวก็เก็บอารมณ์ไม่อยู่ จากนั้นจึงระเบิดโทสะออกมา
“นี่คุณไม่กลัวที่จะเผลอคร่าชีวิตคนอื่นหรือไง?” ชายหนุ่มไม่นึกว่าจางซินหมิงจะนิ่งเฉยได้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน
ชีวิตมนุษย์ไม่มีค่าสำหรับเขาเลยหรือ?
“ฉัน-ไม่-กลัว” จางซินหมิงเน้นย้ำทีละคำ “แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่วางยาคนอื่น แต่ฉันมั่นใจในทักษะและฝีมือของตัวเอง อีกทั้งพิษนั่นก็ไม่ได้อันตรายร้ายแรงนี่นา มันแค่ทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
“สุดท้ายแล้วร่างกายจะขับพิษออกมาอยู่ดี ซึ่งนอกจากจะไม่เป็นอันตรายแล้ว มันยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว แล้วฉันจะต้องกลัวอะไรอีกล่ะ”
ไม่มีอันตราย?
ฟางชิวตกตะลึง แล้วหันไปมองสวีเมี่ยวหลินทันที เนื่องจากไม่ได้ศึกษาเรื่องพิษจึงไม่รู้ว่าจางซินหมิงพูดความจริงหรือไม่
เมื่อได้ยินคำพูดของจางซินหมิงแล้ว ดวงตาของสวีเมี่ยวหลินก็เบิกกว้าง เขาจ้องมองจางซินหมิงอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “คุณเป็นใครกันแน่?”
“โอ้ ขนาดหมอระดับปรมาจารย์อย่างคุณยังตกใจเลยเหรอ ฮ่า ๆ!” จางซินหมิงยิ้มเยาะ “ฉันเป็นหมอปรุงพิษ!”
“หมอปรุงพิษ? ไม่มีทาง!!!” สวีเมี่ยวหลินอุทานลั่น
แม้ว่าจะมีความคิดนี้อยู่ในใจแล้วก็ตาม แต่เขาก็รีบปัดมันทิ้ง เพราะในฐานะรองคณบดีคณะแพทยแผนจีน จางซินหมิงจะเป็นหมอปรุงพิษได้อย่างไร?
แล้วหมอปรุงพิษจะมาเป็นรองคณบดีได้อย่างไรกัน?
“ในสายตาของแพทย์แผนจีน มันคงจะเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” จางซินหมิงขมวดคิ้วเคร่งขรึมขณะจ้องมองหน้าของสวีเมี่ยวหลิน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงบูดบึ้ง “เพราะหมอปรุงพิษถูกพวกที่เรียกตัวเองว่าแพทย์แผนจีนโบราณบีบคั้นจนตายยังไงล่ะ!”
สวีเมี่ยวหลินตกใจ ในดวงตาปรากฏร่องรอยของความสำนึกผิดออกมา
ฟางชิวมองดูทั้งสองคนด้วยความสับสน เพราะสิ่งต่าง ๆ ในตอนนี้เหนือความคาดหมายไปเล็กน้อย
หมอปรุงพิษ?
หมอปรุงพิษคืออะไร?
ฟางชิวไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
แล้วทำไมสวีเมี่ยวหลินถึงตกใจกับคำว่าหมอปรุงพิษได้ขนาดนี้ล่ะ?
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จางซินหมิงหมายความว่าอย่างไร ตอนที่เขากล่าวว่าหมอปรุงพิษถูกบีบคั้นจนตาย?
มีคำถามมากมายในใจนับไม่ถ้วน แต่ฟางชิวทำได้เพียงยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบ ๆ และฟังต่อไป
“และฉัน…” จางซินหมิงจ้องหน้าสวีเมี่ยวหลินแน่นิ่ง “…ก็เป็นทายาทคนสุดท้ายของหมอปรุงพิษ!”
ร่างกายของสวีเมี่ยวหลินสั่นสะท้านทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขามองไปที่จางซินหมิงด้วยความตะลึง
“แพทย์แผนจีนโบราณอย่างพวกคุณไม่มีใครยอมรับยาพิษเลย เพราะในสายตาของพวกคุณแล้ว ยาพิษเป็นสิ่งชั่วร้าย ไม่เหมือนยาของแพทย์แผนจีนโบราณ!”
“เช่นเดียวกับมีด มันมีความผิดอะไร? แล้วคนที่ใช้มีดความผิดอะไร”
“พวกคุณไม่ใช้มีด แต่ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นใช้มีดด้วย เพราะพวกคุณกังวลว่าจะมีพวกคนเลวฉวยโอกาสใช้มีด”
“ไร้สาระสิ้นดี!” เมื่อพูดถึงประโยคนี้ จางซินหมิงก็ตะคอกขึ้นมาด้วยความโกรธ “เพราะความกังวลของพวกคุณ ทำให้หมอปรุงพิษอย่างพวกเราถูกพวกที่เรียกตัวเองว่าแพทย์แผนจีนโบราณบีบคั้นจนตาย สุดท้ายตอนนี้หมอปรุงพิษก็เหลือแค่ฉันเพียงคนเดียว”
“ตอบฉันมาด้วยความสัตย์จริง หมอปรุงพิษอย่างพวกเราเคยล้างแค้นกลับบ้างไหม? และเคยร้องเรียนใด ๆ หรือไม่”
“ไม่มีเลย!”
“เพราะรู้ว่ามีมีดอยู่ในมือ และสิ่งที่ควรทำก็คือใช้มีดนั้นให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ใช่ก่อให้เกิดสงครามกลางเมือง”
“เป็นเพราะพวกคุณนั่นแหละ! พวกคุณบีบให้สายเลือดของหมอปรุงพิษแต่ละคนต้องตาย!” จางซินหมิงโกรธมากขึ้น
สวีเมี่ยวหลินเอาแต่เงียบ เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ชายหนุ่มมองไปที่จางซินหมิงด้วยความตกใจ เพราะเวลานี้เขารวบรวมข้อมูลมากมายจากคำพูดของจางซินหมิงได้แล้ว
เดิมทีวงการแพทย์แผนจีนมีสาขาของหมอปรุงพิษอยู่ และดูเหมือนว่าจะเป็นหมอที่เก่งในการต่อสู้กับพิษและรักษาโรคด้วยยาพิษ
ในปัจจุบันนี้จางซินหมิงก็กลายเป็นทายาทคนสุดท้าย และที่สำคัญที่สุดก็คือหมอปรุงพิษถูกบีบคั้นจนทำให้เหลือทายาทอยู่เพียงคนเดียว?!
ไม่น่าแปลกใจเลยที่จางซินหมิงจะเกลียดแพทย์แผนจีนโบราณมาก! และเป็นเรื่องปกติที่สวีเมี่ยวหลินจะตกใจเช่นกัน!
“ฉันพนันได้เลยว่าตอนนี้คงจะสงสัยว่าฉันที่เป็นหมอปรุงพิษ มาเป็นรองคณบดีคณะแพทย์แผนจีนได้อย่างไร”
จางซินหมิงถามด้วยความเย้ยหยัน จากนั้นก็พูดอย่างโกรธเคือง “เป็นเพราะฉันไม่มีที่ที่จะแสดงศักยภาพได้น่ะสิ!”
“ในโลกนี้ยังมีใครเชื่อใจหมอปรุงพิษอยู่บ้าง? ทุกวันนี้หมอปรุงพิษก็เหมือนหนูข้ามถนนที่จะโดนทุกคนรุมทึ้งตลอดเวลา แม้ว่าจะมีความสามารถทุกอย่าง แต่ยามที่คนไข้ต้องการฉันมากที่สุด ฉันกลับทำได้เพียงเฝ้าดูอย่างหมดหนทางเท่านั้น พวกคุณเข้าใจความรู้สึกนี้ไหม?”
“คุณเข้าใจบ้างไหม?”
“คุณเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยเหลือคนไข้ได้หรือไม่? แล้วรู้ไหมว่าเวลาที่ผู้คนได้ยินคำว่ายาพิษ พวกเขามักจะวิ่งหนีและคิดว่าฉันพยายามจะทำร้าย”
“พวกคุณไม่เข้าใจ และไม่มีวันเข้าใจด้วย!”
“แต่นี่คือสิ่งที่พวกคุณอยากให้พวกเราเป็น!”
“แล้วฉันจะทำอะไรได้อีก” เมื่อมองไปที่สวีเมี่ยวหลินที่เงียบไปนาน จางซินหมิงจึงเอ่ยถามอย่างขุ่นเคือง “หมอผู้ยิ่งใหญ่อย่างคุณช่วยบอกฉันทีว่า ฉันจะทำอะไรได้อีก นอกจากเส้นทางอาชีพการทำงานนี้แล้ว ฉันยังสามารถทำอะไรได้อีก”
สวีเมี่ยวหลินยังคงเงียบต่อไป
“ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากประกอบอาชีพนี้ เพราะฉันมันไร้ค่า และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่วางยาพิษคน” จางซินหมิงหัวเราะอย่างเสียสติ แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับเศร้าสร้อย
“ฉันแค่ไม่เข้าใจ…” หลังจากที่หัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง จางซินหมิงก็พูดขึ้น “หมอปรุงพิษทำอะไรให้แพทย์แผนจีนโบราณไม่พอใจเหรอ? แม้ว่าสิ่งที่พวกเราถืออยู่ในมือคือมีด แต่ไม่ใช่มีดสำหรับฆ่า มันคือมีดช่วยชีวิต!”
“ยาพิษแล้วอย่างไรล่ะ? พวกคุณรู้ไหมว่าบรรพบุรุษของฉันรักษาคนด้วยยาพิษกี่คน”
“โรคบางอย่างที่แพทย์แผนจีนอย่างคุณรักษาไม่ได้ แต่พวกเราสามารถรักษาให้หายได้”
“พวกเราสามารถใช้ส่วนผสมยาที่แพทย์แผนจีนอย่างคุณใช้ไม่ได้ และพวกเราไม่เคยไปแข่งขันกับพวกคุณเลย แต่ทำไมถึงต้องกีดกันขนาดนี้ด้วย”
“ทำไม…?” จางซินหมิงคำรามออกมาด้วยความโกรธ
ทั้งสวีเมี่ยวหลินและฟางชิวต่างพูดไม่ออก
พวกเขามองไปที่จางซินหมิงนิ่งเงียบและปล่อยให้จางซินหมิงระบายอารมณ์ทั้งหมดออกมา
หลังจากที่ระบายความโกรธออกมา เขาก็ถอนหายใจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างโดดเดี่ยว “ตอนนี้อาชีพอย่างเป็นทางการของฉันสิ้นสุดลงแล้ว และไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้อะไรเลย”
พูดจบ เขาก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น จากนั้นก็หยุดจัดเรียงหนังสือเก่าและหันไปมองฟางชิว
“ฉันขอโทษ” จางซินหมิงกล่าวเสียงเบา
“ฉันวางยาเธอและทำให้เธอต้องทนทุกข์ทรมาน ฉันขอโทษ ขอโทษเธอจริง ๆ!” ระหว่างที่พูดจางซินหมิงก็โค้งคำนับชายหนุ่ม
“เธอยอดเยี่ยมมากจริง ๆ เธอสามารถคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันความรู้มาได้แม้จะถูกวางยาพิษก็ตาม ฉันเดาว่าอนาคตของเธอต้องสดใสแน่นอน”
พูดถึงจุดนี้ จางซินหมิงก็ชี้ไปที่สวีเมี่ยวหลิน และพูดกับฟางชิวว่า “ในฐานะอดีตรองคณบดีมหาวิทยาลัย ฉันขอบอกอีกอย่างว่า จงทำตามหมอระดับปรมาจารย์คนนี้ให้ดี แล้วชีวิตของเธอจะประสบความสำเร็จ”
“แล้วเธอไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับยาพิษเลย”
“หลังจากนี้ฉันจะไปสถานีตำรวจและสารภาพผิด” จบคำพูดของเขา จางซินหมิงก็หันไปจัดเรียงหนังสือเก่า ๆ บนพื้นอีกครั้ง
ชายหนุ่มทำได้แค่เงียบ เพราะเวลานี้ไม่รู้จะกล่าวคำใด
หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวของจางซินหมิงความโกรธที่สุมอยู่เต็มอกก็มลายหายไปแล้ว และเปลี่ยนเป็นความเห็นอกเห็นใจแทน
สวีเมี่ยวหลินก็ยังไม่พูดอะไรออกมา เดิมทีเขาเป็นคนอยากมาเยี่ยมจางซินหมิงกับฟางชิว แต่ตอนนี้ไม่สามารถแม้แต่จะพูดอะไรได้เลย เขาทำได้แค่ยืนอยู่ด้านข้างราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
หลังจากที่เวลาผ่านไปนาน สวีเมี่ยวหลินก็ถอนหายใจออกมา
“ถ้าคุณรู้แต่แรกว่าเรื่องมันจะลงเอยแบบนี้ แล้วทำไมถึงยังลงมือทำอีกล่ะ” สวีเมี่ยวหลินเอ่ยถามขึ้นมาขณะมองไปยังคนที่กำลังจัดเรียงหนังสือ
“แล้วใครมันจะไปรู้ล่ะ? เพราะส่วนมากในตอนสุดท้ายผู้คนถึงจะคิดได้ แต่ว่ามันก็ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”
จางซินหมิงคุ้ยหาหนังสือเล่มหนึ่งเป็นเวลานาน จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นมาจากกองหนังสือ แล้วถือหนังสือเก่า ๆ ธรรมดา ๆ เล่มหนึ่งไว้
จางซินหมิงสัมผัสหนังสือเล่มนั้นเหมือนว่ามันเป็นสมบัติ เขาสัมผัสอย่างนุ่มนวลและเบามือ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
จางซินหมิงหันหน้าไปหาฟางชิว “ฉันจะให้หนังสือเล่มนี้กับเธอ เพื่อเป็นการชดเชยความผิด ส่วนจะอ่านหรือว่าจะเอาไปเผาก็แล้วแต่เลย” ระหว่างที่พูด จางซินหมิงก็มอบหนังสือให้ฟางชิว
ชายหนุ่มรับหนังสือเล่มนั้นมา และเมื่อสังเกตดี ๆ ก็พบว่าบนหน้าปกหนังสือสีเหลืองขุ่น มีตัวอักษรสีดำสามตัว
‘ตำรายาพิษ’!
“ฉันได้พูดสิ่งที่ควรพูดและไม่ควรพูดไปหมดแล้ว ดังนั้นพวกคุณควรจะไปได้แล้ว และขออภัยที่ไม่ได้ไปส่ง” จางซินหมิงเอ่ยไล่แขก
ฟางชิวจึงหันไปมองสวีเมี่ยวหลิน
สวีเมี่ยวหลินก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วถอนหายใจออกมา พวกเขาสองคนจึงหันหลังเพื่อจากไป แต่เมื่อเดินไปที่ประตู…
ฟางชิวก็หยุดคิดสักพักและหันไปมองจางซินหมิง “ถ้าสิ่งที่คุณพูดว่าการใช้ยาพิษเพื่อล้างพิษในร่างกายเป็นความจริง คุณก็สามารถเลือกที่จะไม่สารภาพความผิดได้ เพราะผมจะไม่ถือโทษโกรธ”
“ฉันเหนื่อยเต็มทีแล้ว…” จางซินหมิงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างและส่ายหัวเบา ๆ “ฉันปรารถนาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เพื่อใช้ช่วงเวลานี้ศึกษาสิ่งที่คนรุ่นก่อนทิ้งเอาไว้ให้ฉัน”
หลังจากได้ยินอย่างนั้น ฟางชิวก็มองไปที่หนังสือโบราณในมือ “ทำไมไม่ส่งหนังสือเล่มนี้ให้หลี่ชิงสือล่ะครับ?”
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากมอบให้เขา แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่น่าจะแบกรับความกดดันไหว” จางซินหมิงส่ายหัว “หลังจากที่ได้เรียนรู้ยาพิษแล้ว เขาย่อมไม่สามารถแบกรับแรงกดดันที่วงการแพทย์จีนทั้งหมดจะกระทำต่อเขาได้ และอาจจะละทิ้งความรู้ไว้กลางทาง ถ้าฉันให้หนังสือเล่มนี้แก่เขา มันจะเป็นการทำร้ายแทนที่จะช่วย ดังนั้นปล่อยให้เขาเดินไปตามเส้นทางที่ดีของการแพทย์แผนจีนน่ะดีแล้ว”
“และในเมื่อเธอสามารถทนพิษของฉันได้ ฉะนั้นเธอก็รับหนังสือไปเถอะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟางชิวก็พยักหน้าพร้อมกล่าวขอบคุณจางซินหมิง และไม่รั้งอยู่ต่ออีก เขาจึงจากไปพร้อมกับสวีเมี่ยวหลิน
เมื่อพวกเขาเดินออกจากหอพักอาจารย์แล้ว
ฟางชิวก็ก้มมองไปที่หนังสือโบราณในมือ จากนั้นก็เก็บหนังสือไว้ในกระเป๋า และหันไปมองสวีเมี่ยวหลินที่เงียบมานาน
“เธออยากรู้เรื่องราวของหมอปรุงพิษหรือเปล่า” ทันใดนั้น สวีเมี่ยวหลินก็ถามขึ้นมา
“อยากครับ” ฟางชิวพยักหน้า
“ในเมื่อเขามอบตำรายาพิษที่ล้ำค่าที่สุดในสายเลือดของพวกเขาให้กับเธอแล้ว ถ้างั้นฉันจะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟังเอง”
สวีเมี่ยวหลินกล่าวด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย “ในสมัยก่อน มีหมอปรุงพิษอยู่จริง และพวกเขาก็เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยแพทย์ที่ทรงพลังมาก เช่นเดียวกับที่จางซินหมิงกล่าว พวกเขาสามารถรักษาโรคที่ซับซ้อนมากมายที่แพทย์แผนจีนโบราณจำนวนมากไม่สามารถรักษาได้”
“แล้วทำไม…?” ฟางชิวสงสัย
“ทำไมถึงกีดกันหมอปรุงพิษน่ะเหรอ?” สวีเมี่ยวหลินส่ายหัวและพูดว่า “เพราะหมอปรุงพิษล้วนเป็นคนบ้าไปน่ะสิ!”
“พวกเขาทดสอบพิษของยาและอาการของพิษโดยการทดลองกับคน ซ้ำยังวางยาพิษใส่ผู้คนจำนวนมาก”
“แล้วบางคนที่ไปให้พวกเขารักษาโรคให้ก็ไม่รู้ว่าได้โรคกลับไปด้วยหรือเปล่า และบางคน ก็…” จู่ ๆ สวีเมี่ยวหลินก็หยุดพูดฉับพลัน
“บางคนทำไมหรือครับ” ชายหนุ่มถามอย่างใคร่รู้