คุรุการแพทย์ – บทที่ 197 เกิดความโกลาหลไปทั่วเมือง!

คุรุการแพทย์

บทที่ 197 เกิดความโกลาหลไปทั่วเมือง!

บทที่ 197 เกิดความโกลาหลไปทั่วเมือง!

เพราะทุกคนคุ้นเคยกับหลี่เหวินป๋อ ผู้ต่อต้านการแพทย์แผนจีนเป็นอย่างดี แล้วก็มีหลายคนติดตามเขาบนเวยป๋อ และเกือบทุกครั้งที่เขาโพสต์บนเวยป๋อจะเป็นการต่อต้านแพทย์แผนจีนทั้งหมดเลย เขาเคยพูดมานับครั้งไม่ถ้วนว่าการจับชีพจรในการแพทย์แผนจีนเป็นเรื่องหลอกตา และเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงชีพจรของการตั้งครรภ์หรือโรคอื่น ๆ เลย

มีคำถามทุกประเภทออกมาจากปากของเขา เนื่องจากหลี่เหวินป๋อเป็นคนเจ้าเล่ห์แสนกล มีเล่ห์เหลี่ยม โลเล และชอบพูดจาให้ร้ายคนอื่น ทำให้แพทย์แผนจีนทั่วประเทศไม่อยากข้องแวะกับเขา

แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่า หลี่เหวินป๋อจะกล้าออกมาท้าทายอย่างเปิดเผยบนเวยป๋อเช่นนี้

อาจเป็นเพราะเขาถูกเมินเฉยจากวงการแพทย์แผนจีน และเจ้าตัวก็ไม่สามารถสร้างกระแสได้ เขาจึงต้องการเรียกร้องความสนใจจากทุกคน?

ไม่นานโพสต์ของหลี่เหวินป๋อก็ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทุกแขนง สื่อแห่งหนึ่งถึงกับเชิญคนดังอย่างตู้เหวินชูมาสัมภาษณ์ที่สถานีโทรทัศน์ทันที

ตู้เหวินชูคนนี้เป็นนักวิจารณ์ที่มีชื่อเสียงในประเทศ เขามักกล่าวสุนทรพจน์แบบพิเศษที่ก่อให้เกิดการโต้เถียงในทุกรูปแบบ

หลังจากถูกนักข่าวสัมภาษณ์ ตู้เหวินชูก็ได้แสดงความคิดเห็นของเขาทางโทรทัศน์อย่างรวดเร็ว

“ฉันคิดว่าการวินิจฉัยชีพจรตั้งครรภ์ของการแพทย์แผนจีนเป็นเพียงตำนาน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยมีคนตรวจสอบการตั้งครรภ์ด้วยวิธีนั้นแล้ว แต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครใช้วิธีนั้นอีก และไม่ว่าการวินิจฉัยชีพจรจะได้ผลหรือไม่ก็ตาม มันแต่ก็ถูกกำจัดไปแล้วอยู่ดี”

“ในเมื่อวิธีการวินิจฉัยชีพจรถูกกำจัดไปแล้ว แล้วเหตุใดถึงยังมีคนใช้วิธีการวินิจฉัยชีพจรในการตรวจสอบการตั้งครรภ์อีกล่ะ”

“บางคนบอกว่า มีข้อมูลความแม่นยำของการวินิจฉัยชีพจรที่มากถึง 80% โดยการเปรียบเทียบกับการตรวจ HCG*[1] ในปัสสาวะที่เป็นบวก”

“ในความเห็นของฉัน ข้อความดังกล่าวไม่มีความน่าเชื่อถือเลย มันดูเป็นเรื่องไร้สาระด้วยซ้ำ เพราะหากเป็นกระบวนการที่เข้มงวดจริง ๆ พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงชีพจรอย่างแน่นอน ดังนั้นในทางทฤษฏีแล้ว ฉันพูดได้ว่าการที่แพทย์แผนจีนสามารถรู้สึกถึงชีพจรของการตั้งครรภ์ได้นั้น มันไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่นิดเดียว”

ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ความสนใจของทุกคนมุ่งไปที่ตู้เหวินชูคนเดียว แม้แต่คำถามที่นักข่าวถามก็ยังไม่สามารถดึงดูดความสนใจของใครได้เลย

เมื่อฟังการสัมภาษณ์ของตู้เหวินชู จะพบว่าเขาก็ไม่เชื่อในการแพทย์แผนจีนเช่นกัน

เมื่อมีคนต่อต้านแพทย์แผนจีนเยอะมากขนาดนี้ คนในวงการแพทย์แผนจีนก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป

เซี่ยงเซิ่งหัว สมาชิกของสมาคมการแพทย์แผนจีนก็ถูกสื่อสัมภาษณ์เช่นกัน โดยเขาพูดไปว่า “ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งมีชีพจรลื่น*[2] พร้อมกับอาการวัยทองและอาการอาเจียนก็แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นได้ตั้งครรภ์แล้ว เพราะเมื่อผู้หญิงตั้งครรภ์ ชีพจรลื่นจะบ่งชี้ว่าเลือดมีความสมบูรณ์”

หลังจากการสัมภาษณ์ของเซี่ยงเซิ่งหัวจบลง ตู้เหวินชูก็ออกมาอีกครั้ง โดยโพสต์ติดต่อกันสามโพสต์

‘สิ่งที่เรียกว่าชีพจรลื่นในทางการแพทย์แผนจีนไม่ได้วัดข้อมูลในเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณเลย มุมมองที่ว่าชีพจรลื่นเหมือนไข่มุกที่กลิ้งอยู่บนจานเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น’

‘วิธีการวัดเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณเป็นวิธีการศึกษาปัญหาอย่างแท้จริง หลายสิ่งหลายอย่างสามารถวัดได้ทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ แต่การจับชีพจรในศาสตร์การแพทย์แผนจีนไม่สามารถวัดได้ในเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณได้เลย มันเป็นเหมือนคำอุปมากับความรู้สึกส่วนตัวมากกว่า’

‘สิ่งนี้ทำให้แพทย์แผนจีนแต่ละคนมีมุมมองที่แตกต่างกันเวลาที่จับชีพจร แล้วมีหน้ามาบอกพวกเราว่าประเภทของชีพจรมีความแตกต่างกัน แล้วทีนี้พวกคุณจะเลือกเชื่อใครล่ะ?’

‘ดังนั้น ในความเห็นของฉัน สิ่งที่แพทย์แผนจีนเรียกกันว่า ชีพจรตั้งครรภ์เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ!’

ในขณะเดียวกัน ผู้สนับสนุนคนแรกอย่างหลี่เหวินป๋อก็ปรากฏตัวอีกครั้ง

หลี่เหวินป๋อผู้ริเริ่มการท้าทายก็ยิ่งหยิ่งผยองมากกว่าเดิม เขาไม่เพียงแต่เยาะเย้ยหมอแพทย์แผนจีนหลายต่อหลายครั้งบนเวยป๋อ แต่ยังใช้ประโยชน์จากประเด็นนี้ โดยกล่าวว่าสื่อที่มีอำนาจสามารถจัดการออดิชันเพื่อเฟ้นหาแพทย์แผนจีนที่ดีที่สุดในประเทศจีนได้

ข้อความข้างต้นนี้ สื่อถึงการล้อเลียนการแพทย์จีนอย่างไร้ความปรานี

สิ่งนี้ทำให้แพทย์แผนจีนต่างพากันโกรธมาก แพทย์แผนจีนหลายคนจึงออกมาโต้แย้งหลี่เหวินป๋อกับตู้เหวินซูด้วยความโกรธ

แม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะยังไม่เริ่มขึ้น แต่ความคิดเห็นของสาธารณชนก็ดำเนินไปอย่างเต็มที่แล้ว

เรื่องของ ‘การตรวจชีพจรขณะตั้งครรภ์’ ได้แพร่กระจายบนเวยป๋ออย่างรวดเร็ว และยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน ‘เหตุการณ์สำคัญในวงการแพทย์’ โดยสื่อทางการแพทย์

ผู้สนับสนุนทั้งสองฝ่ายต่างก็ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ ทำให้ความคิดเห็นในเวยป๋อยิ่งดุเดือดมากขึ้นกว่าเดิม

[ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมแพทย์แผนตะวันตกถึงชอบดูถูกแพทย์แผนจีนนัก และฉันจะรอดูตอนจบของเรื่องนี้ด้วย!]

[การวินิจฉัยชีพจรทางการแพทย์แผนจีนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และยังมีคนนัดตรวจชีพจรครั้งเดียวด้วยเหรอ? แต่แพทย์แผนตะวันตกก็สามารถตรวจวินิจฉัยด้วยแถบตรวจได้ไม่ใช่เหรอ?]

[การแพทย์แผนจีนมีมานับพันปีแล้ว แสดงว่าการรักษามันได้ผลจริง ๆ]

[ผู้ที่กล่าวว่าการแพทย์แผนจีนไม่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ก็เหมือนบอกว่าคัมภีร์โจวอี้กับกวีฉู่ฉือไม่สอดคล้องกับไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ กลุ่มที่มีประชากรมากที่สุดในโลกได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นภายใต้การคุ้มครองของแพทย์แผนจีน แล้วสิ่งที่ทำให้ฉันโกรธที่สุดก็คือ มีคนบอกว่าบรรพบุรุษของพวกเราดำเนินชีวิตผิดมาตรฐานของคนอื่น!]

[การแพทย์แผนจีนนั้นกว้างขวางและลึกซึ้งมาก ฉะนั้น อย่าดูถูกการแพทย์แผนจีนให้มากนัก!]

[เรื่องนี้มีสองผลลัพธ์เท่านั้น 1. หาข้ออ้างที่จะไม่รับคำท้า 2. หากยอมรับคำท้าแล้วก็อาจจะแพ้ได้ แต่การแพ้จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์แผนจีนมากเกินไป สุดท้ายก็ไม่มีแพทย์แผนจีนคนไหนกล้ารับคำท้าแน่นอน ดังนั้นทุกคนจงลืมมันไปซะเถอะ]

ความกระตือรือร้นในการท้าทายของการตรวจสอบชีพจรตั้งครรภ์กำลังแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

ไม่เพียงแต่ในเวยป๋อเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมแพทย์แผนจีนทั้งหมดด้วย

แล้วไม่ใช่แค่บรรดาแพทย์ที่มีชื่อเสียงด้านการแพทย์แผนจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโรงพยาบาลและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศก็กำลังพูดถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

อีกด้านหนึ่ง

นักศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงก็เดือดดาลทันทีที่ได้ยินข่าวนี้

“หลี่เหวินป๋อเป็นคนงี่เง่าหรือเปล่า การแพทย์แผนจีนเป็นสมบัติของมรดกประเทศจีนมาตั้งแต่ห้าพันปีที่แล้ว แม้แต่ประเทศพวกเราก็ยังยอมรับการแพทย์แผนจีน แล้วเขาถือดีอะไรมาไม่ยอมรับกัน”

“ตู้เหวินชูก็ไร้ยางอายเหลือเกิน เขาถึงกับกล่าวว่าการแพทย์แผนจีนของพวกเราต้องอาศัยการคาดเดา ไม่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์ และหาว่าการแพทย์แผนจีนไม่น่าเชื่อถือ แถมยังกล้าพูดอีกว่าแพทย์แผนจีนอย่างพวกเรากำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอยู่ เขามันเป็นแค่โง่เขลาจริง ๆ”

“หากไม่มีแพทย์แผนจีน บรรพบุรุษของเขาคงไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ แต่เขาก็ยังกล้าพูดคำเหล่านี้ออกมา”

ไม่เพียงแต่มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงเท่านั้น แต่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนทุกแห่งในประเทศจีนต่างก็ไม่พอใจเช่นกัน

การแพทย์แผนจีนเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งสำหรับนักศึกษาเหล่านี้ เพราะชอบการรักษาแบบแผนจีนและรักการเป็นแพทย์แผนจีน ดังนั้นพวกเขาจึงมาเรียนแพทย์แผนจีน

แต่ในตอนนี้ จู่ ๆ ก็มีคนกล้าสงสัยความเชื่อของพวกเขา มันก็เลยทำให้พวกเขาโกรธอย่างรุนแรง

ในฐานะที่เฉินอินเซิงเป็นรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงก็ได้รับข่าวแล้วเหมือนกัน

เดิมที เรื่องแบบนี้มันไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง เขาในฐานะรองอธิการบดีก็ไม่จำเป็นต้องไปจัดการกับมันเลย แต่หลี่เหวินป๋อกลับสร้างเรื่องราวให้ใหญ่โตมากขึ้น ไม่เพียงแต่เหล่านักศึกษาจะไม่พอใจเท่านั้น ทว่าอาจารย์หลายคนก็ไม่พอใจเช่นกัน

เฉินอินเซิงก็เลยกลัวว่าอาจารย์บางคนจะโกรธจนยอมรับคำท้าจริง ๆ

“แจ้งคณบดีทุกคนให้เข้าประชุมตอนบ่ายสองโมงด้วย!” เฉินอินเซิงออกคำสั่งทันที

เวลาบ่ายสองโมง

คณบดีกับรองคณบดีของแต่ละคณะในมหาวิทยาลัยก็มาที่ห้องประชุมของอาคารสำนักงาน

“พวกคุณได้รับข่าวแล้วหรือยัง?” ในช่วงเริ่มต้นของการประชุม เฉินอินเซิงก็ถามขึ้นมา

คณบดีกับรองคณบดีทุกคนก็พยักหน้า

“หลี่เหวินป๋อคนนี้ไร้ยางอายเกินไปจริง ๆ ปกติแล้ว เขามักจะหาโอกาสที่จะใส่ร้ายแพทย์แผนจีนอย่างพวกเรามาตลอด แต่ครั้งนี้ได้สร้างปัญหาจนใหญ่โตมาก เขาคิดจริง ๆ หรือว่าในการแพทย์แผนจีนของพวกเราจะไม่มีอัจฉริยะ?” คณบดีคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา

“ฮึ่ม! และตู้เหวินชูคนนั้นก็ด้วย ฉันสงสัยว่าทั้งสองคนน่าจะสมรู้ร่วมคิดกันเพื่อมุ่งเป้ามาที่แพทย์แผนจีนอย่างพวกเราเป็นพิเศษ” คณบดีอีกคนพูดด้วยความโกรธ

ขณะที่คณบดีทั้งสองคนได้บ่นออกมา คณบดีคนอื่น ๆ ก็เริ่มบ่นเช่นกัน

ระหว่างที่กำลังบ่นนั้น พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่หลี่เหวินป๋อกับตู้เหวินชูสร้างปัญหาขึ้นมา

“เงียบ!” เมื่อได้ยินการสนทนาที่ร้อนระอุมากขึ้นเรื่อย ๆ และเห็นว่าคณบดีหลายคนเริ่มโกรธ ใบหน้าของเฉินอินเซิงจึงคล้ำลง เขาจึงตะโกนออกมาทันที “เหตุผลที่ฉันขอให้พวกคุณมาที่นี่ในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อให้มาคุยเรื่องนี้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทุกคนก็ปิดปากเงียบทันทีและไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย

“พวกเราอยู่ที่นี่ในฐานะมหาวิทยาลัย ไม่ใช่แพทย์แผนจีน แพทย์ในมหาวิทยาลัยของพวกเราต่างก็เป็นอาจารย์ และนักศึกษาก็คือนักศึกษา หากพวกเขาต้องการสร้างกระแส ก็ให้พวกเขาทำกับคนในวงการแพทย์แผนจีน ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยของพวกเรา!”

เฉินอินเซิงมองไปยังคณบดีหลายคนที่กำลังไม่พอใจ แล้วพูดออกมาว่า “จากนี้ไป พวกคุณต้องเข้มงวดกับอาจารย์ทุกคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของพวกคุณ และฉันก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปเกี่ยวข้องหรือแม้แต่ยอมรับคำท้าเด็ดขาด!”

“ฉันจะพูดอีกครั้ง ที่นี่คือมหาวิทยาลัย เรื่องแบบพวกนี้เราควรเพิกเฉย มันจะดีสำหรับพวกคุณ และอาจารย์ทุกคนก็จะสามารถสอนนักศึกษาได้อย่างสบายใจ ดังนั้นให้ถือซะว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เข้าใจไหม?”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว คณบดีทุกคนก็พยักหน้า และมองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้ เพราะพวกเขายังรู้สึกโกรธอยู่ และยังต้องการที่จะยอมรับคำท้าเหมือนกับอาจารย์คนอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัย แม้ว่าพวกเขาอยากจะตบหน้าของหลี่เหวินป๋อด้วยมือทั้งสองข้างมากแค่ไหน แต่ก็ทำไม่ได้…

ในเมื่อเฉินอินเซิงพูดแบบนี้แล้ว พวกเขาจะทำอะไรได้อีก?

เมื่อบทสรุปการประชุมถูกประกาศออกมาแล้ว การประชุมจึงสิ้นสุดลง คณบดีทั้งหมดต่างส่ายหัวและพากันทยอยจากไป

เฉินอินเซิงก็กลับไปที่ห้องทำงาน เรื่องนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อเขาเท่าไหร่ แต่มีผลกระทบเพียงอย่างเดียว นั่นคืออารมณ์ของอาจารย์เหล่านั้น เขาไม่อยากเห็นว่าอาจารย์ที่ไร้ความสามารถกล้ายอมรับคำท้านั้น

การยอมรับคำท้า…

ถ้าชนะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าแพ้ มันจะขายหน้าไปทั่วประเทศ!

ถึงแม้ว่าสถานการณ์นั้นยังไม่เกิดขึ้น แต่ถ้ามันเกิดขึ้นล่ะ?

ดังนั้นเขาต้องกันไว้ดีกว่าแก้

อีกทั้งเฉินอินเซิงยังไม่ต้องการให้เรื่องนี้กระทบกระเทือนต่อบรรยากาศของมหาวิทยาลัย และการเรียนของนักศึกษา เขาก็เลยต้องออกคำสั่งลงไป

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

แล้วเมื่อวันเวลาผ่านไป เรื่องนี้ก็ได้สร้างกระแสและดึงดูดความสนใจของผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่อาจเป็นเพราะเหล่าแพทย์แผนจีนเพิกเฉยต่อสิ่งนี้หรือไม่ก็กำลังปกป้องภาพลักษณ์ของพวกเขาอยู่ ทำให้ไม่มีใครออกมายอมรับคำท้าเลย

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นอย่างนี้แล้ว หลี่เหวินป๋อก็ยิ่งหยิ่งผยองขึ้นทันที

‘นี่คือวงการแพทย์แผนจีนที่พวกคุณภาคภูมิใจ? พวกคุณไม่มีแม้แต่ตัวแทนเลยเหรอ หรือคิดว่าเงินรางวัลที่ฉันให้มันน้อยเกินไป? ฉันชักอยากจะรู้แล้วว่า แพทย์แผนจีนผู้ชาญฉลาดอย่างพวกคุณกล้าที่จะยืนหยัดรับคำท้าหรือไม่ หากคิดว่าเงินรางวัลน้อยเกินไป งั้นฉันจะเพิ่มเงินรางวัลให้เป็นหนึ่งล้านหยวน มีใครกล้ารับคำท้านี้บ้าง!’

เมื่อมีโพสต์นี้ปรากฏขึ้นมา ทำให้ชาวเน็ตฮือฮาทันที

เรียกว่าหลี่เหวินป๋อกำลังกดดันวงการแพทย์แผนจีนทุกย่างก้าว!

ผู้มีอิทธิพลในวงการแพทย์แผนจีนหลายคนถูกสัมภาษณ์เพื่อให้อธิบายวิธีการวินิจฉัยชีพจรสำหรับการตั้งครรภ์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ให้คำตอบอย่างชัดเจนว่าจะยอมรับคำท้าหรือไม่ แต่พวกเขาก็ได้ชี้แจงให้ทุกคนเข้าใจการแพทย์แผนจีน

แต่ดูเหมือนว่าหลี่เหวินป๋อจะสร้างปัญหาขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อกดดันพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง นี่จึงทำให้แพทย์แผนจีนทั่วประเทศเดือดดาลทันที

พวกเขาทั้งหมดจึงเข้าเวยป๋อไปโต้เถียงกับหลี่เหวินป๋อทีละคน

เวลายังคงผ่านไปเรื่อย ๆ

พริบตาเดียวก็ถึงวันพฤหัสบดีแล้ว

ภายใต้การกดดันของหลี่เหวินป๋อ ก็ยังไม่มีใครในวงการแพทย์แผนจีนออกมายอมรับคำท้าเลยสักคนเดียว

สิ่งนี้ทำให้หลี่เหวินป๋อรู้สึกหยิ่งผยองมากขึ้นกว่าเดิม

[1] การตรวจ HCG คือ การตรวจการตั้งครรภ์โดยใช้หลักการตรวจหาฮอร์โมนเอชซีจี (Human Chorionic Gonadotropin หรือ HCG)

[2] ชีพจรลื่น คือ การเต้นของชีพจรจะมีลักษณะเร็ว

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน