บทที่ 204 ฉันจองตั๋วแล้ว ไม่เจอไม่กลับ!
บทที่ 204 ฉันจองตั๋วแล้ว ไม่เจอไม่กลับ!
ฟางชิวตกตะลึงตาเบิกกว้างรีบคว้าโทรศัพท์มาดูทันที ในวินาทีต่อมา เขาก็พูดไม่ออก เพราะอาจารย์คนนี้ไม่เพียงจะชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นแล้ว แต่ยังชอบตีฝีปากกับคนอื่นอีกด้วย!
“สี่วัน?”
เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนเวยป๋อแล้ว ฟางชิวก็คืนโทรศัพท์ให้สวีเมี่ยวหลิน ก่อนพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “อาจารย์สวี ผมจะเรียนรู้วิธีวินิจฉัยชีพจรการตั้งครรภ์ภายในสี่วันได้จริง ๆ เหรอครับ? นี่… อาจารย์กำลังขุดหลุมฝังศพผมหรือเปล่า?!”
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน?” สวีเมี่ยวหลินเชิดหน้าขึ้นตบไหล่ชายหนุ่ม “เธอต้องเชื่อมั่นในตัวเองสิ”
ฟางชิวยิ้มเศร้า เขาเชื่อมั่นในตัวเอง แต่จะเชื่อในปาฏิหาริย์ได้อย่างไร เพราะมันเหมือนกับการขอให้เด็กมัธยมต้นเขียนวิทยานิพนธ์ …ความยากลำบากนี้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว!
เฮ้อ… เจอแบบนี้เข้าใครมันจะไปมั่นใจได้?
เมื่อเห็นสีหน้าย่ำแย่ของลูกศิษย์ สวีเมี่ยวหลินก็ยกชาขึ้นจิบอึกใหญ่และคีบผักลงในชาม ก่อนจะพูดอย่างผ่อนคลาย “ไอ้หนู มันไม่ง่ายเลยที่เธออยากเป็นหมอระดับปรมาจารย์ภายในหนึ่งปีครึ่ง ดังนั้นเรื่องนี้เป็นความลำบากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
ฟางชิวรู้สึกอึ้งทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
ใช่แล้ว
เขาอยากเป็นหมอระดับปรมาจารย์ภายในหนึ่งปีครึ่ง อีกทั้งต้องเก่งทุกวิชาด้วย เพราะตาเฒ่ายังรอเขาอยู่!
“ถ้าเธอยังผ่านมันไปไม่ได้ แล้วจะเป็นหมอระดับปรมาจารย์ให้สำเร็จภายในปีครึ่งได้อย่างไร” สวีเมี่ยวหลินถาม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟางชิวก็พ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ และพูดว่า “ถ้างั้นผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดครับ!”
ในสายตาของคนเป็นอาจารย์ ฟางชิวเป็นนักศึกษาที่มีสติปัญญาดี
ฟางชิวเปิดใจยอมรับทุกอย่างได้รวดเร็วในทุกสถานการณ์ และก้าวข้ามทุกขีดจำกัดไปได้ไม่ว่าจะยากแค่ไหน ไม่อย่างนั้นฟางชิวจะกลายเป็นลูกศิษย์ของเขาได้อย่างไรกัน?
ความจริงฟางชิวก็ตัดสินใจแล้ว นับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจเรียนแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาตาเฒ่า เขาก็ไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้เลย สิ่งที่เขาต้องการทำคือใช้พลังทั้งหมดเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่ง
ดังนั้นเขาจึงทุ่มเวลาไปกับการอ่านหนังสือ และใช้ทุกโอกาสเพื่อเรียนรู้ เขาจึงคว้าแชมป์ในการแข่งขันความรู้ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงมาเป็นลูกศิษย์ของสวีเมี่ยวหลินได้
ชายหนุ่มไม่เคยลืมสิ่งที่เขาพูดกับรูมเมตทั้งสามคน ‘ฉันอยากเป็นสัญญาณนำทางทุกคนที่เรียนแพทย์แผนจีนและสร้างความมั่นใจให้แก่พวกเขา!’
ด้วยความปรารถนาเช่นนี้ ทำให้ฟางชิวมองเห็นอนาคตที่สดใส ในเวลาที่เขากำลังหมกมุ่นอยู่กับความสิ้นหวังและอารมณ์ที่ขมขื่น
ดังนั้น การท้าทายนี้จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่ต้องเอาชนะให้ได้ก็พอ!
การจับชีพจรการตั้งครรภ์เป็นเรื่องยากขนาดนั้นเลยหรือ? แค่เพียงตั้งใจเรียนรู้มันก็ได้แล้ว!
เขาไม่เป็นที่ยอมรับ? ไม่เป็นไร เขาจะทำให้ทุกคนยอมรับเอง!
เจอหมออวดดีของการแพทย์แผนตะวันตก? แค่ทำให้มันเสียใจก็ใช้ได้แล้ว!
เวลานี้ฟางชิวรู้สึกมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม
“ผมจะเริ่มเรียนรู้การจับชีพจรการตั้งครรภ์ได้ตอนไหน” ฟางชิวเอ่ยถามทันที
“ไม่ต้องรีบร้อน เอาไว้พรุ่งนี้ละกัน” สวีเมี่ยวหลินคลี่ยิ้มอีกครั้ง
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ สวีเมี่ยวหลินก็ได้มอบบัญชีเวยป๋อและรหัสผ่านของ ‘แกมันก็งั้น ๆ แหละ’ ให้กับฟางชิวอย่างเป็นทางการ
“ตั้งแต่วันนี้ บัญชีเวยป๋อนี้… เธอเป็นคนจัดการแล้วกัน”
เมื่อเห็นฟางชิวเข้าสู่ระบบสำเร็จ สวีเมี่ยวหลินก็พูดต่อ “อย่าทำลายรูปลักษณ์ที่ทรงพลังและความกล้าหาญที่ฉันปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ล่ะ เข้าใจไหม?”
ฟางชิว “…”
“เธอรู้ไหมว่า…” สวีเมี่ยวหลินบ่นว่า “ในการยืนยันตัวตนบัญชีนี้ ฉันได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนหลายคน”
ฟางชิวพูดไม่ออกมากยิ่งขึ้นพลางคิดในใจ …ฉันไม่ได้ขอให้คุณทำสักหน่อย! ฉันก็ตกเป็นเหยื่อเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
หลังจากที่สวีเมี่ยวหลินขับรถออกไปแล้ว ฟางชิวก็กลับไปที่มหาวิทยาลัยคนเดียว ระหว่างทางก็ว่าพบมีโทรศัพท์หลายสายที่ไม่ได้รับ
แต่ก็จำได้ว่าตั้งค่าโทรศัพท์เอาไว้เป็นโหมดเงียบตอนที่อยู่ห้องสมุด
ฟางชิวรีบเปิดดูสายที่ไม่ได้รับทันที ปรากฏว่าเป็นเจียงเหมี่ยวอวี๋กับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยที่โทรมากว่าสิบครั้ง แต่ไม่ได้รับสายใครเลย
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฟางชิวก็โทรหาเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย
“[เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่รับโทรศัพท์]” เมื่อปลายสายกดรับ เสียงของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็ดังขึ้นทันที
“ตอนนั้นฉันอยู่กับอาจารย์น่ะ ปิดเสียงโทรศัพท์ไว้ด้วย” ฟางชิวหัวเราะออกมา
“[งั้นเหรอ]” เดิมทีเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยสะสมความโกรธเอาไว้มากเพราะความกังวล แต่ในตอนนี้มันลดลงไปมากกว่าครึ่ง เพราะข้อแก้ตัวของฟางชิว
“[ทำไมนายทำอย่างนั้น?]” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามออกมา
“หา?” ฟางชิวรู้สึกงงงวย “ฉันทำอะไรล่ะ”
“[ก็การท้าทายจับชีพจรตั้งครรภ์ไง!]”
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยตอบอย่างโกรธ ๆ ว่า “[ฉันรู้ว่านายเก่ง เป็นคนเรียนเก่งและเป็นนักศึกษาดีเด่นมาโดยตลอด แต่เป็นเพียงนักศึกษาปีหนึ่งและเพิ่งจะเรียนรู้การแพทย์แผนจีนได้แค่ไม่กี่วันเอง นายกล้ายอมรับคำท้านั่นได้ไง? เห็นอยู่ว่าเขาพยายามเรียกร้องความสนใจ แล้วทุกคนก็รู้กันทั่ว ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายจะมองไม่ออก และไม่ว่าจะชนะหรือไม่ก็ตาม นายกำลังช่วยให้เขาได้รับความนิยม …รู้ไหม]”
“ฉันรู้…” ฟางชิวเผยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวออกมา
เขาบอกได้ว่าเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกำลังโกรธมากกับการกระทำที่โง่เขลาของเขา แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังปกป้องเขา ซึ่งเป็นการปกป้องจากก้นบึ้งของหัวใจ
“[แล้วทำไมถึงทำอย่างนั้น]” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยถามต่อเสียงอ่อน “[นายรู้ไหมว่าตอนนี้นายกลายเป็นศัตรูของสาธารณชนแล้ว? ทำไมถึงชอบบังคับตัวเองให้ทำสิ่งที่ไร้ค่าอยู่เสมอ]” ในช่วงท้ายประโยค น้ำเสียงของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็นุ่มนวลขึ้น
“ฉันไม่อยากทำเหมือนกัน” ฟางชิวถอนหายใจออกมาเบา ๆ “อดีตเพื่อนร่วมชั้นของเธอถูกใครบางคนหลอก และฉันก็เพิ่งจะรู้เรื่องนี้เมื่อกี้นี้เอง ตอนนี้เพื่อนของเธอไม่ได้รับความเป็นธรรม”
“[หมายความว่าไง?]” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยรู้สึกสับสนจึงรีบถาม “[เกิดอะไรขึ้นกันแน่?]”
“อย่ากังวลไปเลย บางทีฉันอาจจะชนะก็ได้” ชายหนุ่มยกยิ้ม “ช่วยเชื่อใจอดีตเพื่อนร่วมชั้นของเธอหน่อย”
“[แต่ว่า…]” หญิงสาวอ้าปากเตรียมเอ่ย แต่เธอก็สรรหาคำใดมาพูดไม่ได้
“โอเค ไม่ต้องห่วง” ฟางชิวถอนหายใจ “มันเป็นข้อสรุปที่ทราบกันดีอยู่แล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องกังวล อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด นอกจากนี้ฉันไม่ใช่คนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ง่าย ๆ อยู่แล้ว แม้ว่าจะล้ม ฉันก็จะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เธอรู้จักฉันดีนี่”
“[อืม]” น่าแปลกที่เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยตอบอย่างอ่อนโยนโดยไม่ซักถามอีกต่อไป
เธอรู้จักฟางชิวดี ผู้ชายคนนี้เป็นผู้ชายที่มีหัวใจที่แข็งแกร่งมาก เว้นแต่เขาจะตั้งใจ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครเอาชนะเขาได้เลย ก็เป็นอย่างที่เขาพูด แม้จะล้มสักกี่ครั้งก็ยังจะยืนหยัดได้เสมอ
ทั้งสองคุยกันอีกพักหนึ่ง ในที่สุดการโทรก็จบลงด้วยคำเตือนต่าง ๆ ของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย
หลังจากพูดคุยกับฟางชิวแล้ว เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็รู้สึกโล่งใจชั่วคราว
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เธออยู่ห่างจากฟางชิวมาก และแม้ว่าอยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่เธอก็ทำไม่ได้
เธอเชื่อใจฟางชิว แม้ว่าตอนนี้เขาจะกลายเป็นศัตรูต่อสาธารณชนแล้วก็ตาม แต่เธอยังคงให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่
หลังจากวางสาย ฟางชิวก็โทรหาเจียงเหมี่ยวอวี๋ต่อ
“[นาย… นายไม่เป็นไรใช่ไหม]” แตกต่างจากน้ำเสียงที่เป็นกังวลของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย เจียงเหมี่ยวอวี๋ถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลมาก “[ฉันโทรหานายหลายครั้งแล้ว แต่นายก็ไม่รับ]”
“ฉันสบายดี” ฟางชิวพยักหน้าและตอบว่า “ฉันเพิ่งออกมากับอาจารย์สวี …ตอนนี้กำลังกลับมหาวิทยาลัยน่ะ”
“[ฉันได้ยินเรื่องการท้าทายจับชีพจรตั้งครรภ์แล้วนะ]” เจียงเหมี่ยวอวี๋ถามด้วยความกังวล “[ในฐานะนักศึกษาแพทย์แผนจีน ฉันคิดเหมือนกับนายว่า พวกเราต่างอยู่ในวงการแพทย์แผนจีน แต่การที่พวกเราจะลงสนามจริงเลย มันดูไม่เหมาะสมไปหรือเปล่า?]”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟางชิวก็ยิ้มออกมา เพราะคำถามของเจียงเหมี่ยวอวี๋มีไหวพริบมาก ราวกับว่าเธอไม่ตั้งใจที่จะถามออกมาตรง ๆ
“แล้วถ้าฉันบอกว่านี่ไม่ใช่ความคิดของฉันเอง แต่มีคนยอมรับคำท้าแทนฉัน เธอจะเชื่อไหม?” ฟางชิวถาม
“[อะไรนะ?]” เจียงเหมี่ยวอวี๋ตกตะลึง “[แล้วใครทำล่ะ?]”
“ฉันยังเปิดเผยไม่ได้ในขณะนี้” ฟางชิวส่ายหัว เขาไม่อยากทำให้ชื่อเสียงของสวีเมี่ยวหลินแปดเปื้อน
“[อืม]” เจียงเหมี่ยวอวี๋พยักหน้าและพูดว่า “[ถ้าอย่างนั้นฉันก็โล่งใจ ฉันรู้ว่านายไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น แต่…]”
“แต่อะไร?” ชายหนุ่มถามอีกครั้ง
“[ทางมหาวิทยาลัยประกาศออกมาแล้ว…]” เจียงเหมี่ยวอวี๋หยุดชั่วครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “[…ว่าการยอมรับคำท้าของนาย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยและเป็นเรื่องส่วนตัวของนายเท่านั้น]”
“หึ เหมือนกับที่ฉันคิดไว้เลย” ฟางชิวพยักหน้าเบา ๆ เพราะทุกวันนี้เฉินอินเซิงก็ต่อต้านเขา และตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว เฉินอินเซิงต้องโกรธมากแน่นอน แต่กระนั้นจะยังไม่ไล่เขาออกในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้
…และสิ่งเดียวที่เฉินอินเซิงทำได้คือการตัดความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยกับตัวเขาออก
ในตอนที่สวีเมี่ยวหลินบอกเขาเกี่ยวกับการท้าทายจับชีพจรตั้งครรภ์ เขาก็นึกถึงเรื่องนี้แล้ว
“[นายจะไปสู้จริง ๆ เหรอ]” เสียงของเจียงเหมี่ยวอวี๋ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ใช่!” ชายหนุ่มตอบเสียงหนักแน่น “ในสถานการณ์นี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ไป”
“[ฉันเชื่อใจนายนะ]” ปลายสายตอบกลับทันที
“อื้ม ขอบใจนะ” ฟางชิวเผยรอยยิ้มออกมา “ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อให้สมกับความเชื่อใจของเธอ”
“[เอาเถอะ]” หญิงสาวยิ้มบาง “[ในเมื่อนายมั่นใจมาก ฉันก็ทำได้แค่สนับสนุนนายจนถึงที่สุด]”
ทั้งสองพูดคุยกันสักพัก จากนั้นฟางชิวก็วางสายโทรศัพท์
“วันอังคารหน้า?”
ขณะที่ฟางชิวกำลังจะวางโทรศัพท์ลง จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเวลานัดหมายที่หลี่เหวินป๋อกำหนดคือวันอังคารหน้า
แต่วันอังคารมีเรียน เขาต้องขอลาเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ ด้วยความคิดนั้นจึงต่อสายหาหลิวเฟยเฟยผู้เป็นอาจารย์ประจำชั้นทันที
“[ฮัลโหล?]” เมื่อต่อสายได้แล้ว เสียงของคนเหม่อลอยก็ดังขึ้นมา ดูเหมือนว่าผู้พูดจะยุ่งกับงาน
“อาจารย์หลิว นี่ฟางชิวนะครับ” ชายหนุ่มกรอกเสียงพูดลงไป
“[อา?]” หลิวเฟยเฟยตะลึงงันจนวางงานในมือลง “[เธอมีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า]”
“ไม่ครับ ผมแค่อยากจะขอลา” ฟางชิวอธิบาย “ผมมีบางอย่างต้องทำในวันจันทร์ วันอังคาร และวันพุธหน้าน่ะครับ เลยอยากจะขอลาจากอาจารย์ก่อน …หวังว่าอาจารย์จะอนุมัติ”
“[เธอจะไม่ไปถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากฉันเหรอ?]” หลิวเฟยเฟยพูดติดตลก
“เอ่อ…” ฟางชิวจับท้ายทอยด้วยความเขินอาย
“[เอาเถอะ ฉันจะไม่พูดอะไรแล้ว ยังไงก็ตาม… สู้ ๆ นะ!]” หลิวเฟยเฟยกล่าว
“ครับ!” ฟางชิวพยักหน้า
หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็ลงชื่อเข้าใช้แอป 12306 เพื่อจองตั๋วรถไฟความเร็วสูงไปยังเมืองหลวงในเช้าวันอังคาร แล้วแคปหน้าจอไว้
“ด้วยวิธีนี้ ภาพลักษณ์อันกล้าหาญของอาจารย์จะไม่ป่นปี้ใช่ไหมครับ”
หลังจากแคปภาพหน้าจอแล้ว ฟางชิวก็หัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของสวีเมี่ยวหลิน
จากนั้นเขาก็ลงชื่อเข้าใช้เวยป๋ออย่างรวดเร็ว แล้วโพสต์ภาพหน้าจอที่มีตั๋วลงไป โดยเขียนแคปชันว่า [ฉันจองตั๋วแล้ว ไม่เจอไม่กลับ! แกคิดว่าแกเป็นใคร! @หลี่เหวินป๋อ]
เมื่อโพสต์เสร็จฟางชิวก็เก็บโทรศัพท์ทันที โดยไม่คิดที่จะอ่านความคิดเห็นใด ๆ เลย จากนั้นเขาก็เดินตรงไปยังมหาวิทยาลัย