ตอนที่ 1 ชำระหนี้
ในรัชศกต้าเฉิงปีที่ 23 เจิ้นอันอ๋องได้เคลื่อนทัพกลับไปยังทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมลฑลจิ้งโจวหลังจากชนะศึกสงคราม แต่จักรพรรดิอู่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้สำเร็จโทษเขาในข้อกล่าวหาสมคบคิดกับกบฏ
6 วันต่อมา จักรพรรดิอู่สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันขณะที่อยู่ในห้องทรงอักษร องค์รัชทายาทหลิงเหวินจึงได้ขึ้นสืบราชบังลังก์และสถาปนาตนเป็นจักรพรรดิไท่เหอ จากนั้นได้มีการแต่งตั้งศาลตุลาการและสำนักตรวจการเพื่อสอบสวนการสมคบคิดกับกบฏของเจิ้นอันอ๋องโดยละเอียด
ภายในระยะเวลาเพียงครึ่งเดือน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลายพันคนถูกตัดสินโทษประหารชีวิตทั้งหมด บริเวณลานประหารราวกับถูกอาบย้อมไปด้วยแม่น้ำสายโลหิต ดูน่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ท้องฟ้าอยู่สูงเพียงใด องค์จักรพรรดิย่อมอยู่ห่างไกลฉันนั้น
ชาวบ้านยากจนในชนบทหาได้มีใครสนใจไม่ว่าผู้ใดจะครองบัลลังก์มังกร พวกเขาสนใจเพียงแม่หมูของตระกูลหยุน ซึ่งออกลูกมากว่า 20 ตัวในคราวเดียวต่างหาก!
ณ มณฑลอันผิง หมู่บ้านไป๋ซี
หยุนเชวี่ยคาบต้นหญ้าเอาไว้ในปากขณะนั่งอยู่ริมแม่น้ำ นางมองดูกังหันน้ำส่งเสียงดังเอี๊ยด ๆ และหมุนคันโยกไปมา
“โป๊ก โป๊ก โป๊ก!” เสียงไม้ตีเป็นจังหวะจนน้ำสาดกระเซ็นโดนขากางเกงของนาง
“เชวี่ยเอ๋อ สิ่งนี้ใช้ซักเสื้อผ้าได้จริงหรือ?” บรรดาลูกสะใภ้และเด็กผู้หญิงในหมู่บ้านต่างมามุงด้วยความสงสัย
“อืม” หยุนเชวี่ยมองดูอยู่สักพักจึงเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย
ราวครึ่งเดือนก่อน เกิดอุบัติเหตุระเบิดขึ้นในห้องทดลอง ส่งผลให้นางโผล่มายังยุคราชวงศ์ต้าเหลียงซึ่งไม่เคยปรากฏในหนังสือประวัติศาสตร์ใด ๆ หยุนเชวี่ยต้องเริ่มทำงานตั้งแต่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า กว่าจะได้พักผ่อนอีกทีก็เป็นตอนพระอาทิตย์ลาลับไป ช่างเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนจะน่าเบื่อ
ทุกวันนอกจากความวุ่นวายที่บ้านแล้ว ยังมีงานจิปาถะไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นเก็บฟืน ให้อาหารไก่ ตัดหญ้า ก่อไฟทำอาหาร และซักเสื้อผ้า
หยุนเชวี่ยไม่คุ้นชินกับการทำงานหนักตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเย็นย่ำเริ่มหน้ามืดตาลาย นางทิ้งตัวลงที่โต๊ะอาหาร สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ทั้งบะหมี่ ซาลาเปานึ่ง หรือโจ๊ก มีเพียงข้าวไม่ขัดสีกับผักดองประทังชีวิต
เป็นเวลากว่า 10 วันแล้วที่ไม่มีอาหารดี ๆ ตกถึงท้อง
ไม่ใช่ว่าตระกูลหยุนยากจนข้นแค้นจนไม่มีข้าวกิน กลับกันครอบครัวผู้เฒ่าหยุนถือเป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้านไป๋ซี
ในช่วงปีแรกที่เกิดการจราจลทางตะวันตกเฉียงใต้ ทางราชสำนักได้ส่งกองทัพทหารไปปราบปราม หยุนลี่เต๋อพ่อของหยุนเชวี่ยก็อยู่ในกองทัพนั้นเช่นกัน หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือดอยู่หลายครั้งหลายครา ขาของเขาก็ได้รับบาดเจ็บจนหัก ทำให้ความสามารถในการต่อสู้เริ่มถดถอย
ทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสงครามจะถูกส่งตัวกลับบ้านเกิดและทางราชสำนักได้มอบรางวัลชดเชยเป็นที่ดิน 50 ไร่ รวมทั้งได้รับการยกเว้นภาษีไร่นา
ตามหลักแล้วเขาควรจะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ทว่าน่าเสียดายที่หยุนลี่เต๋อไม่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้
เงินทุกเหรียญ ข้าวทุกเม็ดของตระกูลหยุนล้วนตกอยู่ในกำมือของแม่เฒ่าจู ผู้ขึ้นชื่อเรื่องความตระหนี่ถี่เหนียว
เมื่อนึกถึงแม่เฒ่าจูและครอบครัวอันแสนวุ่นวาย หยุนเชวี่ยรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด หลังจากนั่งพักไม่นานก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียก
“เชวี่ยเอ๋อ! มีคนมาโวยวายที่หน้าบ้านตั้งนาน เหตุใดเจ้าถึงยังนั่งเล่นอยู่ที่นี่!”
ผู้มาเยือนมีนามว่าเหอยาโถว เขาแต่งกายคล้ายเด็กผู้หญิง ผิวพรรณบอบบางเนียนนุ่ม เมื่อพินิจดูอย่างละเอียดถึงจะรู้ว่าเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักผู้หนึ่ง
ทั้งนี้เนื่องจากหมอดูได้ทำนายไว้ว่าเขาจะเกิดมาเป็นเด็กผู้หญิง แต่สวรรค์ส่งลูกมาผิด ทางตระกูลเหอกลัวว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานและจะถูกสวรรค์พาตัวกลับไป จึงเลี้ยงดูให้เขาเติบโตมาแบบเด็กผู้หญิง
เหอยาโถวโบกมือเรียวราวกล้วยไม้ไปมา หยุนเชวี่ยเห็นอย่างนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นปัดเศษหญ้าออกจากสะโพก แล้วเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ “ผู้ใดกัน?”
ตัวนางตอนนี้เป็นเพียงเด็กสาวในชนบทอายุแค่ 12 ปี บนไหล่ไม่สามารถออกแรงแบกของหนักหรือทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้มากนัก
“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าได้ยินเสียงตะโกนมาแต่ไกล ฟังดูน่ากลัวยิ่งนัก เหมือนว่าจะมาตามหาพ่อของเจ้า รีบไปดูกันเถอะ!” เมื่อเหอยาโถวเห็นท่าทีเอื่อยเฉื่อยของหยุนเชวี่ยก็พูดเสียงดังกว่าเดิมพร้อมกับฉุดแขนของนางให้รีบวิ่งไปทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน
“พ่อข้าหรือ?” หยุนเชวี่ยประหลาดใจ
ตระกูลหยุนมีพี่น้องสามคน ลุงใหญ่หยุนลี่จงเป็นบัณฑิตศึกษาตำรานักปราชญ์มาครึ่งค่อนชีวิตแต่กลับไร้ความสามารถ สอบขุนนางไม่ได้สักที
ส่วนอาสามหยุนลี่เซี่ยวนั้น อักษรใด ๆ ล้วนไม่รู้จัก เมื่อเปิดปากพูดวาจาล้วนเต็มไปด้วยความคดโกงเห็นแก่ได้ ใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้านไปวัน ๆ
และหยุนลี่เต๋อพ่อของนาง แม้เขาจะเป็นทหารอยู่ในกองทัพ แต่ก็รับผิดชอบหน้าที่ของตนเองอย่างขยันขันแข็ง ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนบ้านคนใด ผู้ชายอย่างเขาหรือจะสร้างปัญหาให้แก่ผู้อื่นได้?
“ข้าไปแอบดูมา คนพวกนั้นหาใช่คนในหมู่บ้านของเรา เชวี่ยเอ๋อเจ้าอย่าได้กังวล ตราบใดที่พวกเรายังอยู่ ใครจะปล่อยให้คนนอกมารังแกถึงหน้าบ้านได้ จริงหรือไม่?” เหอยาโถวถกแขนเสื้อขึ้น ยกสองมือเท้าสะเอว และถุยน้ำลายลงพื้น แสดงท่าทางราวกับหญิงปากร้ายที่ชอบด่ากราดอยู่ตามข้างถนน
ห่างออกไปประมาณ 10 ก้าว หยุนเชวี่ยเห็นคนกลุ่มหนึ่งรุมทึ้งกันอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน พร้อมทั้งส่งเสียงตะคอกอันหยาบกระด้างออกมา “ทำสิ่งใดย่อมมีหลักฐาน เป็นหนี้ต้องชำระ หากผู้ใดกล้าบิดพลิ้ว… หึ!”
ชายผู้นั้นยิ้มเยาะ ฉับพลันน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “อย่าหาว่าข้าไม่ปรานี!”
ไม่ทันสิ้นเสียง เหล่าชายฉกรรจ์ 7-8 คนก็กรูเข้าไปรุมล้อม
“ท่านพ่อ!” หยุนเยี่ยนพี่สาวคนโตของนางตะโกนร้องอย่างเจ็บใจ
หยุนเชวี่ยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งตัวไปข้างหน้า โดยมีเหอยาโถวทั้งวิ่งทั้งก่นด่าตามหลังมา “เฮ้! นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกัน กล้าดี…”
คำพูดอีกครึ่งหนึ่งติดอยู่ในลำคอ เด็กสาวปลอม ๆ ผู้นี้ถึงกับสะอึก ท่าทางห้าวหาญไม่ยอมคนหายไปทันที
เพียงแค่เห็นว่ากลุ่มคนที่มาก่อความวุ่นวายล้วนเป็นชายร่างกายกำยำ ท่าทางโหดร้าย อีกทั้งหยุนลี่เต๋อที่ตัวสั่นงันงกยังถูกชาย 3-4 คนจับตัวไว้ หยุนเยี่ยนและเปาจื่อร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว ส่วนอาสามหยุนลี่เซี่ยวกับอาสะใภ้เฉินเมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน จึงรีบหลบซ่อนตัวรอชมเรื่องสนุกอย่างตื่นเต้น
มีเพียงหยุนเหรินที่กำหมัดแน่นพร้อมจะก้าวออก แต่กลับถูกนางเฉินผู้เป็นแม่รั้งไว้พร้อมทั้งส่งสายตาห้ามปราม “หาใช่เรื่องของเจ้า!”
เหอยาโถวรู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะปิดปากของตนเอาไว้และดึงหยุนเชวี่ยให้ถอยออกมา
แต่ก่อนที่หยุนเชวี่ยจะตะโกนออกไป ชายหน้าตาถมึงทึงที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก็กระโดดเตะเข้าที่หน้าอกของหยุนลี่เต๋ออย่างแรง
หยุนลี่เต๋อเป็นคนซื่อสัตย์ ทั้งยังเป็นชายที่แข็งแกร่ง เขากัดฟันแน่นจนเส้นเลือดที่หน้าผากปูดโปนออกมา ไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้อง
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของนาง ช่วงหลายวันที่ผ่านมาเขาดูแลและทะนุถนอมนางจากใจจริง หยุนเชวี่ยทนต่อไปไม่ไหวจึงสะบัดตัวจากเหอยาโถว “หากมีอะไรก็ควรพูดกันด้วยเหตุผล พ่อของข้าไปทำอันใดให้พวกท่านไม่พอใจกัน?”
ปรากฏภาพเด็กสาวอายุ 10 กว่าขวบก้าวเท้าออกมายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าหยุนลี่เต๋อ ขณะที่พูดก็หันมาเผชิญหน้ากับชายหน้าตาดุดัน ท่าทางที่แสดงออกมาไม่หยิ่งผยองแต่ก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงที่แสดงถึงความหวาดหวั่น
ทุกคนต่างตกตะลึง
แม่นางเหลียนรีบกระซิบเรียกลูกสาวของตน “เชวี่ยเอ๋อ รีบออกมา…”
หยุนเชวี่ยขมวดคิ้ว ไม่รับฟังอะไรทั้งสิ้น
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่มีแม่เอาแต่ร้องไห้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“เขาเป็นพ่อของเจ้ารึ?” หนวดของชายผู้นั้นกระตุกขึ้น
“ใช่”
“แล้วเจ้าชื่ออะไร?”
“หยุนเชวี่ย”
เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงตัวเล็กผู้นี้หาได้มีท่าทีหวาดกลัวสิ่งใด ชายหน้าดุจึงแสยะยิ้มขึ้นมา “พ่อของเจ้าติดหนี้ข้าอยู่ หากเขาไม่มีปัญญาชดใช้ เช่นนั้นก็ขายเจ้าใช้หนี้ข้าแล้วกัน”
เมื่อเแม่นางเหลียนได้ยินประโยคนี้ ก็ยิ่งร้องไห้ออกอย่างน่าเวทนา
หยุนเชวี่ยพลันรู้สึกว่าจะต้องรีบเค้นสมองออกมาเพื่อหาทางหยุดเสียงร้องไห้ของนาง จึงหายใจเข้าลึก ๆ และหันไปถามหยุนลี่เต๋อ “ท่านพ่อ ท่านไปกู้เงินเขามาจริงหรือ?”
หยุนลี่เต๋อพยายามดิ้นรนจากการจับกุมแต่ก็หนีไม่พ้น จึงทำได้เพียงส่ายหัวตอบลูกสาว
หยุนเชวี่ยรู้ดีว่าเขาไม่มีทางโกหก จึงพูดออกมาเสียงดังด้วยความมั่นใจ “ถ้าเช่นนั้นก็ให้ตรวจสอบหลักฐาน อีกอย่างลายมือไม่สามารถปลอมแปลงได้ เหอยาโถว เจ้าไปเชิญหวังหลี่เจิ้งมาเป็นพยาน หากยังไม่รู้แน่ชัดก็ไปที่ว่าการอำเภอ ย่อมช่วยตัดสินถูกผิดให้เราได้!”
“ใช่แล้ว คนซื่อตรงไม่ต้องกลัวคำกล่าวหา รอก่อนเถิด!” เหอยาโถวรับคำพร้อมทั้งชูมือขาวราวดอกกล้วยไม้ขึ้นมา ก่อนจะวิ่งส่ายสะโพกออกไปด้วยท่วงท่าอันมีสเน่ห์
“เอี๊ยด…” ในตอนนี้เอง ประตูบ้านตระกูลหยุนที่ปิดไว้ได้ถูกเปิดออกมาอย่างแผ่วเบา
Related