ตอนที่ 12 บ่นเป็นหมีกินผึ้ง
บรรยากาศการรับประทานอาหารเช้ามื้อสุดท้ายก่อนแยกบ้านนั้นเป็นไปอย่างน่าอึดอัด
โดยเฉพาะแม่เฒ่าจูที่นั่งก้มหน้าอยู่บนโต๊ะ จานชามและตะเกียบถูกกระแทกกระทั้นอย่างแรงจนแทบแตก ปากก็ด่าทอแม่นางเฉินอยู่เป็นเวลานาน
จนผู้เฒ่าหยุนทนไม่ไหวตบโต๊ะเสียงดังถึงได้หยุด
หลังจากทานอาหารเสร็จก็ทำความสะอาดอย่างเรียบร้อยโดยไม่มีใครกล่าววาจาใด หยุนเชวี่ยจูงเสี่ยวอู่เพื่อไปเชิญหวางหลี่เจิ้งมาร่วมเป็นพยาน
“จากนี้ไปครอบครัวของพวกเราก็จะได้ใช้ชีวิตกันเองแล้ว เสี่ยวอู่ เจ้ามีความสุขหรือไม่?”
ทุ่งหญ้าในยามเช้า มองเห็นแมกไม้เขียวขจี น้ำค้างใสสะอาดเปล่งประกายระยิบระยับ เสียงนกร้องดังก้องกังวาล เป็นครั้งแรกที่ในใจของหยุนเชวี่ยรู้สึกว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่ดียิ่งนัก
เสี่ยวอู่พยักหน้าอย่างหนักแน่น
“รอพี่สาวหาเงินได้เยอะ ๆ แล้วจะส่งเจ้าไปเรียนหนังสือ ดีหรือไม่?”
เสี่ยวอู่หยุดคิดครู่หนึ่งและเงยหน้าขึ้นพร้อมเผยสีหน้าลังเลออก
“เจ้าเก่งกว่าลุงใหญ่แน่นอน ต้องสอบผ่านระดับจวี่เหรินแล้วก็จิ้นซื่อ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะได้เป็นถึงจ้วงหยวน เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็คงได้แต่อิจฉา ฮ่าฮ่า!”
ขณะที่พูดหยุนเชวี่ยก็ยกยิ้มอย่างมีชัย ราวกับว่าเสี่ยวอู่จะได้รับการเสนอชื่อผู้สอบผ่านการคัดเลือกเข้าเป็นขุนนางในวันพรุ่งนี้ พร้อมสวมเสื้อคลุมสีแดง
ภายใต้การกดดันของผู้เฒ่าหยุน หยุนลี่เซี่ยวไม่ได้ก่อความวุ่นวายอันใด แต่เขาก็ยังสาปส่งบ้านรองไม่เลิก
การแยกบ้านเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งยังจัดสรรปันส่วนที่ดิน สัตว์เลี้ยง ข้าวสารและไข่ในปริมาณที่เหมาะสม
หยุนเชวี่ยมีความสุขเป็นอย่างมาก หลังจากออกไปส่งหวังหลี่เจิ้งและผู้อาวุธโสอีกสองสามคนในหมู่แล้ว นางก็เดินเข้ามาหาแม่เฒ่าจูพร้อมกับบุ้งกี๋ในมือ
แม่เฒ่าจูมักจะเก็บไข่ไก่และเตรียมเตาขนาดเล็กไว้ให้ครอบครัวลูกชายโต รวมถึงหยุนชิ่ว เพื่อที่จะได้ประหยัดเงินค่าอาหาร นางจึงไม่เคยเห็นไข่ไก่เหล่านี้มาก่อน
หญิงชราจ้องมองหยุนเชวี่ยด้วยแววตาเฉือดเฉือน “บ้านนี้จะมีไข่ไก่ได้อย่างไร? ทั้งวันรู้จักแต่อ้าปากหาของกิน ตัวล้างผลาญ! ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ!”
หยุนเชวี่ยเรียนรู้วิธีการรับมือกับแม่เฒ่าจูมาจากอาสะใภ้เฉิน ไม่ว่าจะถูกนางด่าทออย่างไร เพียงแต่ทำตัวนิ่งเฉย ไม่จำเป็นต้องสะทกสะท้าน
“ท่านย่า หากไม่มีไข่ เช่นนั้นก็ฆ่าแม่ไก่เสีย ข้าจะแบ่งให้ท่านครึ่งตัว”
แม่เฒ่าจูถึงกับสำลัก ก่อนจะกรีดร้องออกมาพร้อมกับตบต้นขาด่าสาปแช่ง “นังเด็กคนนี้ จิตใจเจ้าช่างอำมหิตยิ่งนัก!”
หยุนเชวี่ยเคยชินกับการถูกนางด่าทอแล้ว เพียงชั่วพริบตาก็หันหน้าเดินจากไปอย่างไม่แยแส
แม่เฒ่าจูคิดว่านางยอมอ่อนข้อให้แล้ว แต่หยุนเชวี่ยก็ยังไม่ยอมเลิกลา นางจึงตะโกนด่าเสียงดังราวกับแสดงงิ้วโรงใหญ่อยู่กลางลานบ้าน
หยุนเชวี่ยมุ่งหน้าเข้าไปในห้องครัว ก่อจะคว้ามีดทำครัวขนาดใหญ่ขึ้นจากเขียง แล้วเดินตรงไปที่เล้าไก่
“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าคิดจะทำอะไร?” หยุนเยี่ยนร้องเรียกด้วยความหวาดกลัว
“ฆ่าไก่” นางจ้องเขม็งไปที่แม่ไก่ด้วยสายตาโหดเหี้ยม “เลือกไก่ตัวที่อ้วนที่สุดกันเถอะ!”
“นังเด็กสารเลว นั่นเจ้าจะทำอะไร!” หยุนชิ่วถือไม้กวาดวิ่งลงมาจากห้องชั้นบนอย่างฉุนเฉียว
หยุนเชวี่ยเปิดประตูเล้าไก่และก้าวฉับ ๆ เข้าไป จนไก่กว่าสิบตัวพากันแตกตื่น วิ่งกระเจิงไปทั่วลานบ้าน
“พี่สาว จับแค่ตัวที่อ้วนที่สุดก็พอ คืนนี้จะได้กินเนื้อกัน!”
“ข้าจะตีเจ้าให้ตายเลยนังเด็กบ้า!”
“อ๊ะ! เชวี่ยเอ๋อ ระวัง!”
ขณะที่หยุนชิ่วกำลังจะเงื้อไม้กวาดฟาดหยุนเชวี่ย หยุนเยี่ยนก็รีบเข้าไปขวางไว้ ทั้งฉุดกระชากลากถูกันจนล้มก้นจ้ำเบ้า
แม่เฒ่าจูเท้าสะโพก กระทืบเท้าด่ากราด “นังเด็กเหลือขอ! เอ้อหลาง ซานหลาง จับมันไว้! ข้าจะตีมันให้ตาย!”
เอ้อหลางกับพ่อของเขานั้นเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว เก่งในเรื่องวางท่านักเลงโต กอดอกพร้อมกับยิ้มเยาะ “ท่านย่า ท่านยกไข่ยี่สิบฟองนั้นให้ข้าเถิด แล้วข้ากับเอ้อหลางจะสั่งสอนนังเด็กนี่ให้ท่านเอง”
“เจ้าเด็กไร้ยางอาย ข้าน่าจะโยนเจ้าทิ้งลงน้ำให้ตายเสียตั้งแต่เกิด!” หญิงชราหอบหายใจด้วยความกรุ่นโกรธ
หยุนชิ่วที่สวมกระโปรงและก้าวเท้าเดินอย่างทุลักทุเล จึงไม่อาจวิ่งไล่ทันหยุนเชวี่ยที่กระโดดหนีอย่างว่องไวราวกับกระต่ายได้
“อาหญิง ท่านอย่าทำเสื้อผ้าเลอะเทอะสิ” หยุนเชวี่ยจงใจหลอกล่อให้นางลื่นไถลเข้าไปในเล้าไก่ที่มีแต่กลิ่นเหม็นของขี้ไก่ตลบอลอวล
หยุนชิ่วที่โมโหจนหน้ามืดตามัว ไม่ทันได้ระวังเรื่องนี้ เพิ่งจะก้าวตามไปได้เพียงไม่กี่ก้าว นางก็สะดุดรางน้ำใต้เท้า เซถลาล้มลงไปกองที่พื้นก่อนจะบ่นราวกับหมีกินผึ้ง
จากนั้นก็กรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง “อ๊า!”
แม่เฒ่าจูตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความเกรี้ยวกราด “ตายซะเถอะ!”
ตอนนี้ทั่วทั้งลานบ้านเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย จนชาวบ้านที่อยู่ระแวกใกล้เคียงต่างมามุงดูตรงหน้าประตูราวกับว่ามีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น
ทันทีที่เหอยาโถวเดินเข้ามาในลานบ้าน แม่ไก่ตัวหนึ่งก็โผเกาะบนศีรษะของเขา จึงถูกตะครุบจับมันเอาไว้ “เชวี่ยเอ๋อ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
หยุนเชวี่ยที่วิ่งหนีอุตลุดจนหน้าแดงเอ่ยขึ้น “มาได้เวลาพอดี เจ้ากล้าฆ่าไก่หรือไม่?”
“เหตุใดถึงจะไม่กล้า” เหอยาโถวใช้มือหนึ่งจับไก่เอาไว้ อีกมือหนึ่งคว้ามีดทำครัวขึ้นมาเชือดคอไก่ในทันที
หยุนเชวี่ยรีบกระโดดถอยหลังไปสองก้าว เกือบจะถูกเลือดไก่กระเด็นใส่ตัว
แม่ไก่ที่ถูกเชือดคอดิ้นทุรนทุรายก่อนจะขาดใจตาย เหอยาโถวไม่สามารถจับมันไว้ด้วยสองมือได้ จึงตะโกนออกไป “เหตุใดไก่บ้านเจ้าถึงตัวใหญ่เพียงนี้!”
“เจ้าฆ่ามันได้แน่หรือ?”
“ข้าเคยเห็นท่านแม่ฆ่าไก่นางก็ทำแบบนี้”
“…” หยุนเชวี่ยสีหน้าบูดบึ้ง คำพูดของผู้หญิงตัวปลอมคนนี้ดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด
ในขณะที่แม่เฒ่าจูกำลังช่วยหยุนชิ่วออกมาจากเล้าไก่เหม็นคลุ้ง ตรงลานบ้านก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดไก่ที่สาดกระจาย
เหอยาโถวกล่าวด้วยท่าทีที่ค่อนข้างมั่นใจ “รออีกสักประเดี๋ยว มันก็จะตายแล้ว”
เมื่อแม่เฒ่าจูเห็นภาพนี้ก็ถึงกับตาเหลือก แทบจะเป็นลมล้มตึงลงไป “บาปกรรม! ให้ตายเถอะ นังเด็กสารเลว!”
ด้วยความที่แม่เฒ่าจูนั้นเป็นคนเจ้าอารมณ์และชอบบงการ นางมักจะควบคุมทุกอย่างภายในบ้านรวมทั้งบรรดาลูกสะใภ้และหลาน ๆ เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าใครคือผู้ที่เป็นใหญ่ในตระกูลนี้
ไม่ว่าสะใภ้เฉินจะเป็นตัวขี้เกียจจอมตะกละเพียงใด ก็ไม่เคยคิดจะมาขโมยไข่ไก่ ส่วนสะใภ้ใหญ่จ้าวมักวางตัวเป็นของภรรยาบัณฑิต จึงเชื่อฟังนางและไม่เคยแสดงท่าทีแข็งข้อกับนางอย่างโจ่งแจ้ง
แต่ครั้งนี้หยุนเชวี่ยกล้ามาแหย่รังแตน
“เอ้อหลาง ไปเรียกท่านปู่และลุงรองของเจ้ามา!” แม่เฒ่าจูเอนตัวพิงหัวเตียงก่อนจะลูบอกตนเองอย่างแผ่วเบา
หยุนชิ่วใช้น้ำในอ่างตรงลานบ้านล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด ขณะที่สบตากับหยุนเชวี่ยก็อยากจะเข้าไปฉีกเนื้อนางเป็นชิ้น ๆ
แม่นางจ้าวซึ่งหมกตัวอยู่แต่ในห้องคล้ายจะไม่รับรู้ถึงความวุ่นวายโกลาหลที่เกิดขึ้น เมื่อนางเดินออกมาจากห้องทางฝั่งตะวันออก ก็จะยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากและเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “โอ้! เกิดอะไรขึ้น!”
เหอยาโถวชำเลืองมองนางด้วยแววตาซับซ้อน ก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เชวี่ยเอ๋อ ป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าหูตึงหรอกหรือ?”
หยุนเชวี่ยจับไก่ที่ใกล้ตายอยู่บนพื้นขึ้นอย่างใจเย็น “หูตึงเป็นบางครั้งน่ะ ใช่แล้ว ว่าแต่เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
“อ้อ ข้าเกือบลืมไปเลย” เหอยาโถวกระดกนิ้วก้อยของนางขึ้นพร้อมกับทำตาโต ท่าทางเช่นนั้นทำให้หยุนเชวี่ยรู้สึกขนแขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
“แม่หม้ายหลิวกับท่าน้าอู่เอ้อกำลังทะเลาะกันอยู่ริมแม่น้ำ เจ้าช่วยไปตัดสินหน่อยเถอะ”
หยุนเชวี่ย…
“พวกเขาทะเลาะกัน… แล้วเหตุใดถึงต้องมาเรียกข้า?”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนสร้างกังหันน้ำนั้นขึ้นมาหรอกหรือ? ตอนนี้ทั้งสองคนนั้นกำลังแย่งกันใช้มันจนเกือบจะลงไม้ลงมือกันอยู่แล้ว”
“ข้าไม่ไป” หยุนเชวี่ยส่ายหัวไปมา
เป็นอันรู้กันดีในหมู่บ้านว่าหญิงทั้งนางนั้นต่างอารมณ์ฉุนเฉียวกันทั้งคู่ ไม่ว่าผู้ใดจะพูดอย่างไรก็ตาม พวกนางต่างไม่เคยสนใจในความหวังดีของผู้อื่น
“เชวี่ยเอ๋อ เหตุใดเจ้าถึงฉลาดเพียงนี้? ตั้งแต่มีกังหันน้ำ ก็ไม่ต้องออกแรงซักให้เหนื่อย เสื้อผ้าสะอาดได้อย่างง่ายดาย แม่ของข้ายังบอกว่ามันใช้ได้ดีเลยทีเดียว…”
* จวี่เหริน เป็นการสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค (มณฑลหรือภาคถ้าเทียบกับประเทศไทย) เงื่อนไขคือ ผู้เข้าสอบจะต้องได้คุณวุฒิซิ่วไฉก่อน ผู้สอบผ่านขั้นนี้จะได้คุณวุฒิ “จวี่เหริน”
* จิ้นซื่อ การสอบรอบที่สาม ผู้สอบผ่านรอบนี้จะได้รับการขึ้นบัญชีเพื่อรอการเรียกบรรจุเข้ารับราชการ ผู้เข้าสอบทุกคน จะถูกเรียกว่า “ก่งเซิ่ง”
*ก่งเซิ่งทุกคนจะได้รับโอกาสให้เข้าสอบรอบสุดท้ายในพระราชวังและผู้สอบผ่าน จะได้คุณวุฒิที่เรียกว่า “จิ้นซื่อ”
*จ้วงหยวน คือชื่อตำแหน่งของผู้ที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งจากการสอบจิ้นซื่อ ผู้ที่สอบได้ตำแหน่ง “จ้วงหยวน” จึงนับได้ว่าเป็นบัณฑิต ที่เก่งที่สุดในแผ่นดิน
Related