อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ – บทที่ 101 ขโมยตราสัญลักษณ์

อนงค์ใจพระชายาราชสีห์

อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 101 ขโมยตราสัญลักษณ์

“พระชายา….”

จื่อซูร้องขึ้นมาอย่างตกใจ พร้อมรีบประคองนางขึ้นมา

ตอนที่ฉินซื่อเสวียตื่นขึ้นมาก็พลบค่ำแล้ว

พระอาทิตย์ตกที่ส่องแสงเข้ามา ทั้งห้องเรืองแสงไปด้วยชั้นแสงที่นุ่มนวล รัศมีกระทบห้องอย่างเงียบงัด ฝุ่นละอองในอากาศมองเห็นได้ชัดเจน

นี่เป็นห้องส่วนตัวของนางตอนก่อนแต่งงานออกไป

มีเพียงจื่อซูนั่งอยู่ข้างเตียง ก้มหน้าก้มตาร้องไห้

“จื่อซู”

ฉินซื่อเสวียพูดขึ้นด้วยเสียงแหบว่า “นี่ข้าเป็นอะไร?”

“พร่ชายา ในที่สุดท่านก็ฟื้น”

เห็นนางฟื้นขึ้นมา จื่อซูรีบเช็ดน้ำตา พร้อมถามอย่างเป็นห่วงว่า “พระชายา ท่านไม่สบายตรงไหนไหม? กระหายน้ำไหม? อยากทานอะไรไหม?”

ฉินซื่อเสวียส่ายหัว ปฏิเสธ

“พระชายา หมอมาตรวจดูแล้ว บอกว่าท่านโกรธโมโหจนสลบไป”

จื่อซูใช้หลังมือเช็ดน้ำตา มองดูนางอย่างระมัดระวัง แล้วกระซิบพูดข้างหูของนาง

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

สีหน้าฉินซื่อเสวียตกตะลึง

“พระชายา เป็นความจริง หมอตรวจยืนยันแล้วหลายรอบ จริงๆ……”

ยังพูดไม่เสร็จ ฉินซื่อเสวียก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “พ่อของข้าล่ะ?”

ฮูหยินฉินอายุสั้น ตอนนี้จวนเซี่ยงจึงไม่มีนายหญิง งานส่วนกลางในจวนล้วนเป็นเฉินอี๋เหนียงคอยดูแล อย่างอื่นทุกอย่างคุณหนูรองฉินเย่ว์หลิ่วเป็นคนดูแล

“นายท่านกับคุณหนูรองกำลังทานอาหารอยู่”

จื่อซูสะอึกสะอื้น

“เชอะ”

ฉินซื่อเสวียเม้นริมฝีปากอย่างเยาะเย้ย พร้อมพูดขึ้นว่า “ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่ราดออกไปแล้วจริงๆ”

“พระชายา นายท่านก็เป็นห่วงท่านอยู่ มาดูพระชายาตั้งหลายครั้ง คุณหนูรองก็สั่งคนเตรียมอาหารค่ำ รอพระชายาฟื้นขึ้นมา”

จื่อซูพูดขึ้นว่า “คุณหนูรองยังสั่งข้าน้อยว่า กลับไปยังจวนอ๋องหยิง”

“ดูแลคุณหนูสองคนเรียบร้อยแล้ว ข้าน้อยค่อยกลับมาดูแลพระชายา”

คุณหนูสองคนที่นางพูดถึง ก็คือลูกสาวสองคนของฉินซื่อเสวียกับโม่หุยเฟิง

เพราะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ ดังนั้นตอนนี้จึงเรียกว่าคุณหนู

“นางคิดได้รอบคอบจริงๆ”

ฉินซื่อเสวียหัวเราะเย้ย บนใบหน้าไม่แสดงถึงความซาบซึ้งใจเลย

เพิ่งพูดเสร็จ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ประตูห้องถูกเปิดออก แล้วก็เห็นฉินตงหลินเฉิงเซี่ยง ฉินเย่ว์หลิ่วสองพ่อลูก เดินตามกันเข้ามา

“พระชายาหยิง เป็นยังไงบ้าง?”

ฉินตงหลินถามขึ้นมา

สีหน้าของเขาเคร่งขรึม แต่ดวงตาทั้งคู่ที่ขนตายาวนั่นแลดูเย็นชาขึ้นมาหลายเท่า

แสดงว่าฉินตงหลินคนนี้ ไม่เป็นมิตรดี

“นายท่าน พระชายาฟื้นแล้ว”

จื่อซูรีบลุกขึ้นมาพูดตอบ

ฉินตงหลินค่อยพาฉินเย่ว์หลิ่วเดินมาใกล้

ฉินซื่อเสวียไม่ได้เจอน้องรองคนนี้มาครึ่งปีแล้ว

ฉินเย่ว์หลิ่วอายุน้อยกว่านางสี่ขวบ ปีนี้เพิ่งอายุสิบเจ็ด กำลังเป็นวัยที่สวยสดงดงาม

สองพี่น้องหน้าตาคล้ายกัน แต่ไม่อ่อนหวานเหมือนฉินซื่อเสวีย ฉินเย่ว์หลิ่วค่อนข้างเงียบขรึม เหมือนดอกลิลลี่ที่ผลิบานอย่างเงียบงันบนภูเขาในยามราตรี

ใบหน้าของนางใบนี้ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งมีเสน่ห์ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งน่ามอง

แม้แต่ฉินซื่อเสวียก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองดูนาง ละสายตาไม่ได้อยู่เนิ่นนาน

นางเงียบ ฉินเย่ว์หลิ่วก็เงียบ ไม่แม้แต่จะพูดปลอบโยนนาง

สุดท้ายฉินซื่อเสวียได้สติกลับมา พร้อมพูดคุยกับนางก่อนว่า “ข้ากับน้องรอง ไม่ได้เจอกันครึ่งปีแล้วมั้ง?”

“อืม”

ลักษณะท่าทีของฉินเย่ว์หลิ่วไม่สะทกสะท้าน

พวกนางสองพี่น้อง ห่างเหินกันมาตั้งแต่เด็ก

เพราะตอนนั้นฮูหยินฉินโกรธเคืองฉินตงหลิน จึงพาฉินเย่ว์หลิ่วที่อายุเพียงหกขวบกลับไปอยู่บ้านครอบครัวหลายปี

บ้านครอบครัวฮูหยินฉิน ห่างจากเมืองหลวงถึงสองวัน

ต่อมาฮูหยินฉินเสียชีวิต ฉินตงหลินจึงสั่งคนไปรับฉินเย่ว์หลิ่วกลับมาเมืองหลวง

ตอนนั้นฉินซื่อเสวียอายุสิบห้า ฉินเย่ว์หลิ่วอายุสิบเอ็ด

ปีนั้นฉินซื่อเสวียก็แต่งงานไปอยู่จวนอ๋องหยิง หลายปีมานี้ทั้งสองพี่น้องไปมาหาสู่กันน้อยครั้งมาก คนไม่รู้ ยังจะคิดว่าฉินตงหลินมีฉินซื่อเสวียเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว

เห็นทั้งสองพี่น้องไม่มีเรื่องคุยกัน ฉินตงหลินจึงพูดขึ้นว่า “น้องรองของเจ้าเป็นห่วงเจ้ามาก”

“น้องรองไม่ต้องเป็นห่วง”

ฉินซื่อเสวียพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแปลกๆว่า “ได้ยินว่าช่วงนี้น้องรองตั้งใจร่ำเรียนหนังสือ ไม่ควรที่จะทำให้เจ้าเสียสมาธิ”

เผชิญกับความรู้สึกแปลกๆของนาง…..

ฉินเย่ว์หลิ่วขมวดคิ้วอย่างไม่ลังเล พร้อมถามขึ้นว่า “ข้าไม่ได้เป็นห่วงเจ้า”

แค่โกรธโมโหจนสลบไปเอง ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรสักหน่อย มีอะไรน่าเป็นห่วง?

สีหน้าฉินซื่อเสวียหม่นลง ฉินตงหลินรู้สึกทำตัวไม่ถูก รีบพูดกับฉินเย่ว์หลิ่วว่า “หลิ่วเอ๋อร์ เมื่อกี้เพิ่งทานข้าวเสร็จ เจ้าไปเดินเล่นเพื่อย่อยอาหารในสวนเถอะ”

“พ่อมีเรื่องจะคุยกับพี่สาวของเจ้า”

ฉินเย่ว์หลิ่วจึงลุกเดินออกไป ไม่แม้แต่จะมองฉินซื่อเสวีย

“พ่อ เลี้ยงลูกสาวได้ดีจริงๆ ในสายตาไม่มีข้าที่เป็นพี่สาวเลย”

ฉินซื่อเสวียดิ้นรนลุกขึ้นมา พร้อมหันไปมองฉินตงหลินอย่างไม่พอใจ

“ซื่อเสวีย”

ฉินตงหลินไม่ตอบเขา เพียงถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว ท่านอ๋องไม่ได้อยู่ข้างกาย ทำไมถึงกลับมายังจวนเซี่ยง?”

“นี่หากเป็นที่ร่ำลือออกไป จะถูกคนอื่นซุบซิบนินทา”

“พ่อ ข้าเป็นลูกสาวจวนเซี่ยง แต่งงานออกไปแล้วข้าก็จะกลับมาบ้านไม่ได้แล้วหรือ?”

ฉินซื่อเสวียพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “ต่อไปหากน้องรองแต่งงานออกไปแล้ว พ่อก็จะไม่ให้นางกลับมาใช่ไหม?”

เห็นนางพูดเสียงแหลม ฉินตงหลินยิ่งขมวดคิ้วแน่น พร้อมพูดขึ้นว่า “พ่อไม่ได้หมายความแบบนั้น เจ้าแต่งงานกับท่านอ๋อง จะกลับมาบ้านตามอำเภอใจไม่ได้”

ฉินซื่อเสวียเชิดหน้า ไม่พูดไม่จา

“ใช่ เจ้ากลับจวนเซี่ยงในวันนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

ฉินตงหลินค่อยพูดเข้าเรื่อง

“วันนี้ข้าเจออ๋องหมิงกับพระชายาหมิงที่หน้าประตูวัง”

เมื่อพูดเข้าเรื่องแล้ว ฉินซื่อเสวียพูดจุดประสงค์ออกมาว่า “ข้ากับท่านอ๋อง อยากส่งคนเข้าไปในจวนอ๋องหมิง คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวอ๋องหมิง แล้วส่งข่าวมาให้ท่านอ๋องของข้า”

นางวางแผนส่งคนเข้าไปในจวนอ๋องหมิง เพื่อเป็นสายสืบอยู่ข้างกายโม่เยว่ สืบข่าวให้กับโม่หุยเฟิง

“แต่หยุนหว่านหนิงไม่ใช่คนธรรมดา นางให้ข้าไปขโมยตราสัญลักษณ์ค่ายห้ากองพลของท่านอ๋อง”

พูดถึงเรื่องนี้ นางกัดฟัน พร้อมกำหมัดแน่น

“อ๋า? พระชายาหมิงทำไปเพื่ออะไร? ตราสัญลักษณ์ของค่ายห้ากองพลนั้นสำคัญ ขโมยไปได้ง่ายๆได้อย่างไร?”

ฉินตงหลินมองดูนางอย่างครุ่นคิด พร้อมพูดขึ้นว่า “ตอนที่ท่านอ๋องออกจากเมืองหลวง ฮ่องเต้ให้เขาเอาตราสัญลักษณ์มอบให้กับอ๋องฉู่กับอ๋องหมิง แต่ท่านอ๋องไม่วางใจ ยังไงก็ไม่ยินยอม”

“ดังนั้นตอนนี้ ตราสัญลักษณ์ของค่ายห้ากองพลอยู่ในมือรองแม่ทัพหวู”

“เพราะเหตุนี้”

ฉินซื่อเสวียพยักหัว

ความกังวลของโม่หุยเฟิง ใช่ว่าไม่มีเหตุผล

เขาไปชายแดนครั้งนี้ระยะทางยาวไกลมาก อย่างน้อยตั้งหลายเดือนกว่าจะกลับเมืองหลวง

ชายแดนห่างจากเมืองหลวงอย่างมาก ภายในหลายเดือนนี้ใครจะรับประกันว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ค่ายห้ากองพลเป็นทุกอย่างของโม่หุยเฟิง

หากไม่มีค่ายห้ากองพล เขากลับมาเมืองหลวงก็จะไม่มีอะไรแล้ว

แล้วจะเอาอะไรไปต่อสู้กับพวกท่านอ๋องคนอื่นๆ

ถึงโม่จงหรานจะพูดว่า เพียงให้โม่หุยเหยียนกับโม่เยว่ช่วยดูแลค่ายห้ากองพล แต่ตราสัญลักษณ์นั่น หากตกอยู่ในมือโม่เยว่ ยังจะเอากลับมาได้อีกหรือ

ฉินซื่อเสวียก็ไม่ได้โง่ ไม่มีทางเอาตราสัญลักษณ์ของค่ายห้ากองพลให้กับโม่เยว่แน่

แต่หยุนหว่านหนิง นังสารเลวคนนี้บีบคั้นเกิน….

เห็นสีหน้าของนางหม่นลง ฉินตงหลินก็รู้แล้วว่านางมีแผนในใจ จึงพูดขึ้นว่า “งั้นเจ้าคิดยังไง?”

นางจะคิดยังไงได้?

ฉินซื่อเสวียกัดฟันจนใบหน้าบึ้งตึง พร้อมพูดขึ้นว่า “พวกเขาอยากได้ตราสัญลักษณ์ ข้าก็จะให้พวกเขา”

แววตาฉินตงหลินเปลี่ยนไป พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าให้จริงๆหรือ?”

อนงค์ใจพระชายาราชสีห์

อนงค์ใจพระชายาราชสีห์

Status: Ongoing
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ เป็นเรื่องราวความรักเกี่ยวกับการเดินทางที่ยากลำบากของตัวเอกชายและหญิง รู้จักกัน ตกหลุมรัก ผ่านเหตุการณ์และความยากลำบากมากมาย แต่สุดท้ายก็กลับมารวมกัน?คืนวันข้ามภพ ณห้องหอ หยุนหว่านหนิงถูกชายชั่วโม่เยว่เนรเทศออกมาจากวังหลัง ถูกจองจำสี่ปีเต็มๆ! เดิมคิดว่า สี่ปีมานี้นางอยู่อย่างยากลำบาก ต้องกลายเป็นยายแก่ขี้เหร่เป็นแน่! แต่หุ่นเธอช่างอรชรอ้อนแอ้นเต่งตึงเสน่ห์บาดใจ ผิวขาวราวกับหิมะ ใช้เงินมือเติบ ข้างกายยังมีเจ้าก้อนแป้งที่หน้าเหมือนเขาอย่างกับแกะ…… โม่เยว่นัยน์ตาร้อนเผ่า “เจ้าเอาเงินมาจากที่ใด!แล้วลูกมาจากไหน?!” เจ้าก้อนแป้งถลึงตามองเขา:“ไปให้ไกลจากท่านแม่ข้า!” หลังจากสืบรู้เรื่องเมื่อปีนั้นแล้ว โม่เยว่สีหน้าจริงใจ:“เมียจ๋า ข้าผิดไปแล้ว!ลูกชาย พ่อผิดไปแล้ว!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท