อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ – บทที่ 147 แม่เสือสาวมาแล้ว

อนงค์ใจพระชายาราชสีห์

อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 147 แม่เสือสาวมาแล้ว

หยุนหว่านหนิงที่ไม่ได้ออกจากเรือนมาสองสามวันแล้ว ได้เข้าไปที่ค่ายเสินจี

เดิมทีสถานที่อย่างค่ายเสินจีนี้ จริงๆ แล้วไม่ใช่ใครก็จะเข้าออกได้ตามอำเภอใจ แต่ด้วยชื่อเสียงของพระชายาหมิง ตอนนี้ดังที่สุดในเมืองจิง

ดังนั้นเมื่อเห็นนางเข้ามา องครักษ์ที่ไหนจะมาขวางล่ะ?

หยุนหว่านหนิงจับองครักษ์คนหนึ่งตามความสะดวก “ท่านอ๋องของข้าอยู่ไหนหรือ?”

“อยู่ อยู่ด้านใน……”

องครักษ์พูดอึกๆ อักๆ

“ข้าสามารถกินเจ้าได้หรืออย่างไร? ทำไมเจ้าติ้งตกใจกลัวเช่นนั้นด้วย”

หยุนหว่านหนิงตบๆ ไหล่ขององครักษ์ เก็บกริชในมือกลับมา และหันหลังเดินเข้าไปด้านใน

องครักษ์ : “……”

โครงสร้างของค่ายเสินจี มันแตกต่างจากที่นางจินตนาการเอาไว้

ด้านในล้วนเป็นผู้ชายหยาบกร้าน และยังเป็นครั้งแรกที่เห็นผู้หญิงเข้ามา และหลายๆ คนก็จำได้ว่า ท่านนี้คือ”แม่เสือสาว”ที่มีชื่อเสียงแห่งจวนอ๋องหมิง พระชายาหมิงหยุนหว่านหนิง

ด้วยความฉลาดปราดเปรื่อง จึงเข้าไปรายงานโม่เยว่ทันที

“พระชายามาหรือ?”

เขาขมวดคิ้วแน่น “นางมาที่นี่ทำไมกัน?”

ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ว่ายังโกรธเขาอยู่หรอกหรือ?

เขาเพิ่งจะลุกขึ้น ก็เห็นหยุนหว่านหนิงเดินเข้ามาแล้ว “เกิดอะไรขึ้น? ข้าได้ยินหยวนเป่าบอกว่าเจ้าถูกคนรังแกหรือ?”

โม่เยว่ : “……”

หรูโม่หรูอวี้ที่อยู่ข้างๆ และบรรดาองครักษ์ทั้งหลายต่างถอยออกไปตามๆ กัน

เมื่อครู่นี้พวกเขาได้ยินว่าอะไรนะ? !

ปกติแล้วอ๋องหมิงที่ดูสูงส่งและเย็นชาราวกับทวยเทพ ไม่นึกเลยว่าจะถูกคนรังแกเอาได้? !

“ไม่มีอะไร”

โม่เยว่เขินอายเล็กน้อย ละสายตากลับมาและนั่งลงดังเดิม พร้อมกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่? นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าควรจะมานะ”

“ข้าควรมาหรือไม่ควรมา มันขึ้นอยู่กับเจ้าหรือไร?”

หยุนหว่านหนิงนั่งลงตรงข้ามเขา

เห็นจดหมายกองหนาข้างๆ มือของเขา และยังดูเหมือนว่ามีหลายฉบับที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน

นางจึงเงยหน้าขึ้น “นั่นคืออะไร?”

“ไม่มีอะไร”

โม่เยว่ผลักกองจดหมายนั้นไปข้างๆ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เต็มใจที่จะให้นางดู

หยุนหว่านหนิงหัวเราะเยาะ “โม่เยว่ เจ้าก็อย่าคิดว่าข้ามาเพื่อเจ้าเลย เป็นบุตรชายของข้าที่เป็นห่วงเจ้าต่างหาก ไม่อยากให้เจ้าถูกคนรังแก ฉะนั้นจึงให้ข้ามา”

“หยวนเป่าให้เจ้ามาหรือ?”

คำตอบนี้ ทำให้โม่เยว่ตกตะลึงอย่างมาก

เจ้าเด็กบ้าคนนั้น ไม่ได้อยากให้เขาถูกรังแกหรอกหรือ? !

“มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าอยากจะมาหรืออย่างไร?”

ใบหน้าหยุนหว่านหนิงเคร่งขรึม และชักสีหน้าใส่เขา

เพียงแต่ว่าตอนนี้ โม่เยว่ยังจมอยู่ในความรู้สึกแปลกใจและดีใจที่หยวนเป่ามอบให้ แล้วก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยที่นางชักสีหน้าใส่เขา เพียงแค่ถามว่า “เขาให้เจ้ามาทำอะไรหรือ?”

“ให้มาเก็บศพเจ้าไงล่ะ”

หยุนหว่านหนิงเหลือบมองเขาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

โม่เยว่คิ้วขมวด

“ตามล้างตามเช็ดให้เจ้า”

หยุนหว่านหนิงจึงพูดตามความจริง “หยวนเป่าเป็นห่วงเจ้า”

โม่เยว่รู้สึกตื้นตันใจเป็นที่สุด

เขาไม่ได้รักเจ้าเด็กคนนั้นไปโดยเปล่าประโยชน์!

“ตอนนี้บอกข้าได้แล้วหรือยัง ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

หยุนหว่านหนิงมองไปยังจดหมายข้างๆ มือของเขาอีกครั้ง “หยวนเป่าบอกว่า เป็นเวลาสามวันแล้วที่เจ้าไม่ได้กลับจวนอ๋อง เขาจึงสงสัยว่า เจ้าเลี้ยงนางบำเรอเอาไว้”

โม่เยว่รู้สึกเก้อเขิน “ข้าจะทำได้อย่างไร?”

นางบำเรอหรือ?

แค่หยุนหว่านหนิงเพียงคนเดียว ก็ทำให้เขาหมดแรงที่จะรับมือแล้วไม่ใช่หรือ? !

“สิ่งเหล่านี้……”

เขาผลักจดหมายไปทางหยุนหว่านหนิง “เจ้าดูเอาเถอะ”

หยุนหว่านหนิงเปิดจดหมายออก อ่านไปแค่สองสามฉบับก็ขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของราชสำนักหรอกหรือ? เกี่ยวข้องอะไรกับค่ายเสินจีด้วยล่ะ?”

จดหมายเหล่านี้ เป็นคำขอความช่วยเหลือที่ส่งมาโดยข้าหลวงของมณฑลและเมืองต่างๆ ในหนานจวิ้น

ว่ากันว่าตั้งแต่เข้าวสันตฤดูฝนก็ตกไม่ขาดสาย พืชผลถูกน้ำฝนจนเสียหายต่างๆ นานา ทำให้ประชาชนมาร้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หวังให้ราชสำนักออกแรง เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้

“ค่ายเสินจีของเจ้ามีไว้สำหรับสร้างอาวุธที่ใช้ดินปืน เพื่อปกป้องประเทศ ไม่ใช่เพื่อบรรเทาภัยพิบัติของประชาชน”

“แน่นอนว่าข้ารู้ดี”

โม่เยว่ส่ายหัว “แต่อ๋องหยิงเขียนจดหมายมาว่า ปีก่อนๆ ไม่เคยเกิดสถานการณ์เช่นนี้ แต่เผอิญว่าหลังจากที่ก่อตั้งค่ายเสินจีในปีนี้ ก็เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น”

“แม้กระทั่งสำนักดาราศาสตร์ที่สังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้าทางด้านนั้น โดยบอกว่าดาวหายนะกำลังจะมาถึงโลก”

“ทุกฝ่ายชี้ให้เห็นว่า เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องหมิง และค่ายเสินจี ดังนั้นเสด็จพ่อจึงรับสั่งข้าเป็นพิเศษ ให้จัดการเรื่องนี้ภายในหนึ่งเดือน”

เคยชินกับสีหน้าไร้อารมณ์ของโม่เยว่ หรือหัวเราะเยาะอย่างลำพองใจ หรือไม่ก็มีสีหน้าโกรธเคืองไม่พอใจ

แต่ตอนนี้กลับเห็นใบหน้าของเขาที่จนปัญญาและห่อเหี่ยว หยุนหว่านหนิงก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ

“ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอ๋องหยิง เหตุใดจึงไม่รายงานให้เสด็จพ่อทรงทราบล่ะ?”

ครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าโม่หุยเฟิงต้องการจัดการโม่เยว่

“เป็นบุตรชายของเสด็จพ่อเหมือนกัน แต่หาหลักฐานไม่ได้ เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะเชื่อคำพูดของข้าหรือ?”

มิน่าล่ะโม่เยว่จึงห่อเหี่ยวเช่นนี้

เพราะว่าโม่จงหรานไม่เต็มใจที่จะเป็นเสด็จพ่อที่ลำเอียง แม้ว่าเสด็จพี่เสด็จน้องสองคนจะไม่เห็นด้วย เขาก็ยังปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจเอง และเขายังคงเป็นกลาง

“ทำไมโม่หุยเฟิงต้องจัดการเจ้าด้วย?”

หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้วมองเขา “ครั้งนี้ได้มอบสัญลักษณ์ของค่ายห้ากองพลให้กับอ๋องฮั่น เรื่องของค่ายห้ากองพลเป็นอ๋องฉู่กับอ๋องฮั่นจัดการปัญหาด้วยกัน เดิมทีแล้วเจ้าไม่ได้ร่วมทำด้วยเลย”

ถึงแม้ว่าโม่หุยเฟิงจะรู้สึกเคียดแค้นอยู่ภายในใจ ไม่ใช่ว่าควรจัดการโม่หุยเหยียนกับโม่ฮั่นอี่ว์หรอกหรือ?

ทำไมเขาถึงกลับ มาจัดการโม่เยว่ล่ะ?

“เขาสงสัยว่าฎีการ้องทุกข์ ถูกเปลี่ยนโดยข้า”

โม่เยว่มองนางอย่างลึกซึ้ง

“หึ”

หยุนหว่านหนิงหัวเราะเยาะ “เขาโง่หรืออย่างไร? ใช่แค่นิ้วเท้าคิด ก็น่าจะรู้ว่าเเม่ทัพโจวได้แอบแจ้งให้อ๋องฮั่นทราบ และแลกเปลี่ยนฎีการ้องทุกข์ อันนั้นเสีย”

“แล้วทำไมถึงกลับมาสงสัยเจาล่ะ?”

“อาจจะเป็นเพราะข้าเป็นคนซื่อตรงกระมัง?”

โม่เยว่ยิ้มเยาะตนเองอย่างหาได้ยาก “บางทีในวันปกติอาจจะมีข้าเพียงคนเดียวที่ไม่ได้จัดการกับเขา”

“ไร้สาระ!”

หยุนหว่านหนิงตบโต๊ะ และกล่าวอย่างป่าเถื่อนว่า “ชัดเจนว่าเป็นเพราะฉินซื่อเสวีย! รักที่ไม่มีวันลืมเลือนของเจ้า!”

“เจ้ายังตั้งใจจะปกป้องนางใช่หรือไม่?”

เมื่อเอ่ยถึงฉินซื่อเสวีย นางก็เต็มไปด้วยความโกรธเคือง

ดูเหมือนว่าโม่เยว่จะคาดไม่ถึง ความเป็นศัตรูที่นางมีต่อฉินซื่อเสวีย ยิ่งนานวันยิ่งมากขึ้น…….

เห็นนางโมโห เขาก็เงียบ และไม่ได้ยุแหย่นางต่อ

หยุนหว่านหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์ลงเล็กน้อย “เอาเถอะ! วันนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับเจ้า ในเมื่อโม่หุยเฟิงต้องการสร้างปัญหา เช่นนั้นก็จัดการกลับไปเถอะ”

“เขาบอกว่าเป็นปัญหาของค่ายเสินจี ก็คือต้องเป็นปัญหาของค่ายเสินจีหรืออย่างไร?”

“จ้าจะบอกว่า มันเป็นปัญหาของค่ายห้ากองพลด้วย!”

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ค่ายห้ากองพลอยู่ในมือของโม่หุยเหยียนกับโม่ฮั่นอี่ว์ ไม่เกี่ยวข้องกับโม่หุยเฟิงเลย

ต่อให้เปิดฉากโจมตีกับค่ายห้ากองพล ก็ไม่สามารถจัดการโม่หุยเฟิงได้

คนปลิ้นปล้อนคนนี้ เพราะตอนนี้ถูกกักขัง อีกทั้งยังสูญเสียค่ายห้ากองพลไป นับว่าสองมือจะว่างเปล่า ฉะนั้นโม่หุยเฟิงจึงใจกล้าเช่นนี้ และกล่าวโทษโม่เยว่โดยตรงใช่หรือไม่?

คนอย่างนี้ ตอนนี้นับว่าชั่วร้ายเป็นที่สุด ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

หยุนหว่านหนิงเงยหน้ามองออกไปนอกประตู ด้วยแววตาลึกซึ้ง “สำนักดาราศาสตร์มีส่วนร่วมในการต่อสู้ในครั้งนี้หรือไม่?”

“ถ้าอย่างนั้น ก็ชินเทียนเจี้ยนคนนั้นลงมาก่อน! จากนั้นก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบุคลากรภายใน เปลี่ยนเป็นคนที่รู้จักวางตัว จะดูสิว่าโม่หุยเฟิงยังจะเอาอะไรมุ่งเป้ามาที่เจ้าอีก”

โม่เยว่เข้าใจคำพูดนี้ของนาง

“เจ้าหมายความว่า ต้องลงมือกับสำนักดาราศาสตร์ก่อนใช่หรือไม่?”

“ท่านพ่อไม่ใช่ว่าเชื่อคำพูดของสำนักดาราศาสตร์ จึงปล่อยให้เจ้าตามล้างตามเช็ดด้วยตนเองหรอกหรือ?”

หยุนหว่านหนิงเหลือบมองเขา “ต่อไปควรจะทำอย่างไร ท่านอ๋องน่าจะเข้าใจดีใช่หรือไม่?”

อนงค์ใจพระชายาราชสีห์

อนงค์ใจพระชายาราชสีห์

Status: Ongoing
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ เป็นเรื่องราวความรักเกี่ยวกับการเดินทางที่ยากลำบากของตัวเอกชายและหญิง รู้จักกัน ตกหลุมรัก ผ่านเหตุการณ์และความยากลำบากมากมาย แต่สุดท้ายก็กลับมารวมกัน?คืนวันข้ามภพ ณห้องหอ หยุนหว่านหนิงถูกชายชั่วโม่เยว่เนรเทศออกมาจากวังหลัง ถูกจองจำสี่ปีเต็มๆ! เดิมคิดว่า สี่ปีมานี้นางอยู่อย่างยากลำบาก ต้องกลายเป็นยายแก่ขี้เหร่เป็นแน่! แต่หุ่นเธอช่างอรชรอ้อนแอ้นเต่งตึงเสน่ห์บาดใจ ผิวขาวราวกับหิมะ ใช้เงินมือเติบ ข้างกายยังมีเจ้าก้อนแป้งที่หน้าเหมือนเขาอย่างกับแกะ…… โม่เยว่นัยน์ตาร้อนเผ่า “เจ้าเอาเงินมาจากที่ใด!แล้วลูกมาจากไหน?!” เจ้าก้อนแป้งถลึงตามองเขา:“ไปให้ไกลจากท่านแม่ข้า!” หลังจากสืบรู้เรื่องเมื่อปีนั้นแล้ว โม่เยว่สีหน้าจริงใจ:“เมียจ๋า ข้าผิดไปแล้ว!ลูกชาย พ่อผิดไปแล้ว!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท