ตอนที่83 จงใจสร้างปัญหา (1)
“ใครบอกกันว่าแม่ทัพผู้นี้จงใจสร้างปัญหาแก่เจ้าเพราะหยุนซี? ที่ข้าลงโทษเจ้าเพราะเมื่อวานเจ้าโดดเรียน”
สำหรับคำพูดประโยคนี้ของเซียถง ทำเอาแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วโกรธจนหน้าผันแปรเป็นสีขาวสลับดำ ใจหนึ่งยอมรับตามตรง เขาค่อนข้างครั่นคร้ามหยุนซี เนื่องด้วยนางปีศาจนั่นมีนิสัยวิปริต ฝีปากร้ายกาจ และที่สำคัญชอบหักหน้าสร้างความอัปยศต่อตัวเขาเป็นที่สุด แทบจะทุกครั้งที่ปะทะคารมกัน แม่ทํพจางเจิ้งกั๋วมักจะเป็นฝ่ายพลาดพลั้งในมือของนางเสมอ และยิ่งโดนเซียถงพูดจาจี้ปมเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาทนไม่ได้เข้าไปใหญ่
“หาใช่ว่าข้าโดดเรียน แต่กลับมีสาเหตุที่ต้องจำต้องขาดเรียนอย่างมีเหตุมีผลทุกประการ ข้าทำเรื่องขอลาหยุดกับท่านอาจารย์หยุนซีเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และการที่ท่านแม่ทัพยังพยายามยัดเหยียดบทลงโทษให้แก่ข้าอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ ยังหมายความถึงอะไรได้อีก? เพราะเกรงกลัวท่านอาจารย์หยุนซี ท่านแม่ทัพผู้สูงส่งต้องถึงขั้นลดตัวมารังแกเด็กน้อยคนหนึ่งเชียวรึ?”
เซียถงได้ปูพื้นทัศนคติใหม่ให้แก่เหล่าศิษย์สาวกทุกคนภายในห้องต่อแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วเป็นที่เรียบร้อย เป็นที่เข้าใจโดยทั่วแล้วว่า การที่แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วลงโทษเซียถงอย่างไม่สนความเป็นเหตุเป็นผลเช่นนี้ เป็นเพราะความขัดแย้งส่วนตัวกับหยุนซี และต่อจากนี้ ยิ่งแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วพยายามเถียงและยัดเหยียดบทลงโทษแก่นางมากเท่านั้น นี่จะกลายเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีแก่ทุกคนเลยว่า แม่ทัพผู้สูงศักดิ์คนนี้กำลังระบายความโกรธที่มีต่อหยุนซีลงกับเด็กสาวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนางหนึ่งเท่านั้น
“เซียถง ข้าจะไม่โต้เถียงวาจาไร้สาระกับเจ้าอีกต่อไปแล้ว”
ในส่วนนี้แม่ทัพจางจิ้งกั๋วย่อมเข้าใจถึง เจตนาของเซียถงได้อย่างชัดแจ้ง สีหน้าการแสดงออกของเขามืดทมิฬลงหลายส่วน ชี้ไปที่ประตูและคำรามขึ้นว่า
“ไปหลังภูเขาแล้วไปตักน้ำ จากนั้นจงแบกใส่หลังกลับมาให้ข้าเห็น!”
เซียถงลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกไปแต่โดยดี แต่ระหว่างเดินไปยังประตูนางก็สบถขึ้นกับตัวเองลอยๆ ว่า
“นึกไม่ถึงเลยว่า แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วที่ข้าเคยปลาบปลื้ม แท้จริงแล้วจะไร้ซึ่งคุณธรรมปานนี้ ทั้งที่มีความแค้นต่อท่านอาจารย์หยุนซี แต่กลับระบายสิ่งเหล่านั้นลงกับข้าแทน ไม่กล้าแม้กระทั่งจะเผชิญหน้ากับนางเสียด้วยซ้ำ เกิดมาเป็นชายชาติทหารแท้ๆ แต่กลับหวาดกลัวผู้หญิงนางหนึ่งจนหัวหด ช่างน่าขันโดยแท้ ช่างน่าขันโดยแท้!”
พอกล่าวจบ เซียถงพลางส่ายหน้าด้วยความหน่ายใจเหลืออด
ได้รับฟังเช่นนั้น ก็มีศาย์สาวกบางคนในห้องเรียนถึงกับส่ายหัวตามเช่นกัน การลงโทษแบบไม่มีเหตุผลเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในสถานศึกษาเซิงหลิง ทุกคนย่อมไม่ได้ตระหนักทราบถึงความขุ่นเคืองระหว่างแม่ทัพจางจิ้งกั๋วกับเซียถง ดังนั้นพอได้ยินบทสนทนาทั้งหมด พวกเขาจึงเข้าใจไปว่า ที่แม่ทัพจางจิ้งกั๋วออกปากลงโทษเซียถง ทั้งหมดเป็นเพราะปมความแค้นส่วนตัวระหว่างตนเองกับอาจารย์หยุนซี ยิ่งได้ฟังคำตัดพ้อของเซียถงยิ่งรู้สึกผิดหวังเข้าไปกันใหญ่
แม่ทัพจางเจิ้นกั๋วกล่าวได้ว่า เป็นต้นแบบของเด็กผู้ชายทุกคนในห้องเรียนแห่งนี้ บ้างถึงกับลงเรียนวิชากลยุทธ์เพื่ออยากจะเจอเขาตัวเป็นๆ โดยเฉพาะ แต่ไม่คิดเลยว่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ์ในดวงใจของพวกเขากลับหวาดกลัวผู้หญิงนางหนึ่ง…
ชั่วพริบตาต่อมา ศิษย์สาวกทุกคนภายในห้องเรียนต่างจับจ้องมาทางแม่ทัพจางเจิ้นกัวด้วยสายตาแปลกๆ
แม่ทัพผู้เจนจัดสมรภูมิรบนับครั้งไม่ถ้วน ต้นแบบแห่งชายชาติทหารแห่งจักรวรรดิตงหลี่ แท้ที่จริงกลับเกรงกลัวต่อรัศมีของอาจารย์หยุนซีจริงๆ รึนี่?
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วตระหนักได้ถึงทุกสายตาที่จับจ้อง และรีบตะโกนหยุดเซียถงมิให้ออกจากประตูห้องเรียนในทันที กล่าวสีหน้าบูดบึ้งสุดขีดว่า
“กลับไปที่นั่งของเจ้า”
หากเซียถงต้องแบกถังน้ำที่ตัดจากหลังภูเขาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์จริงๆ นี่เท่ากับว่า เขากลับไม่ต่างอะไรกับลูกเต่าที่มีแต่หดหัว และคือการยอมรับเป็นนัยแล้วว่า ตนเองไม่กล้าเผชิญหน้ากับหยุนซีจริงๆ ถึงได้มาลงกับสาวน้อยคนนี้ หากเกิดขึ้นในกรณีนั้น นี่นับเป็นเรื่องอัปยศสุดขีดสำหรับคนที่รักเกียรติยศศักดิ์ศรียิ่งชีพอย่างตัวเขา และแน่นอน แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วไม่ยอมทำให้ตนเองเสียชื่อเสียงกับเรื่องแบบนี้เป็นอันขาด
จะอย่างไร เซียถงก็เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของเขา ในอนาคตต่อไป ในระหว่างการฝึกเชิงกลยุทธ์ในภาคสนาม เขาย่อมต้องหาโอกาสกลั่นแกล้งนางให้หนักอย่างสาสมกับที่สร้างวีรกรรมไว้แน่นอน!
ประกายแสงริบหรี่สาดสะท้อนออกจากดวงตาคู่นั้นของเซียถง เหลือบหางตามองแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วไปทีหนึ่ง และเดินกลับมายังที่นั่งของตนเองอย่างแช่มช้า สำหรับแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วคนนี้ นางรู้จุดอ่อนของเขาแล้ว และต่อจากนี้ นางย่อมใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนดังกล่าวเพื่อควบคุมให้อยู่ในกำมือของนาง
แม้มั่พจางจิ้งกั๋วจะมิสัยไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่เซียถงก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่า เขานับว่าเป็นผู้บัญชาการกองทัพทหารที่เก่งกาจอยู่ใฝนระดับอัจฉริยะอย่างแท้จริง ทฤษฎีเชิงกลยุทธ์และการวิเคราะห์สถานการณ์ต่อสู้ยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารในโลกยุคสมัยใหม่ที่นางเคยอยู่เสียอีก หลังจากเรียนจบคาบ เซียถงได้รับความรู้มากมายเกี่ยวกับการศึกกลยุทธ์ และมีความเคารพในตัวเขาหนึ่งส่วน
ก่อนจากชั้นเรียนไป แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วส่งหางตาสาดใส่เซียถงด้วยความเกลียดชังไปทีหนึ่ง และสับเท้าเดินออก
หลังรับประทานอาหารเที่ยงกับฉีหมิงเยว่ในโรงอาหารที่เดิม เซียถงกางตารางเรียนของตนขึ้นมาเพื่อตรวจสอบคาบเรียน ในช่วงบ่ายเป็นคาบเรียนแขนงวิชายุทธ์ ส่วนพรุ่งนี้มีแขนงวิชาโอสถ ยังพอมีเวลาว่างระหว่างนี้ ฉีหมิงเยว่ขอตัวเดินจากออกจากสถานศึกษาเซิงหลิง ในขณะที่เซียถงเองก็ออกไปด้วยเช่นกัน เดินเข้าป่าไผ่เขียวบริเวณใกล้เคียง เสาะพบสถานที่สงบเงียบแห่งนี้ นางจึงขึ้นนั่งบนแท่นหินยักษ์และขัดสมาธิเริ่มบำเพ็ญตบะเพื่อบ่มเพาะความแกร่งกล้า
ผ่านไปได้ครึ่งชั่วทาง นางจับสังเกตได้ว่า มีใครบางคนกำลังเดินเท้าเข้ามาใกล้ตนอย่างเงียบงัน และแม้ผู้เยี่ยมเยือนในคราวนี้จะจงใจกลั้นหายใจเพื่อปิดบังกลิ่นอาย แต่เซียถงก็ยังสามารถสัมผัสได้อย่างชัดแจ้งถึงรัศมีขอบเขตที่แผ่ซ่านออกมา พออีกฝ่ายตรงเข้ามาใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้น นางโพล่งตาตื่นรู้ กระโจนขึ้นเตรียมเข้าจู่โจมปานสายฟ้าแลบ!
ทว่าพอเห็นว่าผู้มาเยี่ยมเยือนเป็นใคร เซียถงถึงกับถอนหายใจใส่เฮือกใหญ่ ลดมีดสั้นในมือลง
“ปฏิกิริยาไวมาก ขนาดข้ากลั้นหายใจลอบเข้ามาขนาดนี้ เจ้าก็ยังสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของข้าได้ ไม่เลว ไม่เลว”
หยุนซีเงยหน้ามองเซียถงบนแผ่นหินก้อนนั้น และพยักหน้าเอ่ยปากชมเชย
“ไฉนท่านอาจารย์หยุนซีถึงอยู่ที่นี่ได้?”
เซียถงเลิกคิ้วมองสวนตอบด้วยความสงสัย หยุนซีในวันนี้มาในทรงผมรวบขึ้นเป็นหางม้า ทัดติดด้วยผ้าพันลายดอกไม้ สวมผ้าพันคอเนื้อบาง ถือตะกร้าไม้สานรองพื้นด้วยผ้าหยาบสีเขียว ส่วนมืออีกข้างถือพลั่วขุด แม้ว่าการแต่งกายของนางจะดูคล้ายชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แต่รัศมีกลิ่นอายความแกร่งกล้าที่แพร่สะพัดออกมาก็ยากเกินกว่าจะปกปิด
“มาขุดหาสมุนไพร”
หยุนซีเขย่าตะกร้าในมือเล็กน้อย
“มีสมุนไพรตั้งมากมายในสถานศึกษา ไยท่านไม่ไปขอ?”
เซียถงเอ่ยถามอีกครั้งเจือแววฉงนใจ ในฐานะที่เป็นอาจารย์แขนงวิชาโอสถในสถานศึกษาเซิงหลิง หยุนซีย่อมสามารถขอเบิกสมุนไพรเพื่อนำมาใช้ได้ตามต้องการ
“สมุนไพรจากสถานศึกษามันไม่พอใช้สำหรับข้านี่สิ ก็เลยต้องออกมาขุดหาเอง”
หยุนซีส่งยิ้มมอบให้เซียถง
เซียถงพยักหน้าตอบ เก็บมีดสั้นลงใต้แขนเสื้อดังเดิมและไม่พูดอะไรต่อไปอีก
“เซียถง เจ้าจะจ่ายหนี้ข้าเมื่อใด?”
หยุนซีมองหน้าอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยถามขึ้น
“มีเงินเมื่อใด ย่อมจ่ายให้”
เซียถงกล่าวตอบสั้นๆ กลับไป
“เช่นนั้นข้าจะคิดดอกเบี้ยเพิ่ม อัตราดอกเบี้ยวันละหนึ่งเหรียญทอง หากมีเหรียญทองติดตัวเท่าไหร่ เอามาขัดดอกให้ข้าก่อน”
หยุนซีมิได้บีบบังคับให้เซียถงจ่ายหนี้สินที่ติดค้างไว้ในทันทีทันใด แต่เผยแววตาสีลูกท้อสวยยิงเข้าใส่ และกล่าวอธิบายเรื่องอัตราดอกเบี้ยให้ฟัง
ดอกเบี้ยวันละหนี่งเหรียญทอง? ไฉนไม่ปล้นกันเลยล่ะ?
“ท่านอาจารย์หยุนซี ท่านปล้นข้าเลยดีกว่า ข้าไม่มีเงินคือไม่มีจริงๆ และดูเหมือนว่าข้าคงต้องติดหนี้ท่านไปทั้งชีวิตแล้ว”
หางตากระตุกอย่างแรงเมื่อได้ฟังำดอกเบี้ยมหาโหด เซียถงเอ่ยปากยอมรับไปตามตรงว่า ตนไม่มีเจตนาที่จะจ่ายค่าชำระหนี้ดังกล่าวแก่อีกฝ่าย
หยุนซีจ้องหน้านางโดยมิได้เอ่ยกล่าวอะไรใดๆ แต่ทันใดนั้นพลั่วในมือของนางพลันกระตุกวูบ พุ่งทะลวงฉีกอากาศขวางเข้าใส่ทางเซียถงประดุจปาหอก เซียถงตกลึงงันไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบขับเคลื่อนลมปราณในกายเลี่ยงหลบในเสี้ยวพริบตา ถึงแม้จะสามารถเลี่ยงหลบพลั่วแหลมคมที่พุ่งเข้าเสียบได้ แต่ชายผ้าคลุมใบหน้ากลับหนีไม่พ้นรัศมี ถูกกระชากดึงออกมาโดยตรง
เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยจุดด่างดำอันแสนอัปลักษณ์ต่อหน้าหยุนซี มีดสั้นใต้แขนเสื้อเลื่อนเข้ากระชับจับถนัดบนมือ เซียถงหรี่สายตาแคบ มองไปทางหยุนซีส่อแววระแวดระวังสุดขีด ระหว่างนั้นก็เร่งระดมพลังลมปราณขุมใหญ่ กรอกเทลงสู่คมมีดสั้นในมือโดยไว
ตราบใดที่หยุนซีเคลื่อนไหวอีกครา นางจะโต้กลับไม่ไว้หน้าแล้วเช่นกัน
สองหญิงสาวสบสายตาปะทะกันอย่างเงียบงันท่ามกลางป่าไผ่อันสงบสุข สายลมอันโอนอ่อนพัดผ่าน เสียงต้นไผ่สั่นไสวดังกรอบแกรบ
“ลอยจุดด่างดำพวกนั้นได้ทำลายใบหน้าจริงอันแสนงดงามของเจ้าไปจนหมด น่าเสียดาย น่าเสียดาย”
สบสายตาของกันและกันเสร็จสรรพ หยุนซีก็ถอดผ้าพันคอลงและโยนให้แก่เซียถง กล่าวน้ำเสียงเสียอกเสียดายไม่น้อย