ตอนที่346 มาเล่นกันเถอะ (2)
ตอนที่346 มาเล่นกันเถอะ (2)
เซียถงนั่งนิ่งอยู่บนหลังม้า สีหน้าเมินเฉยไร้ซึ่งร่องรอยความตื่นตระหนกหรือประหม่าใดๆ ทำราวกับว่าเห็นผู้ชายเปลือยกายต่อหน้าเป็นเรื่องปกติ และเนื่องด้วยความเฉยเมยนี้เอง ทำให้ไป๋หลี่หานหาจังหวะลักไก่ ไม่ยอมถอดกางเกงชิ้นสุดท้ายที่ปกคลุมส่วนล่างของตนเอาไว้ เพราะมิฉะนั้นแล้ว ทั่วเรือนร่างของเขาจะเปลือบเปล่าไม่เหลืออะไรปกปิดเลยสักชิ้นจริงๆ
“ท่านราชาหมาป่าสวรรค์ลืมอะไรรึเปล่า? ยังเหลือกางเกงในของท่านอยาตัวสุดท้าย ไฉนถึงยังไม่ถอดอีก? กลับเป็นท่านเองมิใช่รึที่อยากแก้ผ้าใจจะขาด?”
สังเกตสายตาของไป๋หลี่หานที่ลอบชำเลืองมองมาทางนี้อยู่หลายครา เซียถงจึงกล่าวสะกิดทักทามขึ้นคำหนึ่ง ประกายตาฉายแววเจ้าเล่ห์สว่างวาบ
“ตราบเท่าที่เจ้ากล้ามอง ข้าผู้นี้ย่อมถอดให้ดูได้!”
มือข้างหนึ่งของไป๋หลี่หานค่อยๆ ดึงขอบกางเกงชิ้นสุดท้ายที่ปกปิดท่อนล่างออก กางเกงในผืนสีขาวถูกปลดเปลื้องลู่ลมพลิ้วลงมาสู่พื้นดิน
เรือนร่างกำยำของไป๋หลี่หานเปลือยเปล่าถูกเผยแสดงออกมาภายใต้แสงตะวันสาดส่งโดยสมบูรณ์ ทุกสัดส่วนร่างกายของเขาแข็งแกร่งเป็นล่ำสัน พินิจโดยรวมเปรียบดั่งรูปปั้นหยกขาวแกะสลักไร้ที่ติ
“ดี! ดี! งานดีมาก! รับไป นี่เป็นรางวัลของท่าน”
เซียถงสะบัดข้อมือขวาขว้างบางสิ่งออกจากมือ ประกายแสงสีทองสาดระยิบบินไปทางไป๋หลี่หานอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายยื่นมือออกไปจับได้แม่นยำทันท่วงที พอกางฝ่ามือคลายมอง ก็พบว่าเป็นเหรียญทองเหรียญหนึ่ง
แลเห็นชั่วจังหวะไป๋หลี่หานรับเหรียญทอง เซียถงรีบเอื้อมมือไปคว้าเชือกคุมบังเหียนม้าและควบทะยานหนีออกไปทันที ทิ้งท้ายเพียงว่า
“ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า มิเพียงขุมพลังความแกร่งกล้าของท่านจะยิ่งใหญ่ แต่เจ้าพิภพของท่านก็ใหญ่ยิ่งไม่ต่าง! ฮ่าฮ่า! เหรีญทองเหรียญนี้ถือซะเป็น ค่าเปลือยกายให้ข้าดูชม ลาก่อน!”
สุ้มเสียงของหญิงสาวค่อนๆ ออกห่างไปไกล สี่เท้าอาชาควบทะยานดุเดือดจนฝุ่นตลบอบอวล ทอดสายตามองเซียถงบนหลังม้าหนีออกไป ไป๋หลี่หานมุมปากกระตุกอย่างแรงอยู่หลายที ปรากฏว่า นี่เป็นแผนการที่แท้จริงของนาง! ตั้งใจจะฉวยโอกาสที่เขาเปลือยกายเพื่อหลบหนีออกไป!
ชั่วพริบตาที่เซียถงรู้สึกได้ว่า พิษเครื่องหอมในกายสิ้นฤทธิ์ลง เวลานั้นแหละคือตอนที่นางคิดริเริ่มแผนการขโมยม้าตัวนี้ ซึ่งโอกาสทองก็มาเร็วกว่าที่คิดไว้ ในเวลานี้นางสะบัดเชือกบังเหียน เร่งความเร็วควบทะยานหนีหายทันที
ทางด้านไป๋หลี่หานก็เร่งคว้าเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่โดยไว แต่กลับไม่คิดวิ่งไล่ติดตาม เพียงยืนนิ่งส่งยิ้มไปยังทิศทางที่เซียถงควบม้าหนีออกไป เขายกนิ้วขึ้นผิวปาก เป่าเสียงคมแหลมประดุจนกหวีดคมชัด และไม่นานเกินรอ เสียงกีบฝีเท้าอาชาก็ดังขึ้น ร่างของม้าสีขาวตนหนึ่งปรากฏขึ้นสู่เส้นสายตาอีกครั้ง สังเกตเห็นเซียถงหน้าดำค่ำเครียด พยายามดึงเชือกบังเหียนหยุดม้าเอาไว้หลายต่อหลายทีแต่กลับไม่เป็นผล ไม่ว่าจะทำยังไง ม้าขาวตนนั้นก็ยังคงมุ่งหน้าวิ่งกลับไปหาไป๋หลี่หานอย่างควบคุมใดๆ ได้เลย
สองมือไขว้หลังแสนสง่าราศี ไป๋หลี่หานก้าวแช่มตรงเข้าลูบหัวม้าสีขาวตนนั้นอย่างรักใคร่ เงยหน้ากล่าวกับเซียถงอย่างใจเย็นว่า
“ไม่มีผู้ใดรสามารถขโมยม้าของข้าไปได้”
เซียถงมองค้อนใส่หน้าอีกฝ่าย กระโดดลงจากหลังม้าด้วยความหงุดหงิดไม่น้อย หันหลังให้และเดินจากออกไปตามลำพังโดยไม่พูดไม่จาใดๆ อีกเลย ในเวลานี้พิษเครื่องหอมในร่างกายของนางถูกกำจัดไปสิ้นแล้ว ถึงจะไม่มีม้าเป็นพาหนะ แต่อาศัยสองเท้า นางสามารถเดินทางกลับจักรวรรดิตงหลี่ด้วยตัวคนเดียวได้ไม่ยากเย็น
ไป๋หลี่หานกระโดดขึ้นหลังม้าและควบขี่ติดตามอยู่ด้านข้างเซียถง ชะลอฝีเท้าเดินเล่นอยู่เคียงข้างกันสักพัก ก่อนจะยื่นมือส่งให้นางและกล่าวขึ้นว่า
“ในรัศมีร้อยลี้ไม่มีตัวบ้านเรือนหรือผู้คนสัญจร อาศัยเดินกลับเกรงว่าจะล่าช้าเกินควร ขึ้นม้ากับข้าเถอะ”
เห็นว่าเซียถงยังคงเดินขึ้นหน้าต่อไปโดยไม่มีแยแสใดๆ ราวกับว่าไม่อยากจะคุยกับตน ไป๋หลี่หานจึงกล่าวเสริมอีกว่า
“ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว”
เซียถงยังคงเชิดหน้าเดินเท้าต่อไป ไม่ให้ความสนใจใดๆ แก่อีกฝ่าย เพราะนางยังจดจำได้ดีเยี่ยมถึงวีรกรรมต่างๆ นานาที่ชายคนนี้แกล้งนาง ทั้งยังชอบหลอกแต๊ะอั๋งนางอยู่ตลอด
“เช่นนั้นเดินทางกับข้าจนกว่าจะถึงเมืองอู่ถงที่อยู่ข้างหน้าก่อน แล้วค่อยซื้อม้าขี่กลับไปคนเดียว มิเช่นนั้นแล้ว ปล่อยให้ข้ากลับไปทั้งแบบนี้ เวลาท่านแม่ของเจ้าถามไถ่เกี่ยวกับตัวเจ้า จะให้ข้าตอบอย่างไร? ไม่กลัวท่านแม่จะเป็นกังวลเลยรึ?”
ไป๋หลี่หานก็ยังพยายามเกลี้ยกล่อมต่อไป
และสิ่งที่เขากล่าวไปทั้งหมดล้วนถูกต้องสมเหตุผล หากปล่อยให้ไป๋หลี่หานควบม้ากลับถึงจักรวรรดิตงหลี่ไปก่อน แล้วท่านแม่ที่ไม่เจอนางกลับมาพร้อมกับอีกฝ่าย จะทำให้เป็นห่วงปานใด? เซียถงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยุดฝีเท้าหันไปจ้องหน้าอีกฝ่าย และกล่าวว่า
“ข้าต้องนั่งอยู่หลังเจ้า”
หากปล่อยให้ไป๋หลี่หานนั่งคุมบังเหียนอยู่ท้ายหลังอีก เกรงว่านางจะโดนแต๊ะอั๋งอีกแน่นอน
“เจ้าแน่ใจแล้วรึว่าจะนั่งแบบนี้?”
ไป๋หลี่หานกะพริบตาปริบ มองหน้าเซียถงฉายแววประหลาดใจ
“แน่ใจแล้ว หากไม่ยอม ข้าก็เดินกลับเองได้”
เซียถงหันมากล่าวยืนยันคำเดิม หากไม่ได้นั่งตำแหน่งด้านหลังของไป๋หลี่หาน สู้นางเดินกลับทั้งแบบนี้ดีกว่า
จู่ๆ ไป๋หลี่หานก็คลี่ยิ้มออกมา พยักหน้าอย่างมีความสุขตอบว่า
“ก็ได้”
เหล่มองอีกฝ่ายสักพักใหญ่ เซียถงรู้สึกทะแม่งชอบกลกับรอยยิ้มที่แสนเปี่ยมสุขของชายคนนี้ แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ นางจึงละทิ้งความสนใจเหล่านี้ออกไป และพลิกตัวกระโดดขึ้นนั่งบนหลังม้า เนื่องด้วยคนที่อยู่ด้านหลังควบคุมบังเหียนม้าสะดวกที่สุด หน้าที่นี้จึงตกเป็นของเซียถงโดยปริยาย นางค่อยๆ โน้มตัวพร้อมเหยียดสองมือคว้าเชือกบังเหียนที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นก็ยกเท้าสะกิดท้องม้าเบาๆ ให้ควบวิ่งออกไป
เวลาม้าควบสี่เท้าวิ่ง ย่อมก่อเกิดแรงกระแทกตามมา นางจึงพลั้งเผลอล้มตัวไปกระแทกกับแผ่นหลังของไป๋หลี่หานโดยไม่ตั้งใจ หน้าอกอวบอิ่มแสนนุ่มนิ่มของหญิงสาวชิดแนบอิงกับแผ่นหลังอีกฝ่ายตลอดทาง ซึ่งไป๋หลี่หานก็มิได้เอาเปรียบใดๆ รีบโน้มตัวเพื่อเคลื่อนแผ่นหลังหนีออกจากเนินอกดั่งซาลาเปาสองลูกของนาง แยกห่างออกมา
เซียถงพยายามรักษาสมดุลร่างกายตนเองให้มั่นคง จากนั้นค่อยขยับถอยห่างออกมาเล็กน้อย เพิ่มช่องว่างระยะห่างระหว่างตัวเองกับไปหลี่หานให้มากขึ้นบนหลังม้า แต่ควบทะยานไปได้สักสักครู่ ด้วยแรกกระชากตอนออกวิ่ง ก็กลับทำให้นางเสียการทรงตัวฉับพลัน หน้าอกหน้าใจล้มไปชนกระแทกกับไป๋หลี่หานอีกครา และเป็นแบบนี้เกือบตลอดเส้นทาง