ตอนที่399 ทางแยก
ตอนที่399 ทางแยก
พิษที่ตกค้างในร่างกายเซียถงยังมิได้สลายหายไปโดยสมบูรณ์ ผ่านไประยะหนึ่ง การเคลื่อนไหวของนางเริ่มช้าลงและช้าลง จนในที่สุดก็เริ่มโซเซยืนพิงพักอยู่ข้างกำแพง ค่อยๆ เหลียวสายตามองย้อนกลับไปหาเย่หลีเทียนที่อยู่ในเงามืดเบื้องหลัง เอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้าขึ้นว่า
“ผืนพิภพแห่งนี้ มันช่างมืดมนยิ่งนัก มีหลายครั้งที่คนเรามักจะถูกจำกัดทางเลือกที่เดิมที่ควรเป็นอนันต์ บ้างก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะตัดสินใจ ทำได้เพียงฝืนใจเดินต่อไป”
“นี่แหละชีวิต”
กล่าวจบ เซียถงก็หันศีรษะกลับและมุ่งหน้าลากสังขานร่างตัวเองเดินต่อไป
สถานการณ์ระหว่างนางกับเย่หลีเทียนในเวลานี้เปลี่ยนไปทันที เมื่อวาจาประโยคนี้แพร่งพรายออกมา ถึงขนาดที่ทำให้เย่หลีเทียนคิดกับตัวเองว่า บางทีกลับเป็นนางที่น่ากลัวกว่าตัวเขาเองด้วยซ้ำ และสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้แล้วก็คือ ความเลือดเย็นและโหดเหี้ยมของนาง
“คนเรามักจะถูกจำกัดทางเลือกที่เดิมทีควรเป็นอนันต์… ทำได้เพียงฝืนใจเดินต่อไป…”
เย่หลีเทียนชะงักค้างตัวแข็งอยู่ตรงนั้นสักพัก เอ่ยทวนคำพูดของเซียถงที่ทิ้งทวนไว้ให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตาคู่ทมิฬมืดที่กำลังจับจ้องแผ่นหลังเพลียวบางของอิสตรีเบื้องหน้า ยามนี้ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสดใสเจิดจ้า
กลับกลายเป็นว่า เซียถงเข้าใจในมุมมองของเขาต้องประสบพบเจอดีอยู่แล้ว ซึ่งนางก็แตกต่างไปกับผู้หญิงคนอื่นที่เคยเห็นเขากำลังดูดเลือดมนุษย์อยู่โดยสิ้นเชิง หญิงสาวพวกนั้นล้วนแต่วิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวตื่นตระหนก แสดงทีท่าทั้งยังปฏิบัติราวต่อเขาเป็นสัตว์เดรัจฉานดุร้ายไร้หัวใจ แต่ไม่ใช่กับหญิงสาวตรงหน้าของเขาในตอนนี้เลย ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า ตนกินเลือดมนุษย์ แต่ก็ยังเลือกเดินนำหน้า ปล่อยให้ตัวเขาเดินติดตามอยู่ท้ายหลังโดยไม่มีกลัวเกรงใดๆ
แลมองแผ่นหลังบางสวยตรงหน้า เย่หลีเทียนพลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างน่าประหลาด สัมผัสได้ว่า โลกอันมืดมิดที่ตนอยู่ เริ่มจะสว่างขึ้นทีละเล็กละน้อย จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าก้าวย่าง ยกมือขึ้นตบไหล่เซียถงเบาๆ และเดินแทรกขึ้นหน้าอาสานำแทน ปริปากเอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้นว่า
“ข้าฟื้นตัวเกือบสมบูรณ์แล้ว เดี๋ยวนำเอง”
เซียถงประหลาดใจไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะชะลอฝีเท้าปล่อยให้อีกฝ่ายเดินนำหน้าไปอย่างเงียบงัน ไม่ตอบโต้เอ่ยปากอันใดสักคำ เพราะคงเป็นเรื่องดีกว่าจริงๆ ที่ให้เย่หลีเทียนเป็นคนเดินนำ สภาพร่างกายของนางในเวลานี้ค่อนข้างอ่อนแอมาก หากเกินอะไรขึ้นมา ในฐานะแนวหน้าคงยากเกินกว่าจะรับมือใดๆ
ทางเดินเบื้องหน้าเริ่มมีขนาดกว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คล้อยหลังเดินต่ออีกสักพักใหญ่ เบื้องหน้าของพวกเขาก็มีทางแยกออกเป็นสามสาย
เย่หลีเทียนกวาดสายตามองไปที่ทางแยกทั้งสามสาย หันกลับมาเอ่ยถามเซียถงขึ้นว่า
“ทางใด?”
เซียถงก้าวย่างขึ้นหน้า เหม่อมองทางแยกทั้งสามพลางครุ่นคิดกับตัวเองในใจ เจ้าคณบดีบัดซบนี่เจ้าเล่ห์โดยแท้ ถึงขนาดสร้างเส้นทางแยกในอุโมงค์ลับใต้ดินไว้มากมาย หนึ่งในสามสายจะต้องเป็นเส้นทางที่นำไปสู่วังหลวง แต่กลับมิทราบ อีกสองสายที่เหลือจะเป็นทางออกไปที่อื่นๆ ภายในเมืองเฟิงหลี่ หรือจะเป็นกับดักกันแน่?
“หนึ่งในสามสายนี้จะต้องเป็นทางไปที่วังหลวง ทว่าตอนมาที่นี่ ข้ากลับสลบไม่ได้สติ จึงจำไม่ได้เลยว่า เส้นทางสายไหนคือทางเข้าวังหลวง”
เย่หลีเทียนขมวดคิ้วแน่น
“แล้วอีกสองทางล่ะ? เจ้าคิดว่า มันจะพาไปไหน?”
เซียถงเองก็ขมวดคิ้วคิดหนักเช่นกัน
“เราเองก็มิทราบว่ามันจะพาไปยังแห่งหนใด แต่ไม่ว่าสายใดควรพาออกไปจากที่ใต้ดินแห่งนี้ได้ทั้งนั้น อืม…ไม่เช่นนั้นลองไปเส้นกลางดู? เราลองคาดเดาดูน่ะ”
น้ำเสียงของเย่หลีเทียนดูเป็นกันเองมากขึ้นจากก่อนหน้า ไร้ซึ่งความห่างเหินและเย็นชาดั่งก่อนหน้า
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเอ่ยถามของเย่หลีเทียน เซียถงก็ชำเลืองหางตามองอีกฝ่ายเจือแววประหลาดใจ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่อีกฝ่ายดูสนิทใจกับนางถึงปานนี้? ทัศนคติมุมมองของเขาที่มีต่อนาง มันไม่เปลี่ยนเร็วเกินไปหน่อยรึ? ถึงแม้จะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่นางก็ยังเอ่ยตอบเบาๆ ไปว่า
“ขึ้นอยู่กับท่านอัครมหาเสนาบดีเย่นำทางเลย”
อย่างไร น้ำเสียงที่เอ่ยตอบออกไปของเซียถงยังคงรักษาความห่างเหินและสุภาพดั่งคนอื่นคนไกล ทำเอาเย่หลีเทียนเลิกคิ้วมองอย่างฉงนใจ ครุ่นคิดอยู่สักครู่ ค่อยก้าวเท้านำออกไปสู้เส้นทางสายกลาง
เซียถงเดินติดตามเว้นระยะตามเหมาะสม ไม่ใกล้หรือไกลจนเกินงาม และเมื่อมุ่งสู่เส้นทางสายกลาง ทางเดินภายในนี้ก็แคบลงจนเกือบจะเท่ากับทางก่อนหน้านี้ ขนาบข้างกำแพงสองฟากฝั่งเป็นชั้นโคลนหนา พร้อมตะเกียงไฟลูกปัดส่องแสงสลัว วิสัยทัศน์การมองเห็นลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ทั่วบริเวณยังมีกลิ่นหอมจางๆ
เย่หลีเทียนเดินนำอยู่ห่างเซียถงประมาณห้าก้าว ทว่าสิ่งที่นางเห็นเบื้องหน้ากลับเป็นภาพเงาร่างอีกฝ่ายจางๆ เท่านั้น
หลังจากเดินไปได้สักพัก ฝีเท้าของเซียถงที่เคลื่อนไหวออกไปก็เริ่มช้าลงเรื่อยๆ จนนางรู้สึกราวกับว่า เท้าคู่นี้หาใช่ของนางอีกต่อไป และไม่สามารถควบคุมอันใดได้อีก เมื่อระยะก้าวทั้งช้าและสั้นลงต่อเนื่อง ส่งผลให้เจ้าตัวทิ้งระยะห่างออกจากเย่หลีเทียนมากขึ้น แต่ด้วยนิสัยหัวรั้นของตน นางไม่ค่อยเต็มใจนักที่จะส่งเสียงเรียกให้อีกฝ่ายเดินช้าลง ทำได้แค่กัดฟันเร่งความเร็วเพื่อเดินหน้าต่อไปอย่างสุดความสามารถ
และไม่นาน นางก็มองไม่เห็นแผ่นหลังของเย่หลีเทียนอีกต่อไป ร่างกายหนักอึ้งเสมือนกำลังแบกหุบเขาลูกใหญ่ เท้าทั้งสองข้างของนางรู้สึกชาจนไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกใดๆ ได้อีก แต่ละก้าวที่เยื้องย่างมีแต่ช้าลงและช้าลง
จนท้ายที่สุด นางก็ไม่สามารถเดินขึ้นหน้าต่อไปได้ไหว เอนตัวชนเข้ากับกำแพงโคลนอย่างแรง พลางคิดกับตัวเองในใจ เย่หลีเทียนน่าจะล่วงหน้าไปไกลโขแล้ว มิว่ายังไง นางก็ตามอีกฝ่ายไม่ทันอยู่ดี สู้พักผ่อนเอาแรงตรงนี้ก่อนสักระยะ ค่อยมุ่งหน้าเดินต่อไป คิดได้เช่นนั้นก็ล้มตัวนอนพักกับกำแพงทันทีและผล็อยหลับไป
หลังจากพักผ่อนเป็นเวลานาน แขนขาคู่นี้ก็ยังหนักอึ้ง พละกำลังแทบจะไม่ฟื้นคืนกลับมาเลย แต่ด้วยเวลาที่ล่วงเลย เซียถงทำอะไรไม่ได้นอกจากจะต้องกัดฟันฝืนเดินต่อไป
เพิ่งจะย่างเท้าออกไปได้ครึ่งก้าว นางก็เห็นเย่หลีเทียนที่กำลังนั่งลงพิงกำแพงอยู่ข้างๆ ไม่ห่างเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าเย่หลีเทียนยังไม่จากไปไหน ลึกๆ ในใจนางก็แอบรู้สึกดีอยู่บ้าง จึงพยายามบังคับทิศทางเดินตรงไปหา ขณะที่อีกฝ่ายกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก นั่งไขว่ห้างไปพลางอยู่ หันไปพบนางจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เราเหนื่อยเล็กน้อย ขอตัวพักก่อนสักครู่”
“อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีอีกรึ? ไฉนถึงเดินไม่ไหวเสียแล้ว?”
เอียงศีรษะเหม่อมองไปทางเขาด้วยความสงสัย พลังความแข็งแกร่งของชายคนนี้น่าจะฟื้นคืนเกินกว่าเจ็ดส่วนแล้ว ไม่น่าจะมารู้สึกเหนื่อยกับเรื่องแค่นี้ได้?
“หยุดพักระหว่างทางก่อนดีกว่า เราเกรงว่าเบื้องหน้าอาจมีภัยอันตราย เจ้านั่งพักปรับลมหายใจให้คงที่กว่านี้ก่อนเถิด”
เย่หลีเทียนหันมายิ้มให้ ซึ่งมิอาจทราบได้ว่า นี่เป็นภาพลวงตาที่ใช้หลอกล่อเซียถงหรือไม่ แต่นางกลับสัมผัสได้ถึงควาอ่อนโยนที่แผ่ออกมา
ไม่บอกก็รู้ว่าเย่หลีเทียนพูดแบบนี้กำลังหมายความว่าเยี่ยงไร กล่าวตามตรงก็คือ อยากให้เซียถงได้นั่งพักก่อนนั่นแหละ
แต่ด้วยความหัวรั้นของนาง มีหรือที่พูดสั่งการไปตรงๆ แล้วจะยอมแต่โดยดี?
“นายท่าน! มีคนแอบโรยผงเครื่องหอมบนตัวกล้วยไม้พวกนั้น! ทั้งข้ากับเจ้าวิญญาณกระบี่ต่างสลบไม่ได้สติกันหมด!”
ทันใดนั้นเอง เสี่ยวฮั่วก็ตื่นขึ้นแล้ว แต่ฟังจากน้ำเสียงมันดูอ่อนแอมาก
เห็นท่าทีของเสี่ยวฮั่วในสภาพเช่นนี้ เซียถงพึงทราบ ตัวมันในตอนนี้ไร้ซึ่งพลังรักษาระงับพิษใดๆ จึงตอบกลับแค่ว่า จงกลับไปและหลับพักผ่อนให้จงดี รักษาพลังที่มีไว้ใช้ช่วยเหลือนางในยามวิกฤตคับขัน
เสี่ยวฮั่วกลับไปพักผ่อน ส่วนทางเซียถงก็พยายามรีดเร้นพลังลมปราณที่พอฟื้นตัวจากในร่างกาย เพื่อขับพิษออกมา เมื่อไม่กี่วันก่อน ฤทธิ์ของพิษค่อนข้างรุนแรงแกร่งกร้าว ส่งผลให้นางไม่สามารถหยิบใช้พลังลมปราณใดๆ ออกมาได้เลย แต่ปัจจุบันค่อนข้างดีกว่าก่อนหน้ามาก พอจะเริ่มระดมพลังลมปราณให้จับกลุ่มก้อนได้ย่อมๆ แล้ว ถึงแม้ขับก้อนพิษออกมาได้ปริมาณน้อยมากต่อรอบ แต่นางกลับรู้สึกยินดีปรีใจมิใช่น้อย และมุ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับการขับพิษต่อไป
เย่หลีเทียนเองก็กำลังนั่งปรับลมหายใจให้คงที่ มองย้อนกลับไปหาก็พบหญิงสาวนางหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เคียงข้าง หลับตาสองข้างสนิท อาการอ่อนเพลียค่อยๆ ดูดีขึ้นตามลำดับถึงจะไม่มากก็ตามที เขาระบายยิ้มอ่อนส่งให้อย่างลับๆ
แต่ไม่นาน เย่หลีเทียนก็พลันได้ยินเสียงดังกรอบแกรบออกมาจากด้านหลัง ซึ่งระดับเสียงดังกล่าวค่อนข้างแผ่วเบามาก หากมิใช่เพราะเขากำลังนั่งปรับลมหายใจ มีสมาธิกับตัวเองอยู่ เกรงว่าไม่ทันสังเกตแน่นอน จึงรีบเบิกตากว้างมองย้อนกลับไปเส้นทางที่เดินผ่านกัน เพื่อระบุหาต้นเหตุของเสียงดังกรอบแกรบนี้
ไม่มีสิ่งใดผิดปกติเลยแม้สักนิด แต่เสียงดังกรอบแกรบก็ยังดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ฟังดูจางอ่อนแทบจับสัมผัสไม่ได้ เผลอไม่กี่อึดใจ มันก็ดังติดด้านหลังเซียถงมาแล้ว