ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง – ตอนที่ 475 ใครกันที่ลักพาตัวชิงเยวี่ย (1)

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ตอนที่475 ใครกันที่ลักพาตัวชิงเยวี่ย (1)

ตอนที่475 ใครกันที่ลักพาตัวชิงเยวี่ย (1)

เซียถงสืบมองร่องรอยที่หลงเหลือตามทางพื้น ในชีวิตก่อนหน้า ฐานะนักฆ่าอันดับหนึ่ง แค่เศษเสกรตกอยู่ในที่เกิดเหตุหรือซากใบไม้แห้งสักใบ นางก็สามารถสาวไปถึงตัวการได้อย่างแม่นยำ

นางย่อตัวเอนกายลง ยื่นมือลูบสัมผัสรรอยเท้าบนพื้นที่เกลือนกลานไร้ระเบียบเหล่านั้น เพราะนี่เป็นหนึ่งในเบาะแสที่สำคัญที่สุดที่มีอยู่

นางใช้มือทาบเป็นไม้บรรทดเพื่อวัดขนาดของรอยเท้าต่างๆบนนั้น

ทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏร่างหนึ่งก้มตัวนั่งยองอยู่เคียงข้าง หลิวซูในชุดสีเพลิงแดงเหม่อมองเซียถงเท้าคางอย่างว่างเปล่า เอ่ยถามด้วยความสงสัยขึ้นคำหนึ่งว่า

“นี่กำลังทะไรอยู่?”

เซียถงเงียบไม่ตอบ กวาดสายตามองรอยเท้าที่อยู่แถวนั้นเพิ่มเติม อีกสักครู่ก็ขมวดคิ้วถักแน่นและกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นว่า

“ผู้ก่อเหตุเป็นชายในวัยกลางคน”

ทั้งนี้ยังชี้ไปยังรอยเท้าตรงหน้าจุดหนึ่งที่เพิ่งวัดทาบ นางกล่าวเสริมขึ้นอีกว่า

“รอยหนึ่งค่อนข้างจมลึกกว่าอีกสองสามรอยโดยรอบ น่าจะเกิดจากการแบกหามร่างคนขณะเคลื่อนที่”

พินิจสืบเสาะอยู่สักระยะหนึ่ง เซียถงกล่าวต่อว่า

“คนพวกนั้นน่าจะลักพาตัวชิงเยวี่ยไป ส่วนสองพี่ส้องตระกูลเค่อกับโม่ซวนน่าจะหนีตายออกไปได้”

หลิวซูได้ยินข้อสันนิษฐานชุดใหญ่จากปากเซียถง มันก็เบิกตาโตตะลึงงันทันใด

“นี่เจ้ารู้ได้ยังไง? อย่าบอกว่าสันนิษฐานจากรอยเท้าเพียงเท่านี้? กระทั่งใครหนีรอดใครโดนลักพาตัวก็ยังพึงทราบ! ชักจะละเอียดราวกับตาเห็นเกินไปแล้ว!”

เซียถงถลึงตามองบนใส่หลิวซูไปทีหนึ่ง การที่มันเอ่ยปากชื่นชมกันเช่นนี้ ช่างดูขัดจากภาพลักษณ์กวนประสาทของตัวทมันเองโดยสิ้นเชิง และนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกเช่นกันที่หลิวซูส่งสายตายกย่องนางเช่นนี้ อย่างไร นางเองก็หาได้สนใจเท่าไหร่นัก และยังคงกล่าวอธิบายต่อว่า

“เพราะในบรรดาทั้งสี่ มีเพียงชิงเยวี่ยคนเดียวที่ไร้ซึ่งพลังต่อสู้และทักษะยุทธ์ใดๆ อีกทั้งเป็นนักหลอมโอสถหาใช่นักพิษ หากโดนบุกขึ้นมา กล่าวคือ เขาไม่สามารถป้องกันตัวจากภัยอันตรายได้เลย”

เซียถงชี้นิ้วไปทางปากถ้ำที่อยู่หน้าสุด ต่อด้วยตามข้างกำแพงช่วงกลางขนาบซ้ายขวาด้านใน จากนั้นก็เอ่ยว่า

“ปากถ้ำด้านหน้ามีอยู่สองร่องรอยเด่นๆ หนึ่งคือรูโหว่ที่เกิดจากฝ่ามืออัดลมปราณตบทำลาย คาดได้ว่าควรจะเป็นฝีมือของฝ่ายศัตรู เพราะในบรรดาพวกเราทั้งห้า ไม่มีใครเน้นใช้ศิลป์การต่อสู้มือเปล่าเป็นหลัก และอีกหนึ่งคือรอยฟันของคมกระบี่ วิเคราะห์จากขนาดรอยที่หนาเป็นพิเศษ นี่เป็นฝีมือของโม่ซวนแน่นอน ขณะที่รอยฟันจากบนกำแพงทางด้านซ้ายและขวา ควรเป็นของสองพี่น้องคู่นั้น โดยมีชิงเยวี่ยอยู่ส่วนลึกสุดภายในของถ้ำ ร่างของทั้งสามยืนประจำตำแหน่งแปรเป็นรูปสามเหลี่ยม เพื่อสร้างค่ายกลเป็นปราการป้องกันมิให้ศัตรูเข้าใกล้ได้”

หลิวซูยืนฟังนางอธิบาย พยักหน้าตอบรับเป็นบางจังหวะ ก่อนท้ายที่สุดจะเดินไปหยุดตรงหน้ารอยเท้าขนาดใหญ่คู่หนึ่งที่ดูแปลกตาที่สุด มันกล่าวว่า

“อีกฝ่ายบุกโจมตีที่นี่?”

เซียถงพยักหน้า แต่แล้วสายตาของนางก็หรี่แคบลง เร้นแฝงแววครั่นคร้ามอยู่หลายส่วน

“อีกฝ่ายที่ว่ามีตัวคนเดียว แต่กระทั่งการโจมตีของสามผสานก็ยังไม่สามารถโค่นลงได้!”

กล่าวออกไปดังนั้น นางก็ลองยกเท้าสืบขาเข้าประกบตามรอยเท้าที่อยู่บนพื้นเหล่านั้น จำลองสถานการณ์จริงของทุกคนอย่างละเอียดถี่ถ้วน

“สองพี่น้องคู่นั้นเป็นถึงยอดปรมาจารย์จักรพรรดิครามฟ้าครึ่งขั้น แต่กลับพ่ายให้แก่ศัตรูเพียงคนเดียว? เกรงว่าพลังความแข็งแกร่งของพวกมันคงถูกย้อมสีกระมัง?”

จนถึงตอนนี้หลิวซูก็ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินอยู่ดี

“ดูนี่ เห็นรอยเท้าสะเปะสะปะบนพื้นหรือไม่? เนื้อดินรอบรอยเท้าแตกตัวกระจายออกจากกันซึ่งเกิดจากกระแสลมปปราณ เหล่านี้น่าจะเกิดจากสองพี่น้องคู่นั้นและโม่ซวนทิ้งทวนเอาไว้ในระหว่างประสานท่าโจมตีสัประยุทธ์เดือดกับอีกฝ่าย”

อาศัยเบาะแสตามสภาพแวดรอบทั่วถ้ำแห่งนี้ เซียถงสามารถจินตนาการสร้างของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ในมโนทัศน์ย่างรวดเร็ว

หนึ่งคนหนึ่งแรงปะทะกับขุมพลังของสามผสานร่วมมือ แต่ด้วยความแข็งแกร่งอันเหนือจินตนาการของอีกฝ่ายที่ปลดปล่อยออกมา ส่งผลให้การผสานโจมตีของสองพี่น้องตระกูลเค่อและโม่ซวนถูกสะท้อนกลับคืนมา

เซียถงเปลี่ยนตำแหน่งย้ายออกมาโดยไว จากนั้นก็เริ่มจำลองภาพฉากต่อไป ผลักร่างตัวเองติดกับกำแพงด้านหนึ่ง สวมบทบาทเป็นสามคนนั้นหลังจากโดนสะท้อนการผสานโจมตีกลับมา ทำท่าทำทางเป็นยกกระบี่ขึ้นมาปัดป้อง ต้านรับกระบวนโจมตีของศัตรูอย่างสิ้นหวัง มือข้างหนึ่งคล้ายถูกปัดไปกระแทกแผ่นหินด้านหนึ่ง นางหันมากล่าวกับหลิวซูว่า

“หลิวซูช่วยมาดูนี่หน่อย เห็นรอยคมกระบี่หนักตรงนี้หรือไม่ ควรจะเป็นของโม่ซวนมากกว่าสองพี่น้องกระมัง?”

หลิวซูมุ่งสายตาจับจ้องด้วยความสงสัย แต่มองอยู่สักพักจึงค่อยพยักหน้าตอบ

เซียถงย้ายตำแหน่งเปลี่ยนที่อีกครั้ง คราวนี้น่าจะเป็นจุดที่เค่อมู่ถูกซัดกระเด็น ร่างกระแทกชนกำแพงถ้ำอีกด้าน

ส่วนคราบเลือดบริเวณนั้นน่าจะเป็นเลือดสดที่เค่อมู่กระอักพ่นออกมา หลังจากที่กระแทกชนอย่างจัง

ซี่งคราบเลือดเหล่านี้ล้วนแต่แห้งหมดแล้ว จากสีแดงสดเปลี่ยนกลายเป็นสีน้ำตาล ดูเหมือนศึกสัประยุทธ์นี้จะผ่านมานานแล้วสักระยะ ควรเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่เซียถงจากออกไป

หลิวซูกล่าวว่า

“ดูท่าอีกฝ่ายต้องการลักพาตัวชิงเยวี่ยตั้งแต่แรก?”

ฟังบทสรุปการวิเคราะห์ของเซียถงเสร็จสรรพ มันก็พอเข้าใจโดยส่วนใหญ่แล้ว เหลือก็เพียงจุดประสงค์ที่ยังคลุมเครือ

“แล้วใครกันที่เป็นคนลักพาตัวชิงเยวี่ย? แล้วทำไมจะต้องเป็นบุตรชายบุญธรรมขององค์จักรพรรดิซีฉินด้วย?”

เวลานั้นเอง เสี่ยวฮั่วก็เอ่ยขึ้นเสริมว่า

“หรือจะเป็นคนกลุ่มนั้นที่นายท่านเพิ่งปะทะกันมา?”

ได้ยินดังนั้น เซียถงก็หยิบจี้หยกชิ้นที่จวิ๋นเส้ามอบให้ขึ้นมา ถูลูบไปมาชวนครุ่นคิด

“ไม่น่าเป็นไปได้!”

ทั้งเรื่องเวลาการเกิดเหตุและแรงจูงใจ ยังไงก็ไม่มีความสอดคล้องกันเลย! และที่สำคัญนายน้อยแห่งเมืองจวิ๋นเทียนคนนั้นจะเป็นคนประเภทอย่างว่าได้เยี่ยงไร? สำหรับเรื่องของชายหนุ่มคนนี้ กลับคาดไม่ถึงเลยว่า มันจะเคยมีอยู่ในความทรงจำดั่งเดิมของนางเช่นกัน เดิมที เซียถงตั้งใจจะรีบกลับมาไถ่ถามเกี่ยวกับเรื่องของเขากับโม่ซวน ทว่าอย่างไร ทุกอย่างมันโกลาหลไปหมด โม่ซวนก็หายตัวไป แถมชิงเยวี่ยยังถูกลักพาตัวอีก

นางบีบจี้หยกในมืออย่างแรง กล่าวว่า

“ไม่ว่าใครหน้าไหนที่กล้าลักพาตัวชิงเยวี่ย บัญชีแค้นคราวนี้นับว่าถูกสลึกจารึกไว้แล้ว ผู้ใดอาจรังแกมิตรสหายข้า มันผู้นั้นดวงถึงฆาต!”

“นายท่าน แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดี?”

ถึงแม้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายยังไม่ชัดเจน แต่ข้ามั่นใจกว่าแปดส่วน เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับหุบเขาคุนหลุนแน่นอน กลุ่มนักฆ่าที่ถูกส่งมาลอบสังหารพวกเราระหว่างทางถือเป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี ผู้คนทั่วทั้งทวีปเทียนหลางต่างไม่ต้องการให้ข้าได้บัญชาสี่พิภพมาครอบครอง ศัตรูคราวนี้เองก็น่าจะเช่นเดียวกัน และที่ยิ่งไปกว่านั้น มันควรทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้างกับชิงเยวี่ย จึงคิดจับตัวเขาเป็นตัวประกัน หวังใช้ข่มขู่เพื่อให้แลกเปลี่ยนกับบัญชาสี่พิภพ”

เซียถงเหลือบแลไปทางหลิววูที่อยู่ด้านข้าง

“ตอนนี้พวกเราควรมุ่งหน้าออกจากหุบเขาเทียมฟ้าก่อน! มุ่งหน้าสู่หุบเขาคุนหลุนเพื่อนำบัญชาสี่พิภพลงมาเป็นอันดับแรก!”

ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ของนางเองก็ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์จากทั้งหลิวซูและเสี่ยวฮั่ว พวกมันต่างเห็นด้วยเหมือนกัน

จู่ๆหลิวซูจำแลงกายเป็นกระบี่ทัณฑ์ฟ้าโดยไว แต่คราวนี้ขนาดตัวกระบี่ใหญ่กว่าตามปกติของมันเล็กน้อย มันส่งเสียงร้องดังขึ้นว่า

“ขึ้นมาเร็ว! ออกจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”

เซียถงหาได้สนใจฟังคำกล่าวของมันเลย แต่ยังตะลึงกับรูปร่างของมันที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

เสี่ยวฮั่วรีบอธิบายให้ฟังทันที

“นายท่าน ตอนที่ท่านสำแดงใช้เกราะแสงวิญญาณผนวกรวมเข้ากับกระบี่ทัณฑ์ฟ้า มันเองก็ได้รับพลังลมปราณที่ตกค้างอยู่ในนั้นเช่นกัน ส่งผลให้มันมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างที่เห็น เท่านี้ท่านก็สามารถใช้มันบินได้แล้ว!”

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

Status: Ongoing
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต ได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยโฉมหน้าอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!เธอคือนักฆ่ามือวางอันดับหนึ่งแห่งยุค2018 แต่กลับถูกคนที่รักและไว้ใจที่สุดซ้อนแผนและสังหารเธอทิ้งในระหว่างภารกิจหนึ่ง ส่งผลให้วิญญาณของเธอทะลุมิติไปยังโลกอื่น! ซึ่งนางคนนี้เป็นคุณหนูสายตรงแห่งจวนเสนาบดี ใบหน้าช่างอัปลักษณ์น่าเกลียด ทว่ากลับมีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะพลังที่น่าทึ่ง!ในท้ายที่สุดนางได้เสียชีวิตลงเพื่อช่วยชีวิตชายที่นางรักสุดหัวใจ และนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่วิญญาณนักฆ่าสาวสลับเข้าร่าง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความงดงามดั่งบุปผาซ่อนพิษซึ่งเป็นจุดเด่นของเธอได้หายไป! โลกทั้งใบที่เคยรู้จักกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว! ใบหน้าอัปลักษณ์? จุดตันเถียนถูกทำลายจนกลายมาเป็นสตรีพิการบ่มเพาะพลังไม่ได้? เจ้าของร่างเก่าถูกสังหารทิ้งโดยไม่มีผู้ใดไยดี? แต่ไม่เป็นไร ทั้งทักษะการฆ่าและจิตใจของเธออันไร้เมตตายังคงอยู่ เรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของแม่เลี้ยงกับบุตรสาวของฮูหยินรอง? ได้! ได้เลย! ทุกคนไม่ว่าใครหน้าไหนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการนี้ จะไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดไปได้แน่แท้! ควบคุมหมื่นอสูร หลอมกลั่นโอสถ ตียุทธ์ภัณฑ์สร้างสิ่งประดิษฐ์ แม้แต่สวรรค์ยังต้องก้มกราบข้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท