ตอนที่607 ผู้อาวุโสใหญ่ผู้พึงระวัง (1)
ตอนที่607 ผู้อาวุโสใหญ่ผู้พึงระวัง (1)
ทวีปจวิ๋นเทียนมีพื้นที่ภูมิศาสตร์ตั้งอยู่ในส่วนลึกของมหาสมุทร และด้วยประสบการณ์เอาชีวิตรอดจริงที่สั่งสมกันนานนับหลายปี จึงก่อเกิดสิ่งที่เรียกว่านวัตกรรมขึ้นมา เมื่อผ่านการปรับปรุงแก้ไขพร้อมทั้งต่อยอดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ส่งผลให้อุตสาหกรรมด้านการต่อเรือเกิดเป็นที่เฟื่องฟูและมีพัฒนาการถึงขีดสุดแห่งยุค
เซียถงยืนรับลมอยู่บนระเบียงเรือชั้นสี่ ชำเลืองสายตามองลงไปยังคลื่นน้ำเชี่ยวที่เคลื่อนชนเกิดเป็นระลอก เรือลำนี้มีความเร็วในการเคลื่อนที่ที่สูงมาก บางครั้งบางทียังมีโลมากระโดดเผยแสดงตัวขึ้นมาขนาบเรือสองด้าน เดินหน้าเคียงคู่ไปด้วยกัน
นกนางนวลตัวใหญ่ร่อนสยายโฉบเฉี่ยว ชักนำกระแสลมสมุทรหอบใหญ่กระทบใบหน้า นอกเสียจากสุ้มเสียงของเหล่าธรรมชาติแล้ว เสมือนทั่วทั้งผืนพิภพช่างเงียบสงบยิ่งนัก
เซียถงตกสู่ภวังค์แห่งสุนทรียภาพแห่งธรรมาชาติกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลไปครู่ใหญ่ สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านไปตรงหน้าประดุจฝันไป!
ภายหลังตื่นจากภวังค์ความฝันนี้ นางก็ทอดสายตาสุดฟ้าไกล แลเห็นท้องสมุทรเวิ้งว้างไร้ขอบเขต ภาพฉากเหล่านี้ได้ชะล้างจิตวิญญาณจากเบื้องลึกในใจนางให้สะบายปลอดโปร่งอีกครั้ง บรรยากาศที่นางกำลังซึมซับสัมผัสตอนนี้คือความสงบอย่างแท้จริง แต่สักครู่หนึ่ง เมื่อครุ่นย้อนนึกถึงความจริงที่ผ่านมา เสมือนก่อเกิดช่องว่างอะไรบางอย่างขึ้นในหัวใจดวงนี้ และไม่มีสิ่งใดสามารถเติมเต็มส่วนที่ขาดหายนี้ลงได้ ท้ายที่สุด นางหมุนตัวจากออกมาอย่างเงียบงัน กลับมาสู่ห้องพักดุจโถงขนาดใหญ่ พร้อมกับเงามืดที่เรียกว่าความเหงาตามติดนางไปทุกที่
ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เข้ามา”
“พี่ถง ข้าเอง!”
หงอวี๋ผลักประตูเปิดเข้ามา นางเห็นเซียถงที่เพิ่งเดินกลับจากระเบียงก็กล่าวขึ้นต่อว่า
“ใกล้ถึงแล้วล่ะ เตรียมตัวเถิด”
เซียถงพยักหน้าเหลียวหลังกวาดมองทิวทัศน์ท้องสมุทรอันกว้างไพศาลเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งคราวนี้จะเก็นเงาดำกลุ่มหนึ่งบนสุดขอบเส้นสายตาไกลโพ้นอยู่กระจุกหนึ่ง
ไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลา เซียถงย่อมทราบตรงนั้นก็คือเกาะเหล่ยเฟย! เนื่องด้วยที่ผ่านมาทิศทางกระแสลมค่อนข้างเอื้ออำนวยต่อพวกเขามิใช่น้อย ใช้เวลาเพียงไม่นานเกินรอก็มาถึงตามใจสมหมาย และดูเหมือนว่า พรุ่งนี้จะเป็นวันเริ่มต้นภารกิจแล้ว
ผู้อาวุโสใหญ่เคยกล่าวเป็นนัยก่อนหน้านี้ว่า ถึงแม้พยามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิงจะมิได้ว่ายผ่านช่องแคบตามที่คำนวณไว้ แต่ยังไงเขาก็มีวิธีที่จะทำให้มันว่ายผ่านจุดนี้มาได้ กระนั้นไม่ว่าใครจะเอ่ยถามอย่างไร เขาก็แค่ยิ้มและมิได้เอ่ยปากพูดอะไรอีกเลย
เมื่อเดินเรือนจนมองเห็นเกาะเหล่ยเฟยชัดเจน ผู้อาวุโสใหญ่ก็สั่งให้ทุกคนมาประชุมรวมตัวในโถงชั้นล่างอีกครั้ง
“เรียนท่านผู้อาวุโสใหญ่ สัตว์วิญญาณของข้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจของพยามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิงขอรับ!”
ซ่งเหว่ย บุตรชายของผู้อาวุโสสามแห่งสภาสูงรีบกล่าวรายงาน ในขณะนั้นก็ยังอุ้มสัตว์อสูรตนหนึ่งคล้ายสุนัขอยู่ในอ้อมแขน แต่ถึงรูปร่างหน้าตาจะคล้ายสุนัขยังไง ทว่ากลับไม่ใช่อย่างที่คิด
ทุกคนต่างเหลียวศีรษะจับจ้องสัตว์วิญญาณในอ้อมแขนของซ่งเหว่ยเป็นตาเดียว ระหว่างสัตว์วิญญาณกับเจ้าของจะสามารถสื่อจิตเชื่อมต่อกันได้ผ่านห้วงจิตวิญญาณ
“เทียนน้อยของเจ้ามีความสามารถพิเศษ สามารถจับกลิ่นอายการดำรงอยู่ของสัตว์อสูรธาตุน้ำได้ ซึ่งพญามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิงตนนี้ เป็นสัตว์อสูรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาธาตุน้ำทั้งหมด ลมหายใจของมันสามารถพ่นแผ่ไปได้ไกลกว่าร้อยลี้ในหนึ่งครั้ง”
คำอธิบายประโยคนี้ของซ่งเหว่ยมอบให้สำหรับเซียถงโดยเฉพาะ
เขาเป็นเพียงไม่กี่คนในบรรดากลุ่มชนชั้นสูงในทวีปจวิ๋นเทียนที่ให้เกียรติต่อเซียถงที่สุด กล่าวคือ ทัศนคติของเขาที่มีต่อเซียถงออกไปทางดีถึงดีมาก
เซียถงพยักหน้ายิ้มตอบ
“หากเช่นนั้น พอจะทราบแน่แล้วกระมังว่า พญามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิงจะมาถึงเมื่อใด?”
ซ่งเหว่ยกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มกลับไปว่า
“ถูกต้อง แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน เนื่องด้วยระยะลมหายใจที่สัมผัสได้ยังค่อนข้างอยู่ไกล หากในภายหลังเจ้าเทียนน้อยสามารถตรวจจับอะไรได้เพิ่มเติมจะรีบแจ้งให้ทราบอีกครั้งแต่เนิ่นๆ”
ซ่งเหว่ยดูมีความมั่นใจอย่างมากกับสัตว์วิญญาณของตนเอง
เวลาเดียวกัน เซียถงก็ยังปลุกเสี่ยวฮั่วที่ซึ่งกำลังหลับปุ๋ยอยู่ในห้วงความคิดของนาง
เสี่ยวฮั่วขยี้ตางัวเงียของมัน อ้าปากกว้างหาวฟอดใหญ่และกล่าวว่า
“ข้าเป็นสัตว์อสูรธาตุไฟ หากมันคือจ้าวแห่งสมุทร ข้าก็คือจ้าวแห่งเพลิง! พวกเราเกิดมาไม่ถูกชะตากันตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว!”
เมื่อได้ยินเสี่ยวฮั่วกล่าวเช่นนี้ หลิวซูก็รีบด่ากราดสวนไปทันทีว่า
“เดี๋ยวก่อน! เดี๋ยวก่อน! เจ้าคือเทพอสูรกิเลนศักดิ์สิทธิ์ในตำนานเชียว? มีพลังธาตุไฟแต่กำเนิด! แล้วมีที่ไหนอสูรธาตุไฟกลัวอสูรธาตุน้ำ?!”
เสี่ยวฮั่วได้ยินเช่นนั้นก็หงุดหงิด
“เจ้าลองใช้สมองอันน้อยนิดคิดตาม! ผลกระทบจากมหันต์ภพครั้นอดีตทำให้จิตวิญญาณของข้าแตกเป็นสองส่วน ตลอดที่ผ่านมานั้นจึงละเลยการฝึกปรือบำเพ็ญตบะ ไม่เพียงพลังความแข็งแกร่งจะไม่เพิ่มพูน แต่ยังถูกลดทอนจากอาการบาดเจ็บสาหัสอีก! แค่นี้ก็ปาฏิหาริย์ปานใดแล้วที่ข้ายังมีชีวิตเป็นกี่พันปี อยู่รอดมาได้จวบจนปัจจุบัน? เข้าใจไหม?”
จากนั้นทั้งสองก็เริ่มเปิดศึกโต้เถียงกันยกใหญ่
หลิวซูกล่าวยุเซียถงขึ้นทันที
“อย่าไปฟังคำพูดโกหกของเสี่ยวฮั่วมัน! ทั้งหมดมันก็แค่กำลังแก้ตัว! หากให้ว่าตามตรงคือ ไม่อยากจะช่วยเจ้าเท่านั้น!”
เสี่ยวฮั่วเดือดจัดจนใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว แทบอยากจะกระโดดถีบหลิวซูสักทีหนึ่ง มันรีบกล่าวอธิบายแก้ข่าวให้แก่เซียถงฟังทันที น้ำเสียงฟังดูเศร้าสร้อยหลายส่วนว่า
“นายท่าน แม้จะว่าตามหลักธาตุธรรมชาติไฟชนะน้ำได้ก็จริง แต่ก็เป็นในกรณีที่ระดับพลังฝีมือไม่ห่างชั้นกันจนเกินไป และด้วยพลังบำเพ็ญตบะของข้าตอนนี้ ไม่มีทางไปต่อกรกับคุนเผิงได้เลย หากอีกฝ่ายเป็นเพียงอสูรสายเลือดธรรมดาทั่วไปยังพอทำเนา แต่มันก็เป็นหนึ่งในสัตว์เทพที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับข้า! แม้จะมิได้บริสุทธิ์เท่า ทว่าข้าเองก็มิอาจใช้ขีดจำกัดแห่งระดับชั้นสายเลือดเข้าข่มกดดันมันได้!”
เสี่ยวฮั่วยังกล่าวต่ออีกว่า
“นอกจากนี้เอง มันหาใช่สัตว์อสูรที่อยู่ในน่านน้ำทวีปเทียนหลาง ยิ่งห่างไกลจากขอบเขตความสามารถของข้าเข้าไปใหญ่!”
“ไม่ต้องกังวลไป เสี่ยวฮั่ว ข้าเชื่อเจ้า”
ขณะที่เซียถงกำลังสนทนากับทั้งสองอยู่ในห้วงความคิด แต่ ณ ห้องโถงประชุมแห่งนี้กลับได้เปลี่ยนหัวข้อไปนานแล้ว และในเวลานี้เอง ผู้อาวุโสใหญ่ก็กำลังเรียกหาเซียถงอยู่
“เซียถง!”
เรียกไปสองสามรอบแล้ว แต่ทุกคนต่างต้องประหลาดใจที่เซียถงยังเหม่อลอยไม่ได้สติขึ้นมาเสียที จนเป็นจวิ๋นเส้าที่นั่งถัดจากผู้อาวุโสใหญ่แอบขยิบตาส่งให้หงอวี๋ นางรับรู้ได้ดังนั้นจึงรีบกระตุกแขนเสื้อเซียถงอย่างลับๆเพื่อเรียกสติ
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่กำลังเรียกเจ้าอยู่!”
“เซียถง ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวว่า เจ้ามีสัตว์วิญญาณธาตุไฟอยู่ในตัว”
เมื่อรู้ว่าเซียถงในเวลานี้ได้เสียสมาธิไปแล้ว และไม่ทันได้ฟังคำถามของผู้อาวุโสใหญ่เมื่อครู่ หงอวี๋จึงเนียนพูดย้ำอีกครั้งให้นางรับรู้
มีผู้คนในทวีปเทียนหลางแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ถึงการมีอยู่ของเสี่ยวฮั่ว กล่าวว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นความลับสุดยอดของเซียถงก็ว่าได้ แต่คาดไม่ถึงมาก่อนเลยว่า ผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่บนเกาะกลางมหาสมุทรลึกที่แสนห่างไกลนับหมื่นแสนลี้ผู้นี้จะล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน!
เซียถงพยักหน้าตอบ
“อย่างไรเสีย นั่นหาใช่สัตว์วิญญาณของข้า แต่มันคือสหายของข้า! ผู้เยาว์คนนี้ใคร่สงสัยโปรดสอบถาม ท่านผู้อาวุโสใหญ่ต้องการใช้มันทำอะไรงั้นรึ?”
ในฐานะนักอัญเชิญอสูร มีใครบ้างที่ปฏิบัติต่อสัตว์อสูรเป็นมิตรสหายบ้าง? ทันทีที่เซียถงกล่าวจบ จึงเกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นแทรกซ้อนระหว่างการประชุมขึ้นทันควัน พวกเขาเหล่านี้ไม่รู้จริงๆว่า นางกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้พูดจาแบบนี้ออกมา ทำเอาเจ้าตัวมุ่นคิ้วปั้นหน้าฉงน เซียถงไม่เข้าใจเลยว่า ไฉนถึงเป็นเรื่องน่าตลกนัก? ขณะที่อีกด้าน ซ่งเหว่ยที่กำลังอุ้มเจ้าเทียนน้อยในอ้อมแขน ก็ชักสีหน้าไม่พอใจนักต่อทัศนคติของทุกคนที่มีต่อสัตว์อสูรเช่นนี้
จวิ๋นเส้าเผยแววประหลาดใจออกมาวาบหนึ่ง ก่อนจะเค้นเสียงไอกระแอมเบาๆอยู่ทีสองที ทันใดนั้นเสียงหัวเราะคิกคักพลันถูกระงับหยุดลง บรรยากาศในที่ประชุมกลับสู่ความตึงเครียดและจริงจังอีกครั้ง เข่ากล่าวว่า
“พญามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิง มีชนชั้นเป็นถึงสัตว์เทพเทียบเท่ากิเลนศักดิ์สิทธิ์ในตำนานแห่งหุบเขาคุนหลุน พลังความแข็งแกร่งยังบรรลุสู่จุดสูงสุดแห่งเทพอสูรไปแล้ว เรื่องนี้มีความสำคัญต่อทุกชีวิตในทวีปจวิ๋นเทียนของเรา ดังนั้น หวังว่าทุกคนจะไม่มองข้ามหรือประมาทมักง่าย เมื่อใดที่คุนเผิงปรากฏตัวขึ้นมา และหากไม่มีใครในพวกเราสามารถพันธนาการจับมันได้ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือความหายนะอย่างเลี่ยงไม่ได้! ดังนั้นแล้ว หวังว่าพวกท่านทุกคนจะให้ความสำคัญกับภารกิจในครั้งนี้!”