บทที่ 241 ไม่รับเงิน
บทที่ 241 ไม่รับเงิน
ลู่เฉินลูบที่หน้าผากของตัวเอง “คุณมาแล้วเหรอ”
ซูโย่วอี๋เดินไปที่ด้านหลังที่นั่งของเขา มือทั้งสองข้างอังไว้ที่ขมับของลู่เฉินและนวดอย่างช้า ๆ
นวดเบา ๆ อยู่สักพัก ลู่เฉินก็ดึงมือของเธอเข้าไปจูบ “มือของคุณน่าจะเหนื่อยแล้ว”
เขายืนขึ้นและดึงให้ซูโย่วอี๋มานั่งลงที่ตักของเขา “นั่งสิ อยากดื่มอะไรไหม?”
“อะไรก็ได้”
ลู่เฉินชงกาแฟให้เธอแก้วหนึ่ง “เสิ่นเฉียวกลับมาปักกิ่งแล้วเลยนัดเพื่อน ๆ ให้มาสังสรรค์กัน ไว้เย็นนี้ผมจะไปรับคุณนะ”
“โอเค”
หลังจากที่ซูโย่วอี๋ดื่มกาแฟจนหมด เธอก็กลับไปยังเป่ยสืออี้ผิน
เธอใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เธอเข้าไปยังระบบเพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของการฝึกฝนด้าน [สง่างาม] 108 ท่า ซูโย่วอี๋ฝึกฝนไปถึง 98 เหลือเพียง 10 ท่าสุดท้ายที่ยังฝึกฝนไม่เสร็จ
และคะแนน [ท่าทาง] ของเธอคือ 91 คะแนน แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางดารามากมาย เธอก็ยังโดดเด่น
ตอนแรกสุ่ยเวยเตรียมให้เธอเข้าเรียนการวางท่าทางต่าง ๆ แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ซูโย่วอี๋ไปถ่ายละครรักในฝันกลับมา เธอเหมือนเกิดใหม่ ทุกกิริยาท่าทางของเธอแถบไม่มีที่ติเลย
หลังจากที่ซูโย่วอี๋ฝึกฝน 2 ชั่วโมงจนจบ ก็นั่งพักลงที่พื้นที่โฮโลแกรม
“เจ้าจิ้งจอกเน่า ถึงฉันจะพอดูออกว่าตัวเองดูดีขึ้นมามากกว่าเมื่อก่อนนิดหน่อย แต่กลับไม่รู้เลยว่ามีส่วนไหนที่เปลี่ยนไป”
เหมือนกับว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก แต่อยู่ดี ๆ ก็ดูมีความสง่างามเย้ายวนที่แตกต่างไปจากตอนแรก
[นิดหน่อยเหรอ? ฉันว่าคุณคงไม่ค่อยเข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่เลยนะ]
“ลองดูดี ๆ อีกครั้งสิ”
พื้นที่โฮโลแกรมทั้ง 4 ด้านปรากฏซูโย่วอี๋ขึ้นมาสองคน พวกเธอทำท่าเดินเหมือนกัน ทั้งโบกมือ หมอบลง แม้แต่ตอนเสยผม แต่ท่าทางของคนด้านขวาทำได้ดีกว่ามาก
จนสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกได้เหมือนกับว่าคนด้านขวามีความสง่างามมากกว่า
แต่ซูโย่วอี๋รู้ดีว่าทั้งสองคนนี้ต่างก็คือเธอ และดูเหมือนเธอทุกประการ
“ที่แท้ท่าทางก็มีผลต่อคน ๆ นั้นมากเลยนะเนี่ย”
สุนัขจิ้งจอกกรอกตาไปมา [แน่นอน หน้าตาดีเป็นเรื่องที่มาแต่กำเนิด แต่ความสง่างามสามารถฝึกฝนกันได้ ต้องมีทั้งสองอย่างรวมเข้าด้วยกันจึงจะดี]
อีกทั้งอย่างหลังนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า
ท่าทางของร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงมุมมองทางจิตใจของผู้คนได้
แม้ว่ามนุษย์จะเป็นสัตว์ที่มีวิสัยทัศน์ แต่สิ่งที่มีมากกว่าคือความประทับใจแรกพบ ระยะเวลาของการคบหากัน สิ่งที่ทำให้คนเราจดจำได้อย่างลึกซึ้งมากที่สุดก็คือนิสัยใจคอของคน ๆ นั้น
ซูโย่วอี๋นึกถึงคุณนายลู่ที่มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง แน่นอนว่าเธอต้องถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีแน่นอน เธอจำเป็นจะต้องรีบฝึกฝนท่าทางด้าน [สง่างาม] ทั้งหมดให้เสร็จก่อนที่คุณนายลู่จะกลับมา เพื่อสร้างความประทับใจให้กับคุณนายลู่ให้ได้
ห้องโถงขนาดใหญ่
ตอนที่ลู่เฉินและซูโย่วอี๋มาถึง ทุกคนก็มากันจนครบแล้ว
เธอเห็นภาพไป๋เสิ่นเฉียวกำลังดึงฮันเจ๋อหยางและร้องเพลงเสียงดังไปด้วย เธอดูไม่มีทักษะด้านการร้องเพลงเลยสักนิด
ทุก ๆ ประโยคที่ไป๋เสิ่นเฉียวร้อง ฮันเจ๋อหยางทำท่าทางเหมือนจะอ้วกออกมา จนไป๋เสิ่นเฉียวต้องวิ่งไล่ตีเขา
ประตูห้องส่วนตัวถูกผลักให้เปิดออก แสงภายในห้องสลัว ๆ ดูสบายตา
ซูโย่วอี๋มองผ่านไหล่ของลู่เฉินไป ก็พบว่าซูหยินและกู่อวี๋เฉิงก็อยู่ด้วย
“ห๊ะ”
ลู่เฉินหันหน้ากลับมา “เสิ่นเฉียวกับอวี๋เฉิงสนิทกัน”
คนในนั้นต่างพากันลุกขึ้นยืนและมองไปยังซูโย่วอี๋อย่างสนอกสนใจ
“อา ในที่สุดคุณลู่ของพวกเราก็พาแฟนสาวมาให้หนุ่ม ๆ อย่างพวกเราได้พบเจอสักที”
“นั่นสิ ซ่อนซะดิบดี กลัวพวกเราจะมองเห็นหรือไง”
ลู่เฉินถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกและนั่งลงบนโซฟาอย่างสบาย ๆ ก่อนที่จะหันมาแนะนำซูโย่วอี๋ให้คนสองคน
“นี่เสี่ยวเหล่าซานกับปานจ่าง”
“ครอบครัวของเสี่ยวเหล่าซานทำธุรกิจบันเทิง คลับระดับไฮเอนด์เกือบทั้งหมดในปักกิ่งเป็นของครอบครัวของเขา”
ซูโย่วอี๋ถามขึ้น “จริงเหรอ?”
เสี่ยวเหล่าซานหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าเสื้อและยื่นให้เธอ “ไม่ถึงขึ้นนั้นหรอก แต่ก็เป็นธุรกิจของครอบครัว ต่อไปถ้าพี่สะใภ้จะพาคนอื่นมาเที่ยว ผมไม่รับเงินเลยครับ”
ปานจ่างตีเขาหนึ่งที “นายยังคิดจะเก็บเงินอีกเหรอ?”
“นายหูตึงหรือเปล่า? ฉันบอกว่าไม่รับเงินต่างหาก!”
“ไม่รับก็ไม่รับ พูดเหมือนกลัวว่าคนอื่นจะไม่ยอมจ่ายเงินงั้นแหละ”
เสี่ยวเหล่าซานขี้เกียจจะสนใจ เขาจึงพูดต่อ “ถ้ามีคนในคลับที่ไม่ดูตาม้าตาเรือมารังแกคุณ ก็รีบบอกผมนะ ผมจะช่วยจัดการให้คุณแน่นอน”
ปานจ่างตีเขาไปอีกครั้ง “มีคุณลู่อยู่ด้วย จะมีนายทำไมกัน”
เสี่ยวเหล่าซานถูกตีจนเริ่มโกรธขึ้นมาเล็กน้อย “ปานจ่าง นี่นายเป็นอะไรไปเนี่ย มาฉีกหน้าฉันต่อหน้าพี่สะใภ้อยู่ได้”
“ก็แค่ไม่คอยชินที่เห็นนายทำท่าทางเสแสร้งแบบนี้ต่างหาก”
“ฉันเสแสร้งตรงไหน”
ดูท่าแล้วทั้งสองคนจะทะเลาะรุนแรงมากขึ้น ลู่เฉินจึงพูดขึ้นเบา ๆ “พอแล้ว แข่งต่อกลอนกันอยู่รึไง”
เสี่ยวเหล่าซานและปานจ่างต่างก็หัวเราะออกมาทั้งคู่
ซูโย่วอี๋ใช้โอกาสที่คนตรงหน้าทั้งสองคนไม่ทันสนใจเธอขยับเข้าไปใกล้ ๆ หูของลู่เฉิน “คุณยังมีหน้าพูดแบบนั้นกับเพื่อนอีก”
เธอยังคิดว่าลู่เฉินก็เหมือนกับผู้ชายที่ชอบทำตัวเย็นชา
“พวกเขาเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต สำหรับผมก็เหมือนเด็กน้อย”
พอเดินออกไปก็มีแต่คนร้องตะโกนแสดงความยินดีและเรียกเขา
ไป๋เสิ่นเฉียวร้องเพลงจนตัวเองก็แทบทนฟังไม่ไหวจึงโยนไมโครโฟนทิ้ง “ไม่ร้องแล้ว ไม่สนุกเลย”
เธอเดินเข้ามาทักทายซูโย่วอี๋ “ไฮ”
ในใจก็แอบเพิ่มประโยคหนึ่งเข้าไป ‘ภรรยาตัวน้อยของลู่เฉิน’
“สวัสดีค่ะ”
ซูโย่วอี๋ยิ้ม “ขอบคุณสำหรับเครื่องเคียงของคุณนะคะ มันอร่อยมากเลย ได้ยินคนในครัวพูดกันว่าคุณไปขอซื้อสูตรมา ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
ไป๋เสิ่นเฉียวนั่งลงข้าง ๆ เธอ “อย่าพูดไปเลย คุณปู่ยิ่งไม่ค่อยพอใจอยู่ เขายืนยันว่าสูตรนี้จะเอาไว้ให้หลาน ๆ เท่านั้น ยังไงก็ไม่ยอมขาย ฉันเห็นว่าเขาเอาแต่เก็บตัว ถึงเสนอราคาที่สูงกว่าท้องตลาดไปให้ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอม”
กู่อวี๋เฉิงรู้สึกเศร้า เขารู้สึกว่าทุกคนต่างก็มีข้ออ้างเป็นของตัวเอง “เขาคงมีความคิดตามวัยชราของเขา ไม่ขายก็ไม่ขาย เธอเองก็อย่าดื้อไปเลย”
เสิ่นเฉียวรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาและมองไปที่เขา “กู่อวี๋เฉิง นายมองว่าฉันเป็นคนชอบบังคับคนอื่นหรือไง?”
เธอตั้งใจไปอยู่บนเขาสักระยะหนึ่งโดยเฉพาะเพื่อที่จะช่วยคนชรายกน้ำ กวาดพื้น และเช็ดโต๊ะ เพราะต้องการให้คุณตาชื่นชอบ แต่เขากลับไม่เห็นคุณค่าอะไรเลย
เสี่ยวเหล่าซานได้ยินอย่างนั้นก็ถามขึ้น “ทำอาหารทั้งวันน่าสนุกตรงไหน? ไม่ขายก็ช่างเถอะ”
ไป๋เสิ่นเฉียวท้อใจเล็กน้อย “ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้น แต่มีครั้งหนึ่งฉันได้ยินคุณปู่โทรศัพท์หาลูกชายของเขา ถึงได้รู้ว่าลูกชายของเขาไม่เคยสนใจสูตรแพนเค้กนี้เลย แถมยังพูดอีกว่าไม่ว่ายังไงก็จะไม่ขอกลับมารับสูตรลับที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษเด็ดขาด”
เธอทนไม่ได้ที่สูตรดี ๆ เช่นนี้จะต้องหายไป
แต่ไม่ว่าจะพูดดียังไงคุณตาก็ไม่แยแสเธอเลย ไป๋เสิ่นเฉียวจึงกลับปักกิ่งมาด้วยความโกรธ
“แม้แต่โอกาสสักนิดนึงก็ไม่มีเลยเหรอ?”
ไป๋เสิ่นเฉียวนิ่งค้างไป “ก็ไม่ใช่หรอก คุณตาเห็นในความจริงใจของฉันจึงยอมพูดถึงสาเหตุที่แท้จริงที่เขาไม่ยอมขายสูตรลับให้ เพราะสูตรลับนี้เป็นสูตรที่เขากับภรรยาช่วยกันคิด หลังจากที่ภรรยาของเขาจากไป เขาเองก็พยายามทำแพนเค้กขายมาโดยตลอด แต่เขาบอกว่าแพนเค้กในตอนนี้กับแพนเค้กแบบดั้งเดิมนั้นรสชาติไม่เหมือนกัน”
เหมือนกับว่ามันจะขาดอะไรไปบางอย่าง
คุณตาส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง “ฉันไม่สามารถขายสูตรลับที่ไม่สมบูรณ์แบบให้คนอื่นได้”
ซูโย่วอี๋ตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก และจู่ ๆ สุนัขจิ้งจอกก็พูดขึ้นมาในหัวของเธอ [ฉันอยากช่วยพี่ไป๋]
“นายมีวิธีเหรอ?”
สุนัขจิ้งจอกขมวดคิ้วสองข้างเข้าหากัน [ก็ต้องลองดู แต่ว่าทางที่ดีที่สุดฉันควรจะต้องไปพบกับคุณปู่ก่อน]
เพื่อตามหารสชาติที่ขาดหายไป นี่เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดแต่ก็เป็นจุดที่สำคัญที่สุดเช่นกัน