บทที่ 322 ตาบอดไปข้างหนึ่ง
บทที่ 322 ตาบอดไปข้างหนึ่ง
ห้องครัวนั้นไม่ใหญ่พอที่จะรองรับคนจำนวนมาก
คุณนายฮันดูหัวเสีย “ช่างเถอะ ทั้งคู่ออกไปก่อนไป”
ราวกับว่าฮันเจ๋อหยางได้รับการอภัยโทษ เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยทันที
ส่วนฮันเจียงก็แสร้งทำเป็นกล่าวเอาใจ “ที่รัก คุณไม่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ เหรอ?”
ป้าแม่บ้านขยิบตา “สามีคุณช่างเอาใจใส่จริง ๆ เด็กสาวทั้งสองคนนั้นเป็นลูกของคุณหรือเปล่าคะ?”
คุณนายฮันพูดโดยไม่ลังเล “จะไม่ใช่ได้ยังไง พวกเธอทั้งคู่สวยมากขนาดนี้”
หลายคนในห้องนั่งเล่นฟังการสนทนาอยู่ ซูโย่วอี๋สงสัยว่าทำไมซูหยินถึงเชิญครอบครัวฮันให้มารวมตัวกัน ไหนจะการที่ซูหยินยอมรับข้อเสนอของฮันเจ๋อเหยียนอีก หรือเพื่อนคนนี้อยากกลับไปที่บ้านฮันกับเธอ?
ฮันเจ๋อหยางเล่นเกมบนโซฟาเสียงดัง
ส่วนฮันเจ๋อเหยียนขมวดคิ้วและเอ่ย “ออกไปเล่นข้างนอกซะ”
“เอ่อ… ให้ไปไหนล่ะ”
ฮันเจ๋อหยางกำลังจมอยู่กับเกม คำพูดของเขาจึงฟังดูอ้อแอ้
“ระเบียง”
“โถ่ เวรเอ๊ย!”
หลังจากถูกฆ่าตาย ฮันเจ๋อหยางก็อดที่จะสบถไม่ได้ เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าทุกคนกำลังมองมาที่ตนเอง จึงอธิบายอย่างเขินอายว่า “ไม่ได้หมายถึงพี่นะ”
ฮันเจ๋อเหยียนพูดทันที “ถ้าฉันเห็นนายสบถต่อหน้าซูหยินอีก ระวังฉันต่อยนายล่ะ”
ฮันเจ๋อหยางชะงัก “ทำไมล่ะ?”
“เธอยังท้องอยู่น่ะสิ มันไม่ดีที่จะให้เด็กเรียนรู้คำพวกนี้ก่อนคลอด”
ฮันเจ๋อหยางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปที่ระเบียงท่ามกลางสายตารังเกียจของทุกคน
ต้นไม้ในหมู่บ้านไร้ใบปกคลุม ลมเย็นพัดเอื่อย ๆ เป็นระยะ ๆ ฮันเจ๋อหยางจามและหันกลับไปมองครอบครัวที่กำลังมีความสุขในห้องนั่งเล่น
ปากเขาพึมพำ “พวกหลงน้องสาวเอ๊ย”
เห็นน้องชายเป็นต้นหญ้า
โอเค
มันไม่ผิดอะไร
กลับมาสู้กับลมหนาวต่อดีกว่า
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ คุณนายฮันก็ล้างหน้าและถอดผ้ากันเปื้อนออก “เสี่ยวอี๋? ลู่เฉินอยู่ไหนเหรอจ๊ะ?”
เมื่อนึกถึงคำขอของซูหยิน ซูโย่วอี๋ก็เรียกป้าสองคนข้าง ๆ มา “ค่าจ้างของพวกคุณเท่าไหร่คะ?”
“มีคนจ่ายมาแล้วค่ะ”
ซูโย่วอี๋หยิบธนบัตร 2-3 ใบออกมาจากกระเป๋าเงินของเธอ “ขอโทษนะคะที่วันนี้ไม่สะดวกให้คุณกินอาหารเย็นด้วยกัน”
พวกป้า ๆ แกล้งทำเป็นปฏิเสธก่อนรับมันไว้ พอออกไปก็เอาขยะในครัวไปด้วย
ไม่นานลู่เฉินก็มาอยู่ที่หน้าประตู เขาหอบเล็กน้อย
ซูโย่วอี๋รับผ้าพันคอและเสื้อโคตของเขามา “ไม่ต้องรีบค่ะ อาหารเพิ่งเสร็จเอง”
ลู่เฉินกวาดสายตาไปในห้องและพบว่าครอบครัวฮันอยู่ที่นั่น จึงเลิกคิ้วขึ้น “ป้าฮัน ลุงฮัน”
คุณนายฮันยิ้ม “ทุกคนมากันครบแล้ว มานั่งเถอะ”
ลู่เฉินหยุดชะงักไปชั่วคราว “อวี๋เฉิงอยู่นอกประตู”
เขาไม่ได้เข้ามาเพราะกลัวว่าจะมีบางคนโกรธ
มันเป็นวันส่งท้ายปีเก่าของจีน ซูโย่วอี๋วางแผนที่จะเชิญอีกคนมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้
ซูหยินเดินไปที่ประตูก่อนเธอหนึ่งก้าวแล้วปิดประตู ก่อนกล่าวด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ปล่อยเขา ไปกินข้าวกันเถอะ”
ครอบครัวฮันไม่ถามเหตุผลเพราะคิดว่าเป็นแค่คู่หนุ่มสาวทะเลาะกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้เข้าไปเกลี้ยกล่อม
ทั้งหมดนั่งลงล้อมวงรอบโต๊ะอาหารอย่างมีชีวิตชีวา
ลู่เฉินหยิบไวน์แดงออกมารินให้ทุกคน เมื่อถึงตาของซูหยิน เขาถามเธออย่างสุภาพว่าเธอต้องการน้ำผลไม้หรือนม
ซูหยินไม่อยากอาหาร “น้ำร้อนก็พอค่ะ”
ผ่านไปครึ่งทาง ฮันเจียงก็หยิบแก้วขึ้นมา ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ที่ไวน์แดงในมือของเขาถูกเปลี่ยนเป็นเหล้าขาว “ซูหยิน ในฐานะผู้ใหญ่ ฉันขอเชิญทุกคนดื่มอวยพรให้เธอ แสดงความยินดีกับซูหยินที่ย้ายบ้านใหม่และเป็นเจ้าของบ้านเอง”
ทุกคนดื่ม
“สอง ขอแสดงความยินดีกับซูหยินกำลังจะได้เป็นแม่และเข้าสู่ช่วงใหม่ของชีวิต”
ซูหยินพยายามะยิ้ม แต่มุมปากของเธอกลับหม่นหมอง
“สาม” ดวงตาของฮันเจียงขยับ “นี่เป็นปีแรกที่ครอบครัวของเราอยู่พร้อมหน้ากันจริง ๆ ถือว่านี่เป็นมื้อค่ำส่งท้ายปีเก่าอย่างแท้จริง”
ฮันเจียงจับมือคุณนายฮัน “ที่รัก เวลานี้ผมมีความสุขมาก ชีวิตผมสมบูรณ์แล้ว”
คุณนายฮันเองย่อมมีความสุขเช่นกัน “เอาล่ะ พอดื่มแล้วชอบพูดมากจริง ๆ ปล่อยให้เด็ก ๆ กินไปเถอะ”
ซูโย่วอี๋หันไปมองซูหยิน เธอเป็นกังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกินได้น้อยลง “ไม่ถูกปากเหรอ?”
“อร่อยดี แต่ก่อนกินข้าว ฉันกินขนมมากเกินไปหน่อย”
ขนมมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าข้าวที่ไหน ซูโย่วอี๋วางแผนที่จะควบคุมซูหยินไม่ให้กินขนมอีกแล้ว
ซูหยินวางตะเกียบเร็วมาก แต่ยังนั่งอยู่จนจบมื้ออาหาร
หลังจากที่ทุกคนกินอาหารเสร็จแล้ว เธอก็พูดว่า “ฉันมีเรื่องจะคุยกับพวกคุณ”
ตอนนี้ฮันเจียงเมาไปแล้วเพราะดื่มไปมาก แม้แต่ลู่เฉินเองก็เมาเช่นกัน
ส่วนพวกผู้ชายที่เริ่มเมาเล็กน้อยพยายามตั้งสติ “พูดมาเถอะ”
ซูหยินพูดอย่างใจเย็น “พวกคุณทุกคนเป็นญาติสนิทของโย่วอี๋ ดังนั้นฉันจะพูดตามตรง”
“การให้เสี่ยวอี๋กลับไปที่บ้านฮัน ไม่มีทางที่จะชดเชยเวลา 24 ปีที่ผ่านมาได้ แต่คุณมี 24 ปีข้างหน้าได้”
“ตั้งแต่รู้ว่าพวกคุณเป็นครอบครัว โย่วอี๋ก็ดูสับสนในตัวเองมาก เธอโหยหาความรักของครอบครัว แต่ก็คิดว่าคุณปล่อยฮันเอินจีไปไม่ได้”
“ฮันเจ๋อหยาง” จู่ ๆ ซูหยินก็เรียกชื่อเขา นั่นทำให้หัวใจของฮันเจ๋อหยางเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ในบรรดาตระกูลฮัน คุณเป็นคนที่แย่ที่สุด”
ฮันเจ๋อหยางไม่พอใจ “นี่ ไปเอามาจากไหน?”
ซูหยินเมินเฉยต่อเขา “ถ้าโย่วอี๋ตัดสินใจไม่ได้ ฉันจะทำเพื่อเธอเอง”
“แต่ฉันมีคำขอ”
ฮันเจียงสร่างเมาแล้ว เขารู้ว่านี่อาจเป็นโอกาสที่เร็วที่สุดสำหรับโย่วอี๋ที่จะกลับไปที่บ้านฮัน
“ซูหยิน อย่าลังเลที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ฉัน ฮันเจียง จะไม่ปฏิเสธแน่นอน”
“ก่อนอื่น ตระกูลฮันต้องจัดงานแถลงข่าวเพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าซูโย่วอี๋เป็นลูกสาวและฮันเอินจีเป็นการอุ้มบุญผิด ส่วนเรื่องที่เธอจะอยู่ต่อในนามของลูกสาวบุญธรรมหรือจะออกจากตระกูลฮัน คุณตัดสินใจเองได้”
ฮันเจียงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาล่ะ มันเป็นความผิดพลาดตั้งแต่แรก ทุกอย่างจึงควรจะเป็นเหมือนเดิม”
“พ่อ…”
ฮันเจ๋อหยางอยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ถูกฮันเจ๋อเหยียนห้ามปรามด้วยสายตาที่เย็นชา
“สอง ให้เธอเปลี่ยนแซ่โดยเร็วที่สุด ย้ายเธอเข้าไปในทะเบียนบ้านของตระกูลฮัน”
“ตกลง”
“สาม หลังจากที่เธอกลับไปที่ตระกูลฮันแล้ว เธอจะทำอะไรก็ได้ตามที่เธอต้องการ พวกคุณไม่สามารถบังคับเธอหรือขัดขวางความปรารถนาของเธอได้”
“ตกลง”
ทุกคำพูดและคำขอล้วนเป็นผลประโยชน์ของซูโย่วอี๋
ซูหยินช่วยเธอพูดในสิ่งที่เป็นกังวลแต่ไม่สามารถพูดออกไปได้
ซูโย่วอี๋หายใจเข้าลึก ๆ เพื่อหยุดความร้อนผ่าวที่ดวงตา “หยินหยิน ทำไมจู่ ๆ เธอถึงพูดแบบนี้?”
ทุกวันนี้ซูหยินไม่สนใจอะไรเลย แต่อีกฝ่ายกลับเปิดปากพูดอะไรตั้งมากมายเพื่อเธอ
อีกฝ่ายถึงขนาดวางแผนเชิญครอบครัวฮันมาร่วมงานเลี้ยงส่งท้ายปีด้วยซ้ำ
ถ้าดูเพียงผิวเผิน อาจดูเหมือนซูโย่วอี๋จ่ายเงินให้ซูหยินมาพูดแบบนี้ แต่กลับกัน ซูหยินเป็นคนที่จ่ายให้เธอมากที่สุด
ซูหยินพูดไม่หยุด น้ำเสียงของเธอดูไม่สบายใจ “ถ้ามัวแต่รอให้เธอคิด ฉันไม่รู้ว่าจะต้องรอจนถึงปีลิงหรือเปล่าด้วยซ้ำ”
ซูโย่วอี๋รู้สึกงุนงงอยู่พักหนึ่ง รอก็รอสิ ใช่ว่าเธอจะรอไม่ไหวสักหน่อย
คุณนายฮันรู้สึกขอบคุณมิตรภาพระหว่างซูหยินและลูกสาวของเธอ “ฉันดีใจมากที่โย่วอี๋มีเพื่อนแบบคุณ”
“คุณอยากกลับไปที่บ้านฮันกับโย่วอี๋หรือเปล่า? เราจะต้อนรับคุณอย่างจริงใจเลย”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ซูโย่วอี๋มองอย่างมีความหวัง เธอจับมือของซูหยินเงียบ ๆ
“ไม่ค่ะ ทุกคนมีชีวิตของตัวเอง”
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าซูโย่วอี๋ผิดหวัง ความรู้สึกไม่สบายใจที่อธิบายไม่ได้ก่อตัวขึ้น “เราอยู่ด้วยกันเสมอ เธอพูดแบบนี้ หมายความว่าเธอจะทิ้งฉันเหรอ?”
“เธอส่งฉันกลับไปที่บ้านฮันโดยไม่ได้ถามความสมัครใจก่อน ดังนั้นฉันจะเอาแต่ใจสักครั้ง ถ้าเธอไม่กลับไปกับฉัน ฉันก็จะไม่กลับไปเหมือนกัน”
ซูหยินมองอีกฝ่ายอย่างไม่เห็นด้วยและพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ “โย่วอี๋”
ราวกับเธอทำผิดครั้งใหญ่
ดวงตาของซูโย่วอี๋เป็นสีแดง “ฉันเอาแต่ใจตัวเองมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ”
“เธอยังท้องอยู่ แต่ฉันจำเป็นต้องต่อต้านเธอและทำลายความตั้งใจของเธอ ฉันไม่ต้องการที่จะแยกกับเธอจริง ๆ”
“ตอนนี้ที่ฉันไม่ได้กลับไปที่บ้านฮัน นอกจากกังวลเรื่องฮันเอินจีแล้ว ฉันเป็นห่วงเธอด้วย”
ลู่เฉินโอบซูโย่วอี๋ไว้ในอ้อมแขนของเขา ก่อนตบไหล่เธอเบา ๆ
หลังจากผ่านไปนาน ซูหยินก็ดูเหมือนจะตัดสินใจได้ “ตกลง”
ฮันเจียงยืนขึ้นและตะโกนว่า “ตกลง วันนี้ฉันมีความสุขมาก ฮันเจียงมีลูกสาวเพิ่มอีกสองคน นี่มันคุ้มค่าที่จะดื่มอีกสามแก้ว”
คุณนายฮันทุบเขาดังพลั่ก “คุณช่วยสร้างความประทับใจดี ๆ ต่อหน้าลูก ๆ จะได้ไหมคะ?”
คืนนั้น ฮันเจียงพาลูกชายและลูกเขยของเขาดื่มจนเมาหัวทิ่ม
ซูโย่วอี๋มองไปที่ความยุ่งเหยิงบนโต๊ะและพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อทำความสะอาด
คุณนายฮันหยุดเธอ “อย่าทำ แม่จะให้ป้าแม่บ้านมาทำความสะอาด ลูกไปพักผ่อนเถอะ”
“ผู้ชายพวกนี้เมากันหมดแล้ว งั้นพวกเราคงต้องขอตัวกลับก่อน แล้วแม่จะส่งคนมารับลู่เฉินไปส่ง”
สิ้นคำ ลู่เฉินที่เดินตามร่างพร่ามัวมาก็โผเข้ากอดซูโย่วอี๋ เขาก้มศีรษะและไซร้คอของเธอ “ผมไม่ไป”
“ผมอยากนอนกับโย่วอี๋”
คุณนายฮันหน้าแดงและพูดด้วยเหตุผล “ไม่ได้”
ลู่เฉินกอดซูโย่วอี๋แน่นขึ้น “ไม่ไป”
คุณนายฮันเรียกคนขับรถให้พาลู่เฉินออกไป เสียงตะโกนของเขาดังไปทั่วทั้งทางเดิน “โย่วอี๋…”
โชคดีที่ไม่มีใครตำหนิเขาที่รบกวนคนอื่นในช่วงวันหยุด
ก่อนจากไป คุณนายฮันกล่าวว่า “ปกติแล้วเขาค่อนข้างเคร่งขรึม ไม่คิดเลยว่าเวลาเมาเขาจะเป็นคนติดแฟนขนาดนี้”
ซูโย่วอี๋หันหน้าหนีอย่างเขินอาย เธอเองก็ไม่รู้ว่าตอนลู่เฉินเมาจะมีสภาพอย่างนี้เหมือนกัน
ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้อาการเมาของเขาเป็นการเมาเพียงเล็กน้อย ส่วนวันนี้เป็นเมาอย่างหนักสินะ
…
เรือนจำเฉิงซิน
เกือบครึ่งเดือนแล้วที่อวิ๋นจิ้งหว่านเข้ามา นอกจากกินดื่มเที่ยวเตร่แล้ว เธอยังทำงานอาสาสมัครกับกลุ่มด้วย
ในเรือนจำมีกลุ่มเล็กใหญ่มานานแล้ว บางกลุ่มปากิ่งมะกอกใส่อวิ๋นจิ้งหว่าน แต่อวิ๋นจิ้งหว่านยังคงทำหน้านิ่งไม่พูดอะไร
“โชคไม่ดี” หัวหน้าหญิงถ่มน้ำลายใส่เธอ “ยัยนี่โง่ไปนานแล้ว”
เธอหันไปคุยกับสมาชิกในกลุ่ม “ผู้หญิงคนนี้ก่อคดีอะไรถึงมาที่นี่?”
“ตามคำบอกเล่าของผู้คุม ดูเหมือนว่าเธอจะขังผู้หญิงคนหนึ่งไว้แล้วซ้อม ฉีดยาเสพติดใส่ด้วย”
หัวหน้าหญิงเลิกคิ้ว “ดูไม่ออกเลยนะ เห็นอ่อนแอซะขนาดนี้”
“ดูไม่เหมือนคนที่ทำให้คนอื่นเป็นบ้า แต่ดูเหมือนบ้าซะเองมากกว่า”
สมาชิกในกลุ่มตบต้นขา “ทำไมเธอจะไม่บ้า ผู้หญิงที่ถูกเธอคุมขังบ้าไปแล้ว จนกินอึตัวเองได้เลยมั้ง”
หัวหน้าตอกกลับ “หยุดพูดได้ไหม? ฉันจะอ้วก ใครกันที่โชคร้ายขนาดนั้น?”
“ฉันได้ยินมาว่าเป็นดาราชื่อซูหยิน”
หัวหน้าคิ้วขมวด”เธอบอกว่าใครนะ?”
“ซู… หยิน เป็นอะไรไป? คุณรู้จักเธอเหรอ?”
“นั่นมันไอดอลของฉัน!”
หัวหน้าหญิงมองไปที่อวิ๋นจิ้งหว่านอีกครั้ง ดวงตาของเธอแสดงความเคียดแค้น “แม่งเอ๊ย คืนนี้ฉันจะจัดการเธอ!”
จากนั้นฉากการต่อสู้หมาหมู่ก็เริ่มขึ้นอีกครั้งในเรือนจำเฉิงซินหลังจากเงียบสงบมาหลายวัน หากจะพูดให้ถูก มันเป็นการทุบตีฝ่ายเดียวเสียมากกว่า
กว่าผู้คุมเรือนจำจะรู้ตัว ใบหน้าของอวิ๋นจิ้งหว่านก็เต็มไปด้วยเลือด หลังตรวจร่างกายเสร็จ หมอประจำเรือนจำก็ปล่อยเธอจากทัณฑ์บนเพื่อไปรับการรักษาพยาบาลทันที
เธอปลอดภัยแล้ว แต่ตาบอดไปข้างหนึ่ง