สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! – ตอนที่ 199 ท่านลุง มีหญิงในดวงใจหรือไม่ (1)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

พอเอ่ยถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดจับมือของตงฟางไป๋อย่างคาดหวัง ดวงตาเบิกกว้างไม่ได้ ก่อนเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า

“พี่ใหญ่ อวี๋เขายังไม่ตายใช่หรือไม่ เขาตอนนี้เพียงพบความยากลำบาก ดังนั้นจึงกลับมาไม่ได้ หรือพวกเราจะไปตามหา ตามหาเขาดี!”

เล่อเหยาเหยาเอ่ยจบ พลันเลิกผ้าห่มขึ้น คิดลงจากเตียงไปตามหาเขา

แต่กลับมีมืออันทรงพลังทำให้เธอล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้ง และสองมือของตงฟางไป๋กดแน่นบนไหล่ของเธอ กายเขาคร่อมอยู่บนกายเธอ

ใบหน้าสบใบหน้า ดวงตาสี่คู่สบกัน ดวงตาคู่หนึ่งเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความตื่นเต้น ไม่ได้สติ อีกคู่หนึ่งขมวดคิ้วแน่น แววตาแฝงไปด้วยความเศร้าโศก

“เหยาเหยา เจ้าตื่นเถิด อวี๋ตายไปแล้ว ตายไปตั้งแต่ห้าปีก่อน เหตุใดเจ้ายังดื้อดึง เขาตายไปแล้ว ไม่กลับมาอีกแล้ว เจ้าต้องยอมรับเรื่องจริงนี้!”

คำพูดนี้ของตงฟางไป๋ แทบคำรามออกมา

ทุกคำทุกประโยคต่างสลักลงภายในใจของเล่อเหยาเหยา ทำให้ใจของเธอเจ็บปวดคล้ายถูกคนใช้มีดทิ่มแทงอย่างรุนแรง มีดแล้วมีดเล่า ลึกขนาดเปิดบาดแผลที่เธออยากที่จะปิดบังไว้ขึ้นมาอีกครั้ง

“ไม่ ท่านห้ามเอ่ยเช่นนี้ ท่านอย่าพูดเช่นนี้อีก อวี๋ต้องกลับมา เมื่อครู่เขากลับมาแล้ว!”

เล่อเหยาเหยาปวดใจ น้ำตาไหลทะลักอย่างรุนแรงดุจเขื่อนพังทลาย

เพราะปวดใจ สองมือเธอจึงกำหมัดแน่น กระแทกบนกายชายหนุ่มที่อยู่ด้านบนกายเธอเพื่อระบายอารมณ์ไม่หยุด

สำหรับการกระแทกระบายอารมณ์ของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋ไม่ได้หลบหลีก แต่รองรับหมัดของเธออย่างตรงไปตรงมา

เมื่อเห็นน้ำตาแห่งความเสียใจและสีหน้าเศร้าโศกของเธอ หัวใจของตงฟางไป๋ก็เจ็บปวดตามไปด้วย

“พี่ใหญ่ ข้าคิดถึงอวี๋ ข้าคิดถึงอวี๋มากจริงๆ”

“ข้ารู้ ดังนั้นจึงปวดใจกับเจ้า”

“เมื่อครู่ ข้ารู้ว่านั่นคือความฝัน แต่ฝันนั้นเหมือนความจริงมากเสียจริง”

“แต่เจ้าต้องรับรู้ว่านั่นเป็นเพียงความฝัน เมื่อตื่นขึ้นมาต้องกลับสู่ความจริง”

“เหยาเหยา ร้องออกมาเถิด นำเรื่องเสียใจพวกนั้นร้องออกมาให้หมด ต่อไปจะดีขึ้น แม้อวี๋จะไม่อยู่ข้างกายเจ้า แต่เจ้ายังมีพวกเรา พวกเราทุกคนต่างอยู่เคียงข้างเจ้า”

ตงฟางไป๋เอ่ยเสียงเบา พลางตบหลังของเล่อเหยาเหยา ดุจมอบพลังให้แก่เธอ

เล่อเหยาเหยาได้ยินจึงระบายความน้อยใจเจ็บปวดทั้งหมดออกมา

คืนนี้ เล่อเหยาเหยาร้องไห้อย่างเจ็บปวด เสียงร้องไห้น่าสลดใจนั้น ในค่ำคืนที่เงียบสงัดจึงดังกังวานเป็นพิเศษ และทำให้ผู้คนต่างเสียน้ำตา

ตั้งแต่เล่อเหยาเหยากลับมาร้องห่มร้องไห้อย่างสลดหดหู่ใจในคืนนั้น ผู้คนภายในบ้านพักบนเขาต่างทราบเรื่องกันมากมาย

เพราะเรื่องของเล่อเหยาเหยา ก่อนหน้าเธอกลับมา พวกตงฟางจิ้งได้ตรวจสอบอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว

และทราบเรื่องสามีที่หายสาบสูญไปหลายปีก่อนของเล่อเหยาเหยา

แม้เล่อเหยาเหยาจะยังไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างเป็นทางการ แต่ภายในใจของเธอตนคือภรรยาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋แล้ว ดังนั้นหลายปีมานี้ เธอจึงเลี้ยงดูบุตรชายเพียงลำพังและไม่เคยคิดแต่งงานอีกครั้ง

เมื่อรู้ว่าเล่อเหยาเหยาวางเรื่องในใจไม่ลง ตงฟางจิ้งและฟางหรูซินจึงปวดใจกับความโชคร้ายของบุตรสาวตน แต่ก็เคารพการตัดสินใจของเธอ

ดังนั้นหลังจากคืนนั้น ทุกคนแม้ในใจจะเข้าใจ แต่กลับไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแม้แต่คำเดียว

วันเวลาจึงผ่านไปอย่างสงบสุขเช่นนี้

ทุกวันเล่อเหยาเหยาตื่นขึ้นมาพาเหลิ่งอวี้เซวียนไปทานอาหารเช้าร่วมกับทุกคน ก่อนไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ ตอนกลางวันกลับไปฝึกวรยุทธ์ในเรือนดอกท้อของตน ส่วนเหลิ่งอวี้เซวียนกลับถูกเหล่าผู้อาวุโสนำตัวไป

เพราะหมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่งแม้จะมีอำนาจบารมี คุณธรรมสูงส่ง ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากราษฎร

แต่จำนวนคนตระกูลตงฟางกลับค่อนข้างน้อย ตงฟางไป๋เป็นผู้สืบทอดรุ่นที่เก้าเพียงคนเดียว ตอนนี้อายุยี่สิบหกยังไม่แต่งงาน จึงไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องทายาท

ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสและฟางหรูซินแม้อยากอุ้มหลานต่างเป็นไปไม่ได้

โชคดีที่มีเหลิ่งอวี้เซวียน เหล่าผู้อาวุโสและฟางหรูซินจึงต่างดีใจอย่างหนัก

รวมทั้งเหลิ่งอวี้เซวียนรูปร่างหน้าตาหมดจดดุจหยกแกะสลัก น่ารักเฉลียวฉลาด ดังนั้นหลังจากเขามาถึงหมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่งก็มีเสียงหัวเราะดังไม่หยุดจากกลุ่มผู้คนมากมาย

สำหรับความรักที่ทุกคนมีให้เหลิ่งอวี้เซวียน เล่อเหยาเหยาย่อมดีใจ จากนั้นจึงฝึกวรยุทธ์อย่างขยันขันแข็งมากขึ้น

บางเวลาที่เธอไม่ฝึกวรยุทธ์ จะให้สาวใช้พาไปเดินเล่นในหมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่ง

เผื่อจะได้ดูสมุนไพร เรียนรู้ประเภทของสมุนไพรชนิดต่างๆ ในหมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่ง

เพราะผู้คนในหมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่งต่างมีวิชาแพทย์ แม้จะไม่เชี่ยวชาญ แต่พวกสมุนไพรก็สามารถแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน

เมื่อเธอคือคนในตระกูลตงฟาง ต้องมีความรู้ด้านสมุนไพรถึงจะถูกต้อง มิฉะนั้นเมื่อออกไป จะได้ไม่ทำให้ตระกูลตงฟางขายหน้า

ดังนั้นช่วงนี้เล่อเหยาเหยานอกจากฝึกวรยุทธ์แล้ว ยังศึกษาเกี่ยวกับยาสมุนไพร เพราะความยุ่งของเธอ เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วดุจกระสวย พริบตาเดียวเวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไป

วันนี้ขณะเล่อเหยาเหยากำลังเรียนสมุนไพรกับพ่อบ้าน เงาร่างอ่อนช้อยพลันกระโดดเข้ามาตรงหน้าเธอ ก่อนเริ่มเอ่ยปากกับเธอ

“พี่เหยาเหยา พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถิด ได้ยินมาว่าคืนนี้ตลาดตรงเชิงเขา ทุกบ้านทุกคนต่างปล่อยโคมลอยเพื่อขอพรกัน พวกเราไปกันดีหรือไม่!”

เมื่อเสียงไพเราะกังวานดุจระฆังดังขึ้น เล่อเหยาเหยาที่กำลังก้มหน้าอยู่ในกองสมุนไพร อดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้

แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นดวงตาแวววาวสุกใสดุจดวงดาวเปี่ยมด้วยความคาดหวังคู่นั้นของฉีอิงอิง

หลังจากเธอมาถึงที่นี่ ฉีอิงอิง มักมาสนทนาพูดคุยกับเธอเสมอ

เล่อเหยาเหยาชอบนิสัย ความมีชีวิตชีวา น่ารักของฉีอิงอิง เหมือนตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีเรื่องยุ่งยากใจมาก่อน ที่เหมือนกับตัวเธอในตอนแรก

ดังนั้นเพียงไม่กี่วัน จึงสนิทสนมกับฉีอิงอิง อย่างยิ่ง และยังเห็นเธอเป็นเสมือนน้องสาวของตนคนหนึ่ง

ตอนนี้เมื่อสบเข้ากับดวงตาเปี่ยมด้วยความคาดหวังของฉีอิงอิง เล่อเหยาเหยาจึงก้มลงมองสมุนไพรที่กำลังจัดการในมืออีกครั้ง ก่อนจะรู้สึกลำบากใจ

“วันนี้ข้าต้องศึกษาเรื่องสมุนไพรกับพ่อบ้าน เปลี่ยนเป็นวันอื่นดีหรือไม่”

“ไม่ได้เจ้าค่ะ พี่เหยาวันนี้เป็นวันปล่อยโคมลอยที่หนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว เหล่าผู้คนจะเขียนความปรารถนาหรือบนบานสานกล่าวของตนแก่เหล่าเทวดาลงไปในโคมลอย ว่ากันว่าเพียงเขียนความปรารถนาลงบนโคมลอย สิ่งนั้นจะกลายเป็นความจริง!”

ฉีอิงอิง เอ่ยอย่างจริงจัง เหมือนว่าหากเพียงเขียนความปรารถนาลงบนโคมลอยจะกลายเป็นความจริงอย่างแน่นอน

เห็นเช่นนั้นเล่อเหยาเหยาอดเม้มปากยิ้มไม่ได้

“หากเป็นดังเช่นที่เจ้าพูดมาจริง ผู้คนบนโลกนี้ต่างไร้เรื่องทุกข์ใจ”

เล่อเหยาเหยาทอดถอนใจขึ้นมา

คิดไปแล้วเมื่อก่อนตนเคยหลงเชื่อเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ!

เพื่อให้อวี๋สามารถกลับมา เธอจึงไปกราบไหว้ขอพรจากเทวดาพุทธองค์ตลอดเวลา เพียงเป็นสถานที่ที่มีคนเอ่ยว่าศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าต้องขึ้นเขาลงห้วย เธอรีบไปที่นั่นโดยไม่คำนึงถึงความยากลำบาก เพียงเพราะความปรารถนาในใจ

แต่หลังความปรารถนาล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เล่อเหยาเหยาจึงสิ้นหวัง และไม่เชื่อเรื่องไร้ตัวตนนี้อีก

นั่นเป็นเพียงทำให้ผู้คนสิ้นหวังและท้อแท้เท่านั้น

เล่อเหยาเหยาคิดเช่นนี้ ทว่าฉีอิงอิง กลับคิดต่างออกไป

“พี่เหยาเหยา ท่านช่างเอ่ยอย่างสิ้นหวังเสียจริง แม้ข้าจะรู้ว่าเรื่องการขอพรดูไม่น่าเชื่อถือ แต่คนเราต้องมองโลกในแง่ดี ชีวิตจึงจะมีความสุขมิใช่หรือ ในใจมีความหวัง มักดีกว่าทุกข์ทรมานต่อไปนะ!”

ฉีอิงอิง เอ่ยถึงตรงนี้พลันหยุดชะงัก ด้วยกลัวว่าเล่อเหยาเหยาจะไม่ตอบตกลง จึงใช้สองมือจับแขนของเล่อเหยาเหยแน่น ก่อนส่ายไปส่ายมาพร้อมเอ่ยออดอ้อน

“พี่เหยาเหยา ท่านไปเป็นเพื่อนข้าเถิดนะ ได้ไหม!”

ขณะฉีอิงอิง อ้อนวอนเล่อเหยาเหยา ทางพ่อบ้านก็เอ่ยพูดกับเล่อเหยาเหยาว่า

“ใช่แล้วคุณหนู ท่านอยู่ที่นี่มานานแล้ว ได้แต่พักอยู่ภายในบ้านพักบนภูเขานี้ตลอด ไม่เคยออกไปที่ใด ทุกวันอุดอู้อยู่แต่ที่นี่คงเบื่อหน่าย มิสู้ออกไปเดินเล่นข้างนอกกับคุณหนูฉีดีกว่า สตรีควรต้องออกไปท่องเที่ยวจึงจะดี ส่วนเรื่องการเรียนสมุนไพร ขาดวันนี้ไปก็ไม่ได้เสียหาย!”

พ่อบ้านเอ่ยโน้มน้าวเพิ่มอีกคน

เพราะอยู่ในหมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่งมานานหลายปี ติดตามอยู่ข้างกายตงฟางจิ้งมาตลอด ตั้งแต่เห็นตงฟางจิ้งเติบโตเป็นหนุ่ม จนมาถึงตงฟางไป๋ ดังนั้นจึงถือว่าตนคือคนในตระกูลตงฟาง สำหรับเล่อเหยาเหยาจึงย่อมรักใคร่เช่นกัน

ดังนั้นเมื่อเห็นทุกวันเล่อเหยาเหยาเอาแต่ทรมานตนเองไม่หยุด เขามองอย่างปวดใจ ตอนนี้เมื่อมีโอกาสจึงย่อมอยากให้เล่อเหยาเหยาออกไปเดินเล่นผ่อนคลายจิตใจ

เล่อเหยาเหยาได้ยิน จึงทนต่อการอ้อนวอนของฉีอิงอิง และพ่อบ้านไม่ไหว ดังนั้นจึงตอบตกลง

ฉีอิงอิง ได้ยิน ย่อมดีใจเป็นที่สุด

แต่ทันใดนั้น เสียงอันงามสง่าพลันดังขึ้น

“มีเรื่องใดให้ดีใจขนาดนั้นกันหรือ ไม่ทันได้เข้ามาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเจ้าแล้ว”

เมื่อได้ยินเสียงพลันดังขึ้นมา ทั้งสามคนที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานต่างมองไปยังที่มาของเสียงนั้น

เห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งปรากฎขึ้นมาที่หน้าประตู

สวมเสื้อคลุมสีขาวดุจหิมะ สายรัดเอวสีเงิน สูงศักดิ์ทั่วกาย

ผมยาวมวยขึ้น ใบหน้าดุจหยกประณีต หล่อเหลาเหนือผู้ใด

มือใหญ่ที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนนั้นถือพัดสีขาวโบกสะบัดไปมา ทำให้ชายหนุ่มดูสง่างามเพิ่มขึ้นหลายส่วน

และคนที่เข้ามาไม่ใช่ใครอื่น คือตงฟางไป๋!

เมื่อเห็นคนที่มาเล่อเหยาเหยาอดยิ้มไม่ได้

“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านจึงว่างมาถึงที่นี่ ท่านมิได้ไปเปิดโรงหมอแห่งใหม่หรือ”

“อืม เพิ่งกลับมาจากที่นั่นเมื่อครู่ หลังรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่จึงลองมาดู เป็นเช่นไรช่วงนี้เรียนเรื่องยาสมุนไพรถึงไหนแล้ว!”

ตงฟางไป๋โบกพัดในมือเบาๆ พลางเอ่ยถามขึ้น

สายลมพัดโชยมาทำให้ผมยาวปลิวไปทางด้านหลังของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าอันประณีตของเขา น่ามองสะดุดตา

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

Status: Ongoing
เมื่อเด็กสาวจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดข้ามเวลามายุคโบราณ อยู่ในร่างขันทีที่เป็นสตรีปลอมตัวมา ทว่าต้องปรนนิบัติพญายมผู้เกลียดชังผู้หญิงยิ่งกว่าสิ่งใด… งานนี้จะมี ‘รัก’ หรือมี ‘รอด’ กันนะ!นิยายแปลจีนโบราณ โรแมนติก-คอเมดี้ สุดฟิน จิกหมอนไปขำไป!จู่ๆ ‘เล่อเหยาเหยา’ เด็กสาวที่ข้ามเวลามาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดฟื้นขึ้นมาในร่างของผู้หญิงที่ปลอมตัวเป็นขันที ใช้ชีวิตอยู่ในยุคเทียนหยวนที่ไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์แถมยังได้รับหน้าที่ปรนนิบัติ ‘เหลิ่งจวิ้นอวี๋’ ท่านอ๋องแห่งวังรุ๋ยอ๋องผู้ที่อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แย้มยิ้มสนทนาขณะสังหารคนโดยไม่กะพริบตา จนทุกคนต่างขนานว่า ‘พญายม’ทั้งยังมีเสียงเล่าลือกันอีกว่า รุ่ยอ๋องคนนี้เกลียดชังผู้หญิง ชนิดที่ห้ามผู้หญิงเข้าใกล้เกินห้าก้าว!ทว่า วันหนึ่งพญายมเกิดสนใจในตัวเธอขึ้นมาเธอจะทำเช่นไร เพื่อรักษาชีวิต และความลับที่ว่าแท้จริงแล้วเธอคือ ‘ผู้หญิง’…รวมไปถึง เรื่องที่จู่ๆ ผู้หญิงในร่างขันทีน้อยคนนี้เกิดตั้งครรภ์โดยไม่คาดคิดได้เสียนี่!สวรรค์! ได้โปรดให้ฟ้าผ่าแล้วพาเธอกลับไปโลกเดิมที!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน