วันนั้นสวีลิ่งอี๋ไม่ได้กลับมา ตอนกลางวันเขาได้ให้บ่าวรับใช้ข้างกายนำจดหมายมาให้สืออีเหนียง มีข้อความว่า ‘ข้าสบายดี เจ้าไม่ต้องกังวล’
วันที่สองยามซื่อ ระฆังวัดทั้งหมดในเยี่ยนจิงดังขึ้นพร้อมกัน
ฮ่องเต้เสด็จสวรรคตแล้ว
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าสถานการณ์ของคนอื่นเป็นอย่างไร แต่หลังจากที่ไท่ฮูหยินสูดลมหายใจเข้าลึก ขอบตาของนางก็เริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นมา
“กรมพิธีการว่าอย่างไรบ้าง”
“พิธีพระบรมศพยังคงจัดเหมือนเดิม” สืออีเหนียงพูดเสียงเบาว่า “กำลังหารือกันเรื่องถวายคำรำลึกเจ้าค่ะ”
“ให้ทุกคนในครอบครัวสวมเสื้อผ้าสีเรียบและงดแต่งหน้า” ไท่ฮูหยินพิงหมอนอิงผ้าดิ้นสีฟ้าลายน้ำแข็ง น้ำเสียงฟังดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ภายใต้กฏเกณฑ์ ผู้คนไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มกินอย่างสนุกสนาน เล่นหัวเราะร่าเริง ต้องไว้อาลัยครบหนึ่งร้อยวันก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ฮูหยินสองนั่งอยู่ข้างๆ อย่างเงียบเชียบ สีหน้าดูโศกเศร้าเล็กน้อย
สืออีเหนียงขานรับเสียงเบา ออกมากำชับให้บรรดาผู้ดูแลดำเนินการเรื่องต่างๆ
ฮูหยินสามสวมเสื้อผ้าสีเรียบ มียาสีดำเข้มสองแผ่นแปะอยู่ที่ขมับของนาง รีบวิ่งเข้ามา
“ฮ่องเต้เสด็จสวรรคตแล้วจริงหรือ” นางลากสืออีเหนียงไปคุยที่ห้องหน่วนเก๋อที่อยู่ข้างห้องโถงบุปผา “ในวังมีข่าวอะไรหรือไม่”
“ยังไม่ได้ยินข่าวเลยเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “ท่านโหวอยู่ในวังยังไม่ได้กลับมาเลย!”
มีรอยยิ้มเล็กน้อยในแววตาของฮูหยินสาม “ฮ่องเต้องค์ใหม่เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ อย่างไรเสียก็ต้องมอบของกำนัลมากมายให้บรรดาขุนนางใช่หรือไม่”
เช่นนี้สวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนก็อาจจะได้รับสืบทอดตำแหน่ง
“ตอนนี้คำรำลึกยังไม่ได้กำหนดออกมา” สืออีเหนียงพูดอย่างอ้อมค้อมว่า “เกรงว่าเรื่องอื่นๆ คงจะต้องรอหลังจากพิธีพระบรมศพแล้วค่อยเริ่มประชุมกัน!”
“ก็จริง!” ฮูหยินสามพูดพึมพำ “พูดเรื่องนี้ในตอนนี้ยังเร็วเกินไป” ขณะที่พูดท่าทางก็กระตือรือร้นขึ้นมา พูดเสียงดังว่า “ท่านแม่เล่า ท่านสบายดีหรือไม่” ถามพลางลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปเยี่ยมนางประเดี๋ยวนี้” แล้วพูดต่ออีกว่า “ในวันไว้ทุกข์น้องสะใภ้สี่อย่าลืมเรียกพวกเราด้วย อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไปด้วยกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม ฮองเฮากับรัชทายาทก็จะมีหน้ามีตาเช่นกัน!” สืออีเหนียงตอบรับอย่างคลุมเครือ ให้หันเซี่ยวพาฮูหยินสามไปยังเรือนไท่ฮูหยิน ส่วนนางเรียกป้าซ่งและหู่พั่วเข้ามากำชับเรื่องไว้ทุกข์
ตั้งแต่วันที่สองของการไว้ทุกข์ รัชทายาทจะสวมชุดไว้ทุกข์ยี่สิบเจ็ดวัน หลังจากยี่สิบเจ็ดวันจะสวมชุดสีพื้น บรรดาองค์ชายและองค์หญิงจะไว้ทุกข์เป็นเวลาสามปีและเลิกสวมชุดไว้ทุกข์ภายในยี่สิบเจ็ดวัน บรรดาขุนนางต้องสวมชุดสีเรียบไปไว้ทุกข์ที่นอกประตูซือซ่านเช้าเย็นเป็นเวลาสามวัน สวมชุดไว้ทุกข์ในตอนเย็นอีกเป็นเวลาสามวัน และไว้ทุกข์ในช่วงเช้าตรู่อีกเป็นเวลาสิบวัน เลิกสวมชุดไว้ทุกข์ภายในยี่สิบเจ็ดวัน ในวันที่สี่บรรดาฮูหยินจะสวมชุดสีเรียบไปไว้ทุกข์ที่ประตูซีหวาเป็นเวลาสามวัน เลิกสวมชุดไว้ทุกข์ภายในยี่สิบเจ็ดวัน งดเสียงดนตรี งานสักการะ งานแต่งในสกุลขุนนางเป็นเวลาหนึ่งร้อยวัน ครอบครัวทหารและพลเรือนสวมเสื้อผ้าสีเรียบเป็นเวลาสิบสามวัน งดเสียงดนตรี พิธีสักการะ งานแต่งงานหนึ่งเดือน
หลังจากนั้นฮ่องเต้องค์ใหม่ก็จะเสด็จครองบัลลังก์ แต่งตั้งหวงไทเฮา แต่งตั้งฮองเฮา สิ้นสุดชุดไว้อาลัย ทำพิธีฝังพระบรมศพฮ่องเต้องค์ก่อน…เมื่อถึงเวลาที่สืออีเหนียงสามารถนั่งลงพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋ได้ก็เป็นช่วงกลางเดือนเก้าแล้ว
สวีลิ่งอี๋ผ่ายผอมลงอย่างมาก
“ตอนที่ฮ่องเต้กึ่งหลับกึ่งตื่น คำสั่งแรกคือให้ข้าเข้าวัง…” เขาจ้องไปบนเพดานมุ้ง ราวกับว่ามีอะไรจะพูดมากมายแต่พูดไม่ออก
สืออีเหนียงจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดเรื่องที่มีความสุขแทน “ก่อนหน้านี้ยังกังวลว่าการไว้ทุกข์จะทำให้ต้องยกเลิกหรือเลื่อนการสอบระดับราชสำนักออกไป โชคดีที่จัดขึ้นตามกำหนด เจี้ยเกอเองก็ไม่ได้ทำให้อาจารย์ฉังผิดหวัง สอบติดซิ่วไฉจนได้ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเฉลิมฉลองให้เจี้ยเกอได้”
สวีลิ่งอี๋รู้ว่าคำว่าเฉลิมฉลองของสืออีเหนียงส่วนใหญ่คือการเชิญคนในครอบครัวมารับประทานอาหารด้วยกัน
เขาไม่ได้พูดอะไร โอบไหล่นางแล้วพูดเสียงเบาว่า “หากเจ้ามีเวลาก็เข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนไทเฮาให้มากๆ หน่อยเถิด พึ่งจะผ่านมาสี่สิบเก้าวัน ไทเฮาก็ยืนกรานที่จะย้ายไปพระตำหนักสือหนิงแล้ว ซ้ำยังเชิญไต้ซือจี้หนิงเข้าวังมาเทศพระคัมภีร์ ฮ่องเต้ทรงกังวลเป็นอย่างมาก”
ฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน ว่ากันว่าก่อนหน้านี้ยังทานข้าวอยู่ในพระตำหนักกับไทเฮาอยู่เลย แต่เพียงหนึ่งชั่วยามหลังจากออกจากพระตำหนักคุนหนิง ทันใดนั้นก็ทรุดตัวลงบนเตียงเตา ฮองเฮาใช้เวลานานกว่าจะยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้
ในวันรุ่งขึ้นสืออีเหนียงส่งป้ายหยกเข้าไปในวัง ในตอนบ่ายได้มีการตอบกลับจากกรมราชกิจภายในให้นางเข้าวังในวันรุ่งขึ้น
พระตำหนักสือหนิงบรรยากาศหม่นหมอง ฮองเฮาที่กลายเป็นไทเฮาดูเหมือนจะแก่ขึ้นราวสิบปีอย่างไรอย่างนั้น
นางพูดปลอบโยนสืออีเหนียงเบาๆ “ข้าพูดกับฮ่องเต้ไว้แล้วว่ารอให้ช่วงนี้ผ่านไปก่อนจะเรียกตัวจิ่นเกอกลับมา หากเจ้าคิดว่าไม่ดี ข้าจะพูดกับฮ่องเต้อีกครั้ง” แล้วพูดต่ออีกว่า “ข้าจำได้ว่าบุตรชายคนที่สามของน้องสี่ก็เป็นเจ้าที่เลี้ยงมาจนโต ตอนนี้เขาทำอะไรอยู่ หากไม่มีอะไรทำก็ให้เขาเข้ามาเป็นองครักษ์วังหลวงเถิด!”
สืออีเหนียงรีบกล่าวขอบพระทัยไทเฮา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม้ว่ากุ้ยโจวจะอยู่ไกล แต่มีท่านคอยเป็นห่วงเขา เขาไปที่นั่นจึงไม่ได้รู้สึกลำบากใจแต่กลับรู้สึกดี ทุกครั้งที่เขียนจดหมายกลับมาก็จะเล่าเรื่องราวใหม่ๆ ให้หม่อมฉันฟัง ไม่เพียงแต่เขา แม้แต่หม่อมฉันเองก็ได้รับความรู้มากมายเช่นกัน เจี้ยเกอพึ่งจะสอบติดซิ่วไฉในเดือนแปดปีนี้ คุณชายห้าก็อยู่ที่ฝ่ายองครักษ์วังหลวง ส่วนเจี่ยนเกอของเรือนคุณชายสามก็ออกมาจากฝ่ายองครักษ์วังหลวง ทุกอย่างล้วนเป็นการตัดสินใจของท่านโหว เรื่องของเจี้ยเกอ เกรงว่าจะต้องให้ท่านโหวเป็นคนตัดสินใจเพคะ”
ไทเฮาชอบที่สืออีเหนียงไม่เคยตัดสินใจเองโดยพลการมากที่สุด
นางพยักหน้าเล็กน้อย
สืออีเหนียงถามถึงไต้ซือจี้หนิงว่าช่วงนี้นางเทศนาเกี่ยวกับคัมภีร์อะไร ซ้ำยังเล่าให้ไทเฮาฟังเรื่องที่นางเจอกับไต้ซือจี้หนิงครั้งแรก ไต้ซือจี้หนิงให้นางจัดเรือนใหม่…บรรยากาศผ่อนคลายแต่ก็ยังดูเป็นทางการ รอยยิ้มบางๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไทเฮา
มีนางกำนัลเข้ามา “ทูลไทเฮา เจ้าอาวาสหญิงของอามรามต้าเจวี๋ยมาแล้วเพคะ!”
สืออีเหนียงลุกขึ้นกล่าวลา
ไทเฮากลับพูดขึ้นมาว่า “นางเห็นว่าข้าเรียกจี้หนิงเข้ามาเทศนาคัมภีร์ในวัง หลายวันมานี้เลยยื่นป้ายหยกขอเข้าเฝ้าข้าทุกวัน ข้ารำคาญนางจึงเลือกวันที่ไปอย่างไม่ใส่ใจ คิดไม่ถึงว่าจะมาวันเดียวกันกับเจ้า เจ้ากับข้าไปพบนางด้วยกันเถิด อีกสักครู่พอทานอาหารกลางวันแล้วพวกเราค่อยคุยกันต่อ” พูดพลางยกมือส่งสัญญาณให้สืออีเหนียงพยุงนางไปยังพระตำหนักรอง
สืออีเหนียงขานรับเสียงเบา “เพคะ” แล้วพยุงไทเฮาไปพระตำหนักรอง
เจ้าอาวาสหญิงอารามต้าเจวี๋ยอายุห้าสิบปี รูปร่างปานกลาง หลังเหยียดตรง ดวงตาเฉียบคม มองดูสง่างาม เหมาะสมกับสถานะของนางเป็นอย่างมาก ส่วนภิกษุณีที่ติดตามมาอยู่ข้างหลังนางกำลังอยู่ในช่วงอายุยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี แม้ว่านางจะสวมชุดสีเทา แต่ก็ไม่สามารถซ่อนดวงตาที่สุกใสและฟันที่ขาวสว่างของนางได้ พลอยทำให้คนที่พบเห็นอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ว่าเหตุใดหญิงสาวงดงามเช่นนี้ถึงได้ออกบวช
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นกลับยิ้มเจื่อนๆ
โลกใบนี้ช่างเล็กเสียเหลือเกิน คิดไม่ถึงว่าจะได้พบหยางอี๋เหนียงที่พระตำหนักสือหนิง
หยางซื่อรู้อยู่แล้วว่าสืออีเหนียงอยู่กับไทเฮาเลยไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการปรากฏตัวของนาง
นางยิ้มเล็กน้อยพลางพยักหน้าให้สืออีเหนียง มีความสนิทสนมเล็กน้อยดั่งได้พบสหายเก่าในต่างแดน
เจ้าอาวาสหญิงอารามต้าเจวี๋ยกำลังแนะนำนางแก่ไทเฮา “…นี่คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาตมา มีฉายาว่าจิ้งคง สามารถอ่านออกเขียนได้ เชี่ยวชาญเรื่องพระสูตรเว่ยหล่าง อาตมาได้แต่งตั้งให้นางเป็นผู้สืบทอดของอาตมา ดังนั้นวันนี้จึงพานางมาพบไทเฮาโดยเฉพาะ”
หากเป็นเวลาปกตินี่อาจจะเสียมารยาทบ้างเล็กน้อย แต่เจ้าอาวาสหญิงอารามต้าเจวี๋ยพาผู้สืบทอดมาพบไทเฮา อารามต้าเจวี๋ยยังเป็นวัดของราชวงศ์ ซึ่งถือได้ว่าสมเหตุสมผล
หยางซื่อก้าวไปข้างหน้าเพื่อคำนับไทเฮาทันที ท่าทางสง่าผ่าเผยได้รับความโปรดปรานจากไทเฮาในทันที “เจ้ามาจากไหน เข้ามาอยู่อารามต้าเจวี๋ยได้อย่างไร โกนผมตั้งแต่เมื่อไร”
หยางซื่อขยับมุมปาก แต่เจ้าอาวาสหญิงอารามต้าเจวี๋ยได้ยิ้มแล้วพูดขึ้นมาก่อนว่า “นางเป็นคนต้าซิ่ง อ่อนแอและป่วยบ่อยตั้งแต่ยังเป็นเด็ก คนในครอบครัวจึงมอบนางให้ถูกเลี้ยงอยู่ภายใต้นามของพระโพธิสัตว์กวนอิม นางคุ้นเคยกับพระคัมภีร์ตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อโตขึ้นก็เข้ามาที่อารามต้าเจวี๋ย จะว่าไปก็โกนผมได้สิบกว่าปีแล้ว!” พูดอย่างคลุมเครือ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้ไทเฮาทราบที่มาที่แท้จริงของนาง และเห็นได้ชัดว่าไทเฮาจำไม่ได้แล้ว เมื่อได้ยินว่านางโกนผมมาสิบกว่าปีแล้ว จึงถามหยางซื่อด้วยความสงสัย “เจ้าอายุเท่าไร”
หยางซื่อตอบอย่างนอบน้อม “อาตมาปีนี้อายุสามสิบเอ็ดปีแล้ว!”
เมื่อไทเฮาได้ยินดังนั้นก็มองสำรวจหยางซื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า หันกลับไปพูดกับสืออีเหนียงว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าไต้ซือจิ้งคงจะยังดูอ่อนเยาว์เช่นนี้!”
หยางซื่อพูดอย่างนอบน้อมว่า “ไทเฮาชมเกินไปแล้ว อาตมาเพียงแค่พอใจในความสุข ลดความโกรธและความเกลียดชังให้น้อยลงก็เท่านั้น” ขณะที่พูดก็เหลือบมองไปที่สืออีเหนียง พูดด้วยความชื่นชมเล็กน้อยว่า “คนที่อยู่ข้างไทเฮาใช่หย่งผิงโหวฮูหยินหรือไม่ อาตมารู้สึกว่าหย่งผิงโหวฮูหยินปีนี้อายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปี แต่อาตมาก็ได้ยินมาว่าปีนี้บุตรชายคนสุดท้องของหย่งผิงโหวอายุสิบสี่ปีแล้ว หากจะบอกว่าดูอ่อนเยาว์ หย่งผิงโหวฮูหยินถึงจะสมกับคำว่าดูอ่อนเยาว์ที่แท้จริงต่างหาก!”
สิบเจ็ดสิบแปดปี?
ตอนที่นางยังเด็กก็มีชื่อเสียงในเรื่องความสงบนิ่ง ตอนนี้จะทำอะไรก็ยิ่งไม่มีผิดพลาด อีกทั้งยังมีอิสระเพียงเล็กน้อย จะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนเด็กสาวเลย ไม่รู้ว่าหยางซื่อพูดออกมาได้อย่างไร
สืออีเหนียงยิ้มแผ่วเบา “ไต้ซือจิ้งคงชมเกินไปแล้ว!” เห็นได้ชัดว่าไทเฮาชอบฟังคำพูดเช่นนี้ นางจับมือสืออีเหนียง “มีบรรดาฮูหยินหลายคนพูดต่อหน้าข้าว่าหย่งผิงโหวฮูหยินมีใบหน้าที่งดงาม” ไทเฮาที่เดิมทีฝืนใจมาพบเจ้าอาวาสหญิงอารามต้าเจวี๋ยกับหยางซื่อเพราะเห็นแก่หน้า ตอนนี้ได้ถูกบทสนทนาดึงดูดความสนใจไปจนหมด พูดคุยกับพวกนางอยู่นาน สุดท้ายได้มอบเงินค่าน้ำมันตะเกียงแก่อารามต้าเจวี๋ยห้าพันตำลึงและไม้กฤษณาหนักห้าร้อยจิน แล้วถึงได้ส่งแขกกลับไป
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ไต้ซือจี้หนิงก็มาเข้าเฝ้า
ทุกคนพูดทักทายกันเป็นเวลานาน เมื่อสืออีเหนียงจะกลับ ไต้ซือจี้หนิงได้มาส่งที่ประตูพระตำหนักสือหนิงอย่างเป็นกันเอง
สืออีเหนียงยิ้มพลางเล่าเรื่องที่ไทเฮาประทานรางวัลแก่อารามต้าเจวี๋ยให้ไต้ซือจี้หนิงฟัง
ไต้ซือจี้หนิงยิ้มเล็กน้อย ประนมมือให้สืออีเหนียง “ขอบคุณโยม อาตมาจะสวดอ้อนวอนให้กับหย่งผิงโหวและหัวหน้าหน่วยพลทหารอย่างแน่นอน!”
เมื่อสืออีเหนียงเห็นว่านางเข้าใจความหมายของตัวเองแล้วก็ยิ้มพลางกลับจวน พูดเรื่องที่ไทเฮาจะเรียกสวีซื่อจิ่นกลับมาและประทานตำแหน่งให้สวีซื่อเจี้ย สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง” แต่ขณะที่พูดกลับมีความลังเลเล็กน้อย
ตั้งแต่ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์ แม้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่จะไม่ได้ประทานตำแหน่งอย่างเป็นทางการให้กับสวีลิ่งอี๋ แต่สวีลิ่งอี๋มีตำแหน่งราชครูของรัชทายาทอยู่เลยต้องเริ่มเข้าราชสำนักทุกวัน
“ท่านโหวจะพูดอะไรหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดพลางหัวเราะ
“มั่วเหยียน!” สวีลิ่งอี๋จับมือนาง “ฮ่องเต้ต้องการให้ข้าดูแลทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาค ทำหน้าที่เป็นรองเจ้ากรมกลาโหมแต่ข้าปฏิเสธไปแล้ว…” พูดพลางมองนางด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
เป็นข้าราชการก็ดี ทำกิจการก็ดี ไม่มีอะไรมากไปกว่าการตระหนักถึงคุณค่าของคนเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิต สวีลิ่งอี๋ได้ตระหนักถึงคุณค่าของผู้อื่นแล้ว หลายปีมานี้ที่เขาไม่ได้รับราชการ คุณภาพชีวิตของพวกเขาก็ไม่ได้ลดลงเพราะเหตุนี้ สำหรับเขาแล้วเกรงว่าจะรับราชการหรือไม่ก็คงไม่แตกต่างกัน
เขาคงกังวลว่านางจะไม่มีหน้ามีตากระมัง!
ซึ่งนางรู้สึกว่าการที่สวีลิ่งอี๋ตัดสินใจเช่นนี้จะต้องผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วแน่นอน
“ปฏิเสธแล้วก็ปฏิเสธไปเจ้าค่ะ! พอดีอาจารย์เจี่ยนบอกว่าต้องการขยายกิจการร้านเย็บปักให้มากขึ้น อยากจะติดต่อกิจการเย็บปักถักร้อย งานเย็บปักในใต้หล้า แปดเก้าในสิบส่วนมาจากหูโจว ท่านโหวมีเวลาว่างแล้วจะได้ช่วยพวกเราออกความคิดเห็น หาวิธีติดต่อกับนายอำเภอหูโจว…” สืออีเหนียงเม้มปากยิ้ม