ตอนที่ 203 ศึกใหญ่ในสถาบัน 11
“ไม่ผิดครับ!” เบนเน็ตส่ายหัว “ถ้าท่านไม่เชื่อผม ก็เปิดวิดีโอถ่ายทอดสดดูได้เลยเถอะครับ ทั้งสองคนกำลังเถียงกัน!”
สวี่หลิงอวิ๋นเปิดดูวิดีโอถ่ายทอดสด เฮ้ ไม่น่าเชื่อว่าพ่อของเธอจะถ่ายทอดสดอยู่จริง ๆ!
การทะเลาะกันระหว่างคณบดีพูลแมนกับจักรพรรดิได้เปลี่ยนหัวข้อจากสวี่หลิงอวิ๋นเป็นเรื่องน่าอับอายระหว่างทั้งสองที่ออกไปสนามรบด้วยกัน
“ฮึ่ม! ตอนนั้นท่านก็เบลอแบบนี้ กระหม่อมบอกให้ท่านวิ่งหนีไป แต่กลับวิ่งเข้าไปในปากของเอเลี่ยนเสียอย่างนั้น คงมีแต่ท่านที่ทำแบบนี้!” คณบดีพูลแมนเยาะเย้ยอย่างไร้ความปรานี
“แล้วท่านเก่งสักแค่ไหนเชียว? เราบอกให้ท่านไปหาอาหาร แต่กลับถูกเอเลี่ยนระดับ 6 ดาวไล่ตามแทน ถ้าเราไปไม่ทันเวลา ท่านคงตายไปแล้ว!”
จักรพรรดิเยาะเย้ยกลับอย่างเกรี้ยวกราด พวกเขาแฉเรื่องราวในอดีตของกันและกันโดยไม่มีใครยอมใคร
ทว่าชาวเน็ตต่างเพลิดเพลินกับการถ่ายทอดสดของพวกเขา กลับกลายเป็นว่าชายสองคนผู้ยิ่งใหญ่เฉกเช่นจักรพรรดิกับคณบดีก็เป็นเหมือนกับผู้คนธรรมดา!
สวี่หลิงอวิ๋นเฝ้าดูเป็นเวลานาน จนหัวแทบจะระเบิด!
และรีบเชื่อมต่อเข้าสู่ห้องถ่ายทอดสดของจักรพรรดิทันที
ชาวเน็ตทั้งหลายประหลาดใจที่มีบุคคลหนึ่งแทรกเข้ามาให้ห้องถ่ายทอดสดสำหรับสองคน เมื่อมองดูให้ดี นั่นองค์หญิงสามไม่ใช่เหรอ?!
ทันทีที่ชายชราทั้งสองเห็นสวี่หลิงอวิ๋น พวกเขาก็สำลักออกมาพร้อมกันและแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะกล่าวทักทายเธอด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น
“องค์หญิงสาม ทำไมท่านไม่นอนพักสักหน่อยล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“ลูกรัก เจ้ารีบตื่นขึ้นมาทำไมกัน?”
“ลูกรีบตื่นขึ้นมาทำไมน่ะเหรอเพคะ? ถ้าลูกไม่รีบเข้ามา พวกท่านทั้งสองคนคงจะทำให้ลูกเสียหน้าไปทั้งจักรวาลกันพอดี!” ใบหน้าของสวี่หลิงอวิ๋นบูดบึ้ง “พวกท่านทั้งสองบอกมาเดี๋ยวนี้ว่ากำลังทำอะไรกัน?!”
“ลูกรัก พ่อจะทำอะไรได้? พ่อก็ต้องมาทวงความยุติธรรมให้ลูกอยู่แล้วสิ!” จักรพรรดิกล่าวประจบประแจง “ประชาชนพวกนั้นคิดว่าลูกติดสินบนท่านคณบดีพูลแมน ฮึ่ม! ลูกสาวของเราใช้เงินที่ไหนกัน? เพียงแค่ลูกพูดออกมา พ่อจะสร้างสถาบันให้ลูกทันที!”
“สร้างสถาบัน? เสด็จพ่อมีเงินเหรอเพคะ?” สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหัว เธอไม่สามารถทำอะไรผู้เป็นพ่อได้เลย เพราะชายชราคนนี้รักเจ้าของร่างกายนี้เป็นอย่างมาก!
จะว่าไปก็รู้สึกผิดเล็กน้อย เดิมทีเจ้าของร่างนี้เป็นลูกสาวคนโปรดของชายชรา แต่ตอนนี้เธอกลับเข้ามายึดครองร่างกายนี้ ไม่รู้ว่าชายชราจะสังเกตเห็นบ้างหรือไม่?!
“ก็มีน่ะสิ! ลูกลืมไปแล้วหรือ? เราพนันกันก่อนหน้านี้ไง!” ก่อนหน้าที่สวี่หลิงอวิ๋นจะกลายเป็นหัวหน้า จักรพรรดิเอาเงินก้อนโตออกมาเดิมพันว่าสวี่หลิงอวิ๋นจะเป็นผู้คว้าชัยชนะมาได้ และเมื่อสวี่หลิงอวิ๋นกลายเป็นหัวหน้าอย่างแท้จริง จักรพรรดิก็กลายเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่งในทันที
“เอ่อ องค์หญิงสาม อย่าเพิ่งไปฟังเรื่องไร้สาระของท่านจักรพรรดิเลยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดถึงการสร้างสถาบัน! นอกจากนี้ กระหม่อมยังไม่ได้ไล่ท่านออก!” คณบดีพูลแมนกล่าวซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
หากองค์หญิงสามออกจากสถาบันไปจริง ๆ นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งก็คงจะติดตามเธอไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย!
หากนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งทั้งหลายจากไป สถาบันการศึกษาทางการทหารของจักรวรรดิคงจะกลายเป็นตัวตลกสำหรับสถาบันอื่น ๆ!
นอกจากนี้ สถาบันอาจมีช่องว่างระหว่างชั้นปีได้หากไม่มีนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง จากชั้นปีที่สี่ก็จะกลายเป็นชั้นปีที่สาม เอ่อ…
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ดังกล่าว มันจะไม่สามารถบรรลุผลได้เลย!
ชาวเน็ตทั้งหลายเชื่อว่าองค์หญิงสามไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์อะไร เพราะจักรพรรดิต้องการให้องค์หญิงสามลาออกจากสถาบัน และสร้างสถาบันใหม่ด้วยตัวของเขาเอง
คณบดีพูลแมนเว้าวอนครั้งแล้วครั้งเล่า หวั่นเกรงว่าองค์หญิงสามจะลาออก จนถึงกับเปิดเผยอดีตเบื้องหลังของจักรพรรดิ
สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหัว มันช่างเป็นแผนการที่แย่ที่สุดในการบีบบังคับให้เธอลาออกจากสถาบัน ตามที่คณบดีพูลแมนกล่าวเอาไว้ การสร้างสถาบันไม่ใช่เรื่องง่าย และระยะเวลาก็มีความสำคัญสำหรับเหล่านักเรียน
ขณะที่กำลังอ้าปากปฏิเสธผู้เป็นพ่อ เธอก็นึกอะไรบางอย่างออก
“เสด็จพ่อ ที่ท่านบอกว่าจะสร้างสถาบันให้ลูก นั่นเป็นการตอบแทนให้ลูกใช่ไหมเพคะ?” สวี่หลิงอวิ๋นเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้ม
ฮะ? องค์หญิงสามหมายความว่าอย่างไร? เธอจะลาออกจากสถาบันการศึกษาทางการทหารของจักรวรรดิจริง ๆ เหรอ?!
จักรพรรดินึกถึงเรื่องดังกล่าว ก่อนจะปรบมือด้วยความปีติยินดี และกล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม “แน่นอนสิ! ลูกรัก ถ้าลูกเต็มใจจะลาออกจากสถาบัน พ่อก็จะจัดการทุกอย่างให้เอง!”
คณบดีพูลแมนรู้สึกกังวลเมื่อได้ยินเช่นนั้น “องค์หญิงสาม เกิดอะไรขึ้นกับท่าน? พวกเราสามารถคุยกันได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหัว และบอกคณบดีว่า “รอจนกว่าเราจะคุยกับเสด็จพ่อเสร็จ แล้วท่านจะได้รู้ทุกอย่าง!”
หัวใจของคณบดีพูลแมนเจ็บแปลบราวกับโดนแมวข่วน โดยไม่รู้เลยว่าองค์หญิงสามกำลังจะทำอะไร
“เสด็จพ่อ ลูกอยากจะสร้างโรงเรียนที่คนธรรมดาทั่วไปมาเรียนได้” สวี่หลิงอวิ๋นกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง
“คนธรรมดา?” จักรพรรดิตกตะลึง
คนธรรมดาคือผู้คนที่ไม่มีพลังดวงดาว ไม่มีพลังดวงดาวก็ไม่สามารถไปสนามรบได้ แม้แต่สถาบันวิจัยหลายแห่งก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว บุคคลที่ไม่มีพลังดวงดาวจะบริการบุคคลที่มีพลังดวงดาวได้อย่างไร?
คนธรรมดาเหล่านั้นถูกลิขิตให้ใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนแออัดเพียงอย่างเดียว บรรพบุรุษของพวกเขาอาจดำรงอยู่ด้วยชีวิตที่รุ่งโรจน์ แต่หากไม่มีพลังดวงดาว พวกเขาก็ย่อมถูกทอดทิ้งอยู่ดี
“ทำไมต้องสร้างโรงเรียนให้คนธรรมดาด้วย? พวกเขาจะเรียนรู้อะไรได้? ลูกก็สอนงานฝีมือแกะสลักให้พวกเขาไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ชาวเน็ตต่างเข้าใจปฏิกิริยาของจักรพรรดิได้เป็นอย่างดี
หากไม่มีพลังดวงดาวแล้วจะเปิดโรงเรียนอะไร? พวกเขาสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้าง? ทักษะการต่อสู้เหรอ? หรือเรียนรู้การบังคับเครื่องจักรกล? ขับยานอวกาศ?
ทั้งหมดล้วนต้องใช้พลังดวงดาว!
แม้แต่นักเรียนจากแผนกเกษตรกรรมก็ยังล่วงรู้ถึงพลังดวงดาวและพลังจิต พวกเขาจึงสามารถสื่อสารกับดอกไม้ใบหญ้า จนดูแลดอกไม้และพืชพรรณให้ดีขึ้นได้
ขนาดนักเรียนจากแผนกเกษตรกรรมยังถือว่าเป็นพวกขี้แพ้ แล้วคนธรรมดาที่ไม่รู้ถึงพลังจิตจะวางตนไว้ที่ไหน?
“เสด็จพ่อ ท่านทำให้ลูกผิดหวังมาก!”
สวี่หลิงอวิ๋นครุ่นคิดกับตนเอง ผู้คนจากแผ่นดินใหญ่ในชาติที่แล้วก็เป็นคนธรรมดานี่น่า? พวกเขาก็สร้างความศิวิไลซ์ได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? พวกเขาก็ประสบความสำเร็จเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?!
ไม่มีพลังดวงดาวแล้วยังไง? จะต้องรับจ้างทำงานไปตลอดชีวิตเหรอ?!
“ยังไง?” จักรพรรดิรู้สึกวิตกกังวล เขาทำให้ลูกสาวอันเป็นที่รักผิดหวังได้อย่างไร?!
เขาควรจะเป็นผู้พิทักษ์ที่ยอดเยี่ยมในสายตาของลูกสาวสิ!
“ทำไมความคิดของเสด็จพ่อถึงล้าสมัยขนาดนี้เพคะ?” สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหัว “ใช่ พวกเขาไม่มีพลังดวงดาว แต่พวกเขาก็มีสติปัญญาและสองมือ เพียงแต่ด้อยกว่าในแง่ทักษะการต่อสู้ด้วยพลังดวงดาวเท่านั้น ส่วนด้านอื่นก็ไม่เห็นจะเลวร้ายเลย!”
“ทำไมพวกเราถึงไม่ปล่อยให้พวกเขาได้เรียนรู้ล่ะเพคะ? โยนทักษะวิชาของพวกมีพลังดวงดาวทิ้งไป พวกเขาสามารถเรียนทักษะความรู้ทางเทคโนโลยีบางอย่างได้ ยิ่งไปกว่านั้น ลูกเชื่อว่าคนธรรมดาพวกนี้จะสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับพวกเขาเองได้!”
“ลูกเชื่อว่ามีอัจฉริยะมากมายในหมู่พวกเขา เราไม่ควรฝังพรสวรรค์พวกนั้นเอาไว้!” สวี่หลิงอวิ๋นกำหมัดและจ้องมองจักรพรรดิ “เสด็จพ่อจะสนับสนุนลูกไหมเพคะ?”
ดวงตาของจักรพรรดิเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ลูกสาวของเขามีจิตใจงดงามที่สุดในจักรวาล!